บทที่ 29: ฝึกกระบี่ อิ๋งปิงเตรียมมุ่งหน้าสู่ที่หมาย
ศาลาชิวสุ่ย
ยามค่ำคืน อากาศเย็นสบาย คืนนี้บนโต๊ะมีกับข้าวเพียงสามอย่าง ซึ่งไม่ได้มาจากฝีมือของหลี่โม่ แต่ถูกซื้อมาจากโรงอาหาร
อิ๋งปิงถือชาม แก้มขยับเบา ๆ นางกินไปเพียงครึ่งชามก็วางตะเกียบลง อาหารวันนี้ช่างจืดชืดไร้รสชาติสิ้นดี อิ๋งปิงไม่เคยใส่ใจเื่อาหารการกิน ขอเพียงสะอาดและอิ่มท้องก็พอ สำหรับนาง การกินอาหารเป็เพียงเพราะร่างกายในปัจจุบันยัง้าการบริโภคเท่านั้น ความอยากอาหารของนางนั้นจืดจางไม่ต่างจากความปรารถนาอื่นใด
อืม... ก่อนที่จะได้ลิ้มรสหม้อไฟและปิ้งย่าง มันก็เป็เช่นนั้นจริง ๆ
‘ข้าทนอยู่ในความมืดได้เสมอ หากไม่เคยเห็นแสงสว่าง’
หลักการนี้ก็ใช้ได้กับเื่อาหารเช่นกัน เมื่อได้มองอาหารธรรมดา ๆ เหล่านี้อีกครั้ง อิ๋งปิงก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจเล็กน้อย นางเหลือบตาเบา ๆ ไปทางฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มกำลังตักอาหารกินอย่างเป็กลไก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยในชีวิต ศิษย์น้องหลี่มีอารมณ์ที่สับสนยิ่งนัก
“ค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์... ศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์...”
ตอนที่มู่หรงเซียวกระซิบกับเขาว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้น อาจเป็เพราะศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ก้นถ้ำเทพศาสตรา สีหน้าของหลี่โม่ก็ฉายแววถึงอารมณ์หลากหลาย
“วิชาดาบกระเรียนเพลิงนับพันขั้นชำนาญ แต่กระบี่เพลิงสีชาดกลับไม่สนใจข้าเลย”
“ข้าไม่เคยฝึกฝนวิชาค้อนเลยแม้แต่น้อย ทว่าค้อนศักดิ์สิทธิ์กลับหลงใหลในตัวข้า”
ค้อนเล่มนั้น พูดได้ว่าเป็พ่อของกระบี่เพลิงสีชาดก็ไม่เกินจริง หรือว่าแท้จริงแล้วเขาไม่เหมาะกับวิชากระบี่ แต่กลับเหมาะกับวิชาค้อนกันแน่? ในหัวของเขาอดไม่ได้ที่จะปรากฏภาพตัวเองยิ้มร้ายกาจ แล้วเหวี่ยงค้อนทุบกะโหลกศีรษะศัตรูให้แหลกละเอียด...
“หึ่ย...”
“เป็ไปไม่ได้! ไม่มีทางเป็ไปได้!”
หลี่โม่วางตะเกียบลงเสียงดัง เพื่อสลายภาพในหัวออกไป เขาไม่มีกะใจจะกินข้าวอีกแล้ว เขาหยิบกระบี่ยาวขึ้นมาแล้วเดินไปยังลานบ้าน เมื่อเริ่มจับกระบี่เหล็กกล้าสีดำ เขาก็ฝึกฝนวิชาดาบด้วยตัวเองเป็ครั้งแรก แสงกระบี่วาดวนไปมา พริ้วไหวราวกับเสือโคร่ง
ในวัยเพียงเท่านี้ การฝึกฝนวิชาดาบกระเรียนเพลิงนับพันระดับสูงให้ถึงขั้นชำนาญ ไม่ว่าผู้าุโท่านใดเห็น ก็อดที่จะเอ่ยปากชมว่าเป็อัจฉริยะด้านวิถีกระบี่ไม่ได้
“ในเวลาเพียงสิบวัน เขาก็สามารถบรรลุขั้นชำนาญได้แล้ว”
“ก็ถือว่าพอมีพร์ในการเรียนรู้กระบี่อยู่บ้าง”
อิ๋งปิงเพียงรู้สึกว่าพอใช้ได้ แต่ยังห่างไกลจากคำว่าอัจฉริยะจากวิถีกระบี่ที่แท้จริงมาก เพราะแม้จะไม่มีประสบการณ์และความรู้ในชาติที่แล้ว นางก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น ในการเรียนรู้วิชาดาบกระเรียนเพลิงนับพันระดับสูงให้ถึงขั้นชำนาญ
ทว่า ในวิถีแห่งกระบี่ ยังมีอสูรที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น ผู้ที่มีใจและกระดูกกระบี่มาแต่กำเนิด วิชาดาบใด ๆ เพียงแค่เหลือบมองครั้งเดียวก็สามารถคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ได้ คิดค้นวิชาดาบระดับสุดยอดได้ด้วยตัวเองในวัยสิบปี พออายุยี่สิบก็สามารถฝึกฝนวิชาดาบระดับสุดยอดจนบรรลุขั้นเปลี่ยนแปลงกายได้ คนประเภทนี้มีอยู่จริง ๆ และยังเป็ผู้ที่อิ๋งปิงประทับใจเป็อย่างมาก แม้ผู้นั้นจะพ่ายแพ้และอยู่ภายใต้การปกครองของนางก็ตาม
หากหลี่โม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ คงได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น ตัวเขาเองย่อมรู้ดีที่สุดในเื่ของตัวเอง เขาใช้เวลาฝึกกระบี่นานกว่า่ชีวิตตัวเองเสียอีก ตอนนี้ยังถือว่าแค่พอใช้ได้เท่านั้น พร์ที่แท้จริงของเขาก็คงจะไร้สาระเอามาก ๆ...
