วันที่สอง
เ่ิูฝึกฝนตอนเช้าเสร็จแล้ว ฉินหลันเองก็ลงมือทำกับข้าวมื้อเช้าที่ทั้งหอมหวานและน่าอร่อยด้วยตัวเอง
เปลี่ยนอาภรณ์เป็ชุดใหม่แล้ว เ่ิูก็ยิ้มพลางเรียกให้ฉินหลันและเสี่ยวฉ่าวมากินพร้อมกัน เด็กหญิงสองจิตสองใจกับความหิวพักหนึ่ง ก็ตัดสินใจลงนั่งข้างๆ พี่ชายอย่างตื่นเต้น ทว่าฉินหลันกลับยังยืนกรานยืนอยู่อีกด้าน
“น้าหลัน หลังจากนี้เราก็เป็ครอบครัวเดียวกันแล้วนะ ไม่ต้องพิธีรีตองเพียงนี้หรอก พ่อแม่ข้าจากไปแล้ว ข้าหวังว่าอาจจะมีญาติมานั่งกินข้าวเช้าร่วมกันกับข้า ครอบครัวเดียวกันควรจะมีความสุขไปด้วยกันมิใช่หรือ” เ่ิูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉินหลันได้ฟังคำแล้วก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ครานี้ถึงยอมนั่งลงอีกด้านหนึ่ง
กินไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ฉินหลันก็ลังเลลังมอง นางลองหยั่งเชิงดูว่า “คุณชายหยู ข้าอยากปรึกษาเื่หนึ่งกับท่านเ้าค่ะ เื่จะไล่เด็กรับใช้ออกครึ่งหนึ่ง...”
เ่ิูกินโจ๊กกุ้งไปช้อนหนึ่งก็ยิ้ม “คนที่ติงข่ายเสวียนจ้างไว้ก็ไล่ไปหมดแล้ว ตอนนี้คนหรือข้าทาสมีรวมกันแค่สามสิบกว่าคน ในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ก็ถือว่ากำลังดีแล้วมิใช่หรือ น้าหลันทำไมต้องทำเช่นนี้เล่า?”
“ก็เพราะ...” ฉินหลันสีหน้าลำบากใจเป็ริ้วๆ สุดท้ายก็เอ่ยตามสัตย์จริง “คุณชายหยูท่านยังต้องไปศึกษาในสำนักกวางขาว ต้องใช้เวลาฝึกฝนมาก ในบ้านตอนนี้ไม่มีลู่ทางหาเงินเ้าค่ะ ในเวลาอันสั้นแค่นี้ไม่มีทางขยายรายได้ให้มากขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็ออกไปเ้าค่ะ!”
เอ่ยถึงตรงนี้ เมื่อเห็นเ่ิูเงียบนิ่ง ก็ทำให้นางนึกว่าเขากำลังลำบากใจ ฉินหลันจึงรีบปลอบ “แต่คุณชายหยูวางใจเถอะนะเ้าคะ จะช้าจะเร็วเดี๋ยวก็มีหนทางแก้ไขเอง ตระกูลเย่ต้องรักษาไว้ได้แน่”
เมื่อเอ่ยอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังแทรกเข้ามา
เด็กหนุ่มที่ในดวงตามีเส้นเืแดงฉาน ชายแขนเสื้อกับขอบอาภรณ์เปียกโชก ไม่อาจรู้ว่าไปทำอะไรมาแต่เช้า ทว่าสีหน้ายังก้ำกึ่งอยู่ระหว่างตื่นเต้นและดีใจ จากข้ารับใช้ชั้นล่างคนหนึ่งะโเป็บุคคลสำคัญอันดับสามของบ้าน ถังซานเองก็นอนแทบไม่หลับมาทั้งคืนเหมือนกัน