“ไม่รู้สึกถึงความก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย”
“แม้แต่แสงสว่างที่จะบรรลุขั้นแตกฉานก็ยังมองไม่เห็น”
ขณะที่หลี่โม่กำลังฝึกกระบี่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับความจริง นี่ไม่ใช่การฝึกกระบี่ อย่างมากก็เป็แค่การร่ายรำกระบี่เท่านั้น ฝึกไปหนึ่งรอบก็ไม่มีความก้าวหน้าเลย เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพยายามไปในทิศทางใด คนเราไม่กลัวว่าจะหมดความพยายาม แต่กลัวว่าจะหาทิศทางที่ควรพยายามไม่เจอ หรือว่าเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อวิถีแห่งกระบี่กันแน่?
“วิชาดาบของเ้า เน้นที่การเก็บงำพลัง ไม่ต้องรีบปล่อยออกไป”
ข้างหูพลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและใสกระจ่าง หลี่โม่ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกมือเรียวยาวของนางรับกระบี่เหล็กกล้าสีดำที่อยู่ในมือไปแล้ว
“ยิ่งสะสมได้นานเท่าไร พลังที่ะเิออกมาสุดท้ายก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น”
ฉึก—
“ดังนั้น การออกกระบี่ควรจะอ่อนช้อยดุจการปักผ้า ควบคุมพลังทุกส่วนของตนเอง”
ชวับ—
“ยิ่งเ้าควบคุมพลังได้ดีเท่าไร พลังที่สะสมได้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”
หญิงงามภายใต้แสงจันทร์ ร่ายรำกระบี่อย่างพลิ้วไหว นางใช้กระบี่ด้วยความตั้งใจและจริงจัง ท่าทางสง่างามดุจเทพธิดาผู้ไร้ราคี งดงามกลมกลืนราวกับบัวน้ำแข็งในบึงลึกของป่าเขาผ่านฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ และค่อย ๆ เบ่งบาน
หลี่โม่ จ้องมองอย่างเหม่อลอย ทว่าเขากลับรู้สึกงงงวยเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัย ยัยก้อนน้ำแข็งคงไม่เคยฝึกวิชาดาบกระเรียนเพลิงนับพันใช่ไหม? สิ่งที่นางพูดนั้นถูกต้องหรือ?
【ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ยี่สิบปี ถูกบรรจุเข้าไปสำเร็จ】
ศิษย์น้องหลี่เลือกที่จะ‘เพิ่มเติมความใจเล็กน้อย’ เพราะการทดสอบของสำนักกำลังจะมาถึง การเพิ่มพูนวิชาดาบย่อมมีประโยชน์แน่นอน
【ปีที่หนึ่ง: ด้วยคำชี้แนะของอิ๋งปิง ท่านได้พบทิศทางที่ถูกต้องในการฝึกฝนวิชาดาบกระเรียนเพลิงนับพัน】
【ปีที่ห้า: ท่านพยายามฝึกฝนการควบคุมกระบี่อย่างหนัก จนในที่สุดก็สามารถเก็บสะสมพลังได้ถึงสิบเจ็ดขนกระเรียนโดยไม่ปล่อยออกไป】
【ปีที่เจ็ด: ยิ่งฝึกฝนไปข้างหน้า การควบคุมก็ยิ่งยากขึ้น แม้แต่ความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาล ท่านใช้เวลาสองปีแต่ไม่มีความก้าวหน้าใด ๆ】
【ปีที่สิบสาม: ด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ในที่สุดท่านก็หลอมรวมเทคนิคเข้ากับสัญชาตญาณของร่างกายได้สำเร็จ สามารถเก็บสะสมพลังได้ถึงยี่สิบสี่ขน】
【ปีที่ยี่สิบ: ท่านประสบความสำเร็จเป็ครั้งแรกในการทดสอบกับหุ่นไม้ โดยสามารถเก็บสะสมพลังได้ถึงสามสิบขน】
【วิชาดาบกระเรียนเพลิงนับพัน บรรลุขั้นแตกฉาน】
หลี่โม่ “...”