“นายท่าน เื่ที่ท่านให้ข้าไปสืบมานั้น ข้าสืบมาจนกระจ่างแจ้งหมดแล้วล่ะขอรับ!” ถังซานรายงานอย่างเคารพ
เ่ิูพยักหน้ารับ
เห็นภาพตรงหน้านี้ ฉินหลันพลันใในใจ ไม่รู้ว่าคุณชายหยูให้ถังซานไปสืบเสาะเื่อะไรมา ทว่าในเมื่อคุณชายไม่ปริปากพูด นางก็จะไม่ถาม
“เพิ่งกลับมาหรือ? ยังไม่ได้กินข้าวเช้าสิท่า? นั่งสิ มากินพร้อมกัน” เ่ิูมองถังซานแล้วชี้ที่นั่งที่หนึ่งให้
“ฮะๆ ดีเลย นายท่านพูดแบบนี้ข้าเองก็หิวจริงๆ นั่นแหละขอรับ” ถังซานหัวเราะแล้วนั่งข้างเด็กหนุ่มอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ เขาคว้าซาลาเปาได้ลูกหนึ่งก็กินเข้าไป
ฉินหลันจ้องถังซานตรงๆ ทว่าเด็กหนุ่มก็แกล้งทำเหมือนไม่เห็น
เ่ิูเองก็เผยยิ้มอย่างไม่อาจห้าม
เ้าถังซานคนนี้ไม่คิดเล็กคิดน้อย มีปฏิภาณไหวพริบ นิสัยถูกคอเขานัก ความสามารถก็มีเช่นกัน ภายหลังหากชุบเลี้ยงไว้ดีๆ เป็คนที่สนิทและไว้ใจได้แล้วเมื่อไร อย่างน้อยการดูแลคฤหาสน์ตระกูลเย่ย่อมไร้ปัญหา
เมื่อกินมื้อเช้าเสร็จสิ้นแล้ว เ่ิูก็เช็ดปากแล้วเคาะหัวเสี่ยวฉ่าว เขายิ้ม “ยัยหนู อยากไปเดินเล่นข้างนอกไหม พี่เสี่ยวหยูจะพาเ้าไปเอง”
“ดีเลยๆ” เสี่ยวฉ่าวะโอย่างยินดี
อายุสิบสองสิบสามปีนี้ เป็่เวลาวัยเยาว์ที่สดใสแวววาวยิ่ง ก่อนหน้าที่ถูกกักขังไว้ในคฤหาสน์ ใช้ชีวิตอัตคัดอยู่ภายใน นับวันมีแต่จะต้องหวาดระแวงไปถึงขั้วหัวใจถึงแส้ของผู้คุมที่แสนทารุณที่ไม่รู้จะนึกครึ้มฟาดลงมาเมื่อใด เมื่อได้ยินว่าจะได้ออกไปชื่นชมภายนอก เสียวฉ่าวก็ดีใจจนจะลอยได้อยู่แล้ว
ฉินหลันที่เดิมอยากจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นลูกสาวตื่นเต้นเช่นนั้นแล้ว นางก็ไม่เปิดปากห้ามปราม
มองคุณชายหยูจูงมือลูกสาวตน พร้อมกับถังซานที่ตามไปด้วย ฉินหลันได้แต่อธิษฐานครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ คุณชายหยู ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านต้องจัดการมันให้ได้นะ!
ทุกอย่างของตระกูลเย่ บัดนี้ได้ขึ้นอยู่กับการค้ำยันจากเด็กหนุ่มผู้ยังมิเติบใหญ่ผู้นี้แล้ว
...
“ว้าว กังหันลมน้อยสวยจังเลย!”
“รูปปั้นนี่น่ารักจัง เหมือนมีชีวิตเลย”
“์ช่วย คุณปู่คนนั้นเก่งจังเลย ทรงตัวเอาไม้ใหญ่ขนาดนั้นไว้บนหัวได้ด้วย!”
“ฮิๆ อาคนนี้เปลี่ยนหน้าได้ แล้วยังพ่นไฟได้อีกแน่ะ!”
เสี่ยวฉ่าวะโโลดเต้น ตื่นเต้นประหนึ่งลูกไก่หลุดจากกรง รอยยิ้มบนใบหน้าราวดอกไม้บาน เดี๋ยวก็มองไปทางนี้ เดี๋ยวก็วิ่งไปทางนั้น หลุดเสียงหัวเราะและคำชื่นชมออกมาไม่หยุดปาก
ออกจากเขตผู้มีอันจะกินมาแล้ว ไม่นานก็มาถึงเขตตลาด ร้านรวงเปิดจองข้างทางกันคับคั่ง แล้วยังมีคนจากภายนอกเข้ามาค้าขายอีกด้วย ผู้คนเดินกันขวักไขว่ คึกคักจะหาใดเปรียบ
ถังซานเดินอยู่ใกล้เ่ิู เขายืดกายตรงดิก
ความจริงแล้วเขาก็ยังเป็วัยรุ่นอยู่ และเป็วัยรุ่นที่มีโอกาสมาในสถานที่แสนคึกคักเช่นนี้น้อยเหลือใจ เหมือนกับเสี่ยวฉ่าว เขาเองก็ตื่นเต้นจนควบคุมแทบไม่อยู่ อยากจะพุ่งเข้าไปดูแต่ละที่ๆ ตามใจอยาก ทว่าในใจเขาชัดเจนนักว่าเขาเพิ่งได้รับหน้าที่สำคัญมาจากคุณชายหยู ตอนไหนควรจะทำอะไร ต้องมีขอบเขตเสมอ ดังนั้นจึงอดกลั้นตลอดทาง เดินตามหลังเ่ิูอย่างเงียบๆ
และในใจถังซานนั้น ก็ซาบซึ้งจนอยากจะร้องไห้
เพียงเดินตามหลังคุณชายหยูเท่านั้น เขาก็รู้สึกเหมือนคนเป็มนุษย์ที่แท้จริง ยืดกายตรง ไม่จำเป็ต้องก้มหัวหรือต้องอ่านสีหน้าท่าทางคนอื่นเพื่อจะได้ไม่ไปทำให้เขาหัวเสีย แล้วก้มหน้างุดรีบเดินหลีกไปอีก!
ครานี้ที่เขาเดินอยู่บนถนนสายนี้ ถังซานรู้สึกราวกับตามหาเกียรติยศในความเป็มนุษย์ของเขาเจออีกครั้ง
ยิ่งเดินไปข้างหน้าเท่าไร ก็ยิ่งเข้าสู่เขตที่อู้ฟู่หรูหรา
“นายท่าน ถึงแล้วขอรับ” หน้าโรงเตี๊ยมสูงสามชั้นที่สี่แยก ถังซานเตือนด้วยเสียงเบา
เ่ิูพยักหน้ารับรู้
โรงเตี๊ยมมีกลิ่นอายและสีสันโบราณ สิ่งปลูกสร้างจากไม้แดงและอิฐหิน มีความพิเศษยิ่งนัก มองจากไกลๆ ก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานของเหล้าและอาหารหลากหลายโชยแตะจมูก คนที่เข้าโรงเตี๊ยมนี้มีแต่เศรษฐีกระเป๋าหนักหรือชนชั้นสูง สวมอาภรณ์ไหมหรูหรา เป็สถานที่ของผู้ร่ำรวยยศใหญ่อย่างชัดเจนยิ่งกว่าใดๆ
โรงเตี๊ยมมธุรส์
เป็ธุรกิจแห่งหนึ่งของตระกูลเย่ในอดีต
โรงเตี๊ยมเล็กสามชั้นแห่งนี้ แรกเริ่มได้หล่อหลอมขึ้นจากเืเนื้อแรงกายของท่านพ่อ ทำเลบนถนนอู้ฟู่แห่งนี้ ล้วนให้รายได้แก่ตระกูลเย่ทุกปีมากมาย เป็ธุรกิจหลักหนึ่งในสามของบ้าน
ภายหลังเมื่อบิดามารดาสิ้นชีพในา ที่แห่งนี้ก็ถูกคนยึดครองเอาไปโดยพลการ
พวกที่ยึดครองที่นี่ ก็คือคนที่เคยติดค้างบุญคุณผู้เป็บิดาไว้เมื่อก่อน เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ปฏิบัติตัวด้วยเสียดิบดี แต่เมื่อตายจากในา ก็พลันเปลี่ยนเป็คนละคน ใช้เล่ห์กลยึดครองโรงเตี๊ยมนี้มาเป็ของตัวเอง