ประสบการณ์วิถีกระบี่หลั่งไหลเข้าสู่สมองราวกับน้ำ แต่ในใจเขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย คำชี้แนะของยัยก้อนน้ำแข็งนั้นถูกต้องจริง ๆ สิ่งที่ยืนยันได้คือ นางไม่เคยฝึกฝนวิชาดาบเล่มนี้ เพียงแค่ดูเขาฝึกไปรอบเดียวเท่านั้นจริง ๆ แล้ว... ยังสามารถชี้แนะเขาได้แล้วงั้นหรือ?
แม้จะไม่อยากใช้คำนี้ แต่หลี่โม่ก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับในใจว่า... แม่นางผู้นี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ
พับ พับ พับ—
เสียงทึบ ๆ ดังขึ้นต่อเนื่องกัน เมื่อเด็กสาวเก็บกระบี่แล้วหันกลับไป ต้นไผ่ที่อยู่ด้านหลังนางพลันปรากฏรอยขนนกนับสิบ และมีเกล็ดน้ำแข็งใสปรากฏขึ้นอย่างเจิดจรัส นางไม่แม้แต่จะหันกลับมา เพียงแต่เอ่ยถามเบา ๆ ว่า...
“เรียนรู้แล้วหรือยัง?”
หลี่โม่ “... เรียนรู้แล้ว”
เห็นได้ชัดว่าแม่ก้อนน้ำแข็งไม่ได้มีเจตนาเยาะเย้ย นาง้าสอนเขาจริง ๆ และนางก็เชื่อจริง ๆ ว่าเขาสามารถมีความเข้าใจและก้าวหน้าได้เพียงแค่การดูครั้งเดียว
หลี่โม่ พลันนึกถึงชาติที่แล้วที่เขาไปถามโจทย์คณิตศาสตร์กับนักเรียนหัวกะทิ อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ก็เขียนวิธีแก้ปัญหาให้ถึงสี่วิธีอย่างรวดเร็ว แต่ละวิธีล้วนเกินหลักสูตร แล้วยังถามเขาอย่างจริงใจว่า “เข้าใจแล้วหรือยัง?” “ลองทำดูอีกหนึ่งรอบ”
กระบี่ถูกโยนกลับมา หลี่โม่รับกระบี่มาฝึกฝนด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน ในดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของอิ๋งปิง สะท้อนให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มที่ดูแข็งกระด้างเล็กน้อย พร้อมกับที่นางเผยรอยยิ้มพึงพอใจ
ถือว่าก็ไม่เลว สามารถสอนได้ ก็ถือว่าไม่โง่จนเกินไป นับได้ว่าเป็คนที่มีพร์ในการฝึกกระบี่
“ข้าฝึกถูกแล้วใช่ไหม?”
หลี่โม่ หันกลับไป ก็พบว่าด้านหลังของเขานั้นว่างเปล่า หน้าต่างชั้นสองปิดลงแล้ว และมีชั้นน้ำแข็งบาง ๆ เกาะอยู่บนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ดูท่าว่านางคงกลับไปฝึกวิชาแล้วจริง ๆ
“ยัยก้อนน้ำแข็งตอนนี้เปิดเส้นชีพจรไปกี่เส้นแล้วนะ?”
หลี่โม่ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าตนเองก้าวหน้าในปราณโลหิตเร็วมากแล้ว แม้แต่ผู้ที่มีลิขิตฟ้าสีแดงก็อาจตามเขาไม่ทัน ทว่าเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ กลับทำให้เขาต้องละทิ้งความเย่อหยิ่งของตนเอง ดังนั้น ศิษย์น้องหลี่จึงเก็บความภาคภูมิใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจลงไป แล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง นั่งขัดสมาธิบนเตียง ถุงผ้าไหมขนนกเพลิงที่อกส่งความอบอุ่นออกมาอย่างมั่นคงและสงบ วิชาจิตเพลิงก่อบัว เริ่มทำงาน! คืนนี้เขาจะลองเปิดเส้นชีพจรที่เก้า!