เ่ิูตอนนั้นยังเด็กนัก ไม่มีกำลังจะต่อต้าน ทำได้แค่อดทน
วันนี้ โรงเตี๊ยมมธุรส์ต้องหวนคืนสู่ตระกูลเย่
ปัญหาที่ฉินหลันกลัดกลุ้มอยู่นั้น เ่ิูรู้มานานแล้ว ในเมื่อได้คฤหาสน์ประจำตระกูลคืนมาแล้ว เช่นนั้นธุรกิจทุกอย่างที่เคยเป็ของตระกูลเย่ ก็ควรจะต้องยึดกลับมาให้หมด เมื่อธุรกิจทำเงินเหล่านี้กลับคืนมา ย่อมจะสามารถเลี้ยงดูคนจำนวนมากขนาดนั้นได้แน่
“เ้าส่งข่าวบอกแล้วหรือยัง?” เ่ิูเดินตรงสู่โรงเตี๊ยม
“ข้าส่งข่าวถึงนานแล้วขอรับ เชื่อว่าลัวจิ้นคนนั้นคงกำลังรอนายท่านอยู่” ถังซานตอบอย่างว่องไว
เ่ิูพยักหน้า
หน้าโรงเตี๊ยม
“โอ้ นายท่านผู้นี้ หน้าตาไม่คุ้นเลย มามธุรส์เป็ครั้งแรกสินะขอรับ? ท่านอยากกินอะไรหรือ ข้ามิได้โม้ พวกเรามธุรส์จักหามาดังที่ท่าน้าเลยขอรับ...” เสี่ยวเอ้อร์ท่าทางฉลาดเฉลียวต้อนรับ
“ข้าคือเ่ิู ข้ามาพบลัวจิ้น” เ่ิูตอบเข้าประเด็น
เสี่ยวเอ้อร์พลันสีหน้าเปลี่ยนไป ราวกับพบศัตรูตัวฉกาจ เขามองเ่ิูหัวจรดเท้าอย่างละเอียด แล้วจึงว่าเสียงเยียบเย็น “เถ้าแก่อยู่ชั้นสาม ตามข้ามา”
เ่ิูไม่พูดอะไร เขาเพียงเดินเข้าไปในมธุรส์
พื้นที่ชั้นแรกกว้างขวางมาก พอจะจุคนได้เป็ร้อย โต๊ะเก้าอี้ไม้แดงเรียงราย สภาพแวดล้อมกว้างขวางและงดงามลงตัว แม้จะเป็ยามเช้าตรู่ ทว่าใกล้เคียงกับที่ถังซานคาดไว้ แขกมาหลายคนแล้ว โดยพื้นก็นั่งกันเต็มเอี้ยดหมด
“คนมากมายขนาดนี้ เทน้ำเทท่าแน่ขอรับ” ถังซานกระซิบ
เ่ิูได้ยิน ทว่าก็แค่คลี่ยิ้มเท่านั้น
รอจนมาถึงชั้นสองแล้ว ถังซานก็พิจารณาดูทันที เพราะเป็หอใหญ่ที่สามารถจุคนได้ห้าร้อยกว่าคน นอกเหนือจากแขกที่ดูอันธพาลเหมือนเป็จอมยุทธ์พเนจรสิบกว่าคนแล้ว ก็ยังมีทหารสามสิบกว่าคนติดอาวุธพร้อมพรักนั่งทะมึนอยู่ รังสีโหดร้ายและป่าเถื่อน
“นายท่าน นี่...” ถังซานเตือนอย่างลุกลี้ลุกลน
เ่ิูกลับเหมือนไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น เขาไม่ได้เหลือบมองคนพวกนี้แม้สักนิดเดียวและเดินขึ้นไปยังชั้นสาม
ถังซานทำได้เพียงใจกล้าหน้านิ่งเดินตามหลังไป
พอเหยียบชั้นสามเข้าแล้ว เส้นแสงพลันส่องปลอดโปร่ง
แสงอาทิตย์สีทองส่องผ่านลูกกรงลงมา พื้นไม้แดงสะท้อนแสงเล็กน้อย ผนังสีแดงชาดราวเปลวเพลิงสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง แบ่งชั้นสามออกเป็ห้าส่วนที่ดูเหมือนแปลกแยกแต่ก็ติดต่อกัน ทุกสิ่งล้วนลงตัว แม้ไม่สม่ำเสมอก็งดงามเหมือนเดิม
เทียบกับชั้นหนึ่งและชั้นสองแล้ว ชั้นสามนี้โอ่อ่างามล้ำมากกว่านัก เต็มอิ่มด้วยกลิ่นอายแห่งความสบายและสูงศักดิ์
ที่นี่ก็มีคนอยู่เต็มเช่นเดียวกัน
“ฮ่าๆๆ หลานเย่ ข้าได้ยินว่าเ้าอยากมาที่นี่โดยไว อาลัวรอเหงือกแห้งมาครึ่งชั่วยามแล้วนะ มาเร็วนั่งๆๆ” เสียงหัวเราะแจ่มใสดังมา ชายกลางคนท่าทีไม่ธรรมดากวักมือเรียกเ่ิู
ชายคนนี้ดูอายุราวสี่สิบกว่าๆ หน้าขาวไร้หนวดเคราทั้งยังเกลี้ยงเกลา คิดได้ว่าเมื่อวัยหนุ่มคงเป็หนุ่มรูปงามหาตัวจับยากทีเดียว เขาสวมอาภรณ์จากไหม ใช้ผ้าไหมจากแหล่งที่ดีที่สุดในลู่ิคือ ‘เย็บปักถักร้อยหลี่’ รูปร่างสูงใหญ่ ให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือแก่คนมอง
คนๆ นี้คือลัวจิ้น
เคยติดหนี้บุญคุณผู้เป็บิดาของเ่ิู ทว่าเมื่อเขาสิ้นใจ กลับเป็คนใจโฉดฮุบเอากิจการของผู้มีพระคุณไปกินเสียเอง
ยามนี้ทำเหมือนไม่เคยมีเื่ใดเกิดขึ้นมาก่อน หัวเราะเฮอะๆ แก่เ่ิู แสดงตนเป็ผู้ใหญ่น่านับหน้าถือตาเหมือนเดิม
เ่ิูเพียงจ้องมองเขาแล้วคลี่ยิ้ม มิเอื้อนเอ่ยคำใด
สายตาอ้อมจากร่างลัวจิ้นไปกวาดมองคนสองสามโต๊ะจนทั่ว เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วกล่าว “จินชื่อเหรินจากโรงเหล็กเหลียนเฟิง หวางโหยวเต๋อจากร้านฝูหรง ถงิถังจากเมี่ยวอวี้ เนี่ยอิ่นจากโรงศิลปะยุทธ์ทิงเทาซวน...พวกสวะที่กล้าหั่นกิจการของตระกูลเย่ วันนี้มากันครบแล้ว เยี่ยมจริงๆ ประหยัดเวลาไปหาทีละตัวดีเหลือเกิน”
พูดยังไม่ทันจบ
ปัง!
คนอ้วนสวมเกราะตบโต๊ะดังสนั่น เขาผุดยืนอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าอูมดุร้ายตวาดอย่างโมโห “ไอ้เด็กบ้า ตระกูลเย่เหลือแต่เ้าหัวเดียวโด่ๆ ถ้าไม่อยากถูกถอนรากถอนโคนก็กลับไปเฝ้าหลุมศพซะ ว่าง่ายๆ โตไวๆ ถ้าจะให้ผู้ใหญ่คายทุกอย่างที่มีออกมากองให้ต่อหน้า น่ากลัวว่าเอ็งจะไม่มีปัญญาทำได้น่ะสิวะ!”
ถังซานใจนแทบะโ
เ้าอ้วนคนนี้เ้าเนื้อนัก เขาผุดลุกขึ้นมาฉับพลัน ไขมันสั่นสะท้าน เหมือนูเาเนื้อคนกำลังกลิ้งหลุน เกราะไม่ค่อยจะติดกันดีด้วยซ้ำ นี่คือจินชื่อเหริน เ้าของโรงเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ ‘เหลียนเฟิง’ มีชื่อในเื่ความอารมณ์ร้อนและหยาบคายเป็ที่สุด
เ่ิูไม่เพียงไม่โกรธเท่านั้น ยังยิ้มส่งให้พลางว่า “เ้าอ้วนจิน เบาลงหน่อยสิ ทุกอย่างของมธุรส์เป็ของตระกูลเย่ โต๊ะตัวนี้ก็เป็ของตระกูลเย่ของข้า ถ้าเกิดถูกทำลายจนพัง เ้าก็ต้องจ่ายค่าชดใช้ด้วยนะ”