ขณะเดียวกัน
พระจันทร์สาดส่องอยู่กลางท้องฟ้า ณ ห้องข้าง ๆ
“เส้นชีพจรที่เก้า... บรรลุแล้ว”
อิ๋งปิงลืมตาขึ้น เกล็ดน้ำแข็งบนขนตากะพริบระยับ ั้แ่เปิดเส้นชีพจรจนถึงตอนนี้ รวมแล้วไม่ถึงครึ่งเดือน นางก็สามารถเปิดเส้นชีพจรรวมได้เก้าเส้น ชาติที่แล้ว นางใช้เวลาถึงสามเดือนเต็ม ความก้าวหน้าของระดับพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ส่วนพลังต่อสู้แข็งแกร่งขึ้นไม่รู้กี่สิบเท่า! ตอนนี้ นางสามารถใช้ร่างกายปัจจุบันร่ายวิชาดาบขั้นสมบูรณ์ได้เต็มที่แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์การต่อสู้ของนาง อย่าว่าแต่แคว้นจื่อหยางหรือแดนบูรพา มองไปทั่วทั้งเก้า์สิบดินแดน ก็ยังไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ว่านางคือที่หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพลังหยินติดตัวอยู่ แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถควบคุมได้ แต่เพียงแค่ลมหายใจที่เล็ดลอดออกมาเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะใช้เป็ไม้ตายลับได้แล้ว
“การทดสอบของสำนัก ตอนนี้ข้าควรจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้เพียงพอแล้ว”
“หากได้รับหนึ่งในเก้าจิติญญาของหงส์ะอีกสักหนึ่งดวง ปราณโลหิตคงก้าวไปถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว”
“และยังมีระบบลึกลับนั่นอีก...”
ดวงตาของอิ๋งปิงฉายแววแห่งความคาดหวังอย่างไม่อาจปกปิดได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะต้องเป็ที่หนึ่งในอันดับสูงสุดของระบบอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น ก็จะได้รับรางวัลจากระบบ ซึ่งจะทำให้นางแข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากพูดถึงเพียงแค่ปราณโลหิต ไม่ว่าจะมองไปทั่วเก้า์สิบแดน หรือั้แ่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน นางก็กล้ากล่าวได้ว่าตนเองนั้นไร้ผู้เทียมทานในขั้นนี้
กาลเวลาไหลผ่าน ตะวันขึ้นจันทราลับ
ศิษย์น้องหลี่ผู้ขยันขันแข็งได้ตื่นขึ้นแล้ว และในยามเช้าตรู่เขาก็เริ่มวุ่นวายอยู่ในครัว
“เมื่อวานนางเอ่ยปากชี้แนะ ดังนั้นวันนี้ก็ทำอาหารเช้าให้มากเป็พิเศษหน่อยแล้วกัน”
“ว่าไปแล้ว การที่สามารถทะลวงเก้าเส้นชีพจรด้วยวิชาจิตเพลิงก่อบัวได้ ทำให้การควบคุมความร้อนของข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก”
หลี่โม่ผัดกับข้าวพลางคิด ใช่แล้ว เมื่อคืนเขาได้เปิดเส้นชีพจรที่เก้าแล้ว ได้ยินว่ายิ่งฝึกไปถึงขั้นหลัง ๆ การเปิดเส้นชีพจรจะยิ่งยากขึ้น แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกถึงอุปสรรคใด ๆ เลยแม้แต่น้อย การทะลวงแต่ละครั้งล้วนเป็ไปอย่างราบรื่น หลังจากทำอาหารเช้า เขาก็กินเพียงเล็กน้อย แล้วก็ออกไปที่ประตูสำนักเช่นเคย เตรียมเก็บเกี่ยวความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์อีกรอบ
“ศิษย์สายตรงหลี่ วันนี้ก็มาอีกแล้วหรือ?”
วันนี้ยังคงเป็หญิงชราผู้นั้นที่ทำเื่แจ้งการลาออกจากสำนักให้แก่ศิษย์ที่จะกลับบ้านเกิด หลี่โม่มาทุกวัน ทำเอาหญิงชราผู้นั้นรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลา ท่านไม่ได้คิดจะลาออกจากสำนักเหมือนกับศิษย์ชั้นนอกหรอกนะ?
“ไม่มีอะไร ข้าแค่มาเดินเล่น”
หลี่โม่เพิ่งจะยิ้มทักทายอีกฝ่าย แต่ในวินาทีถัดมา สีหน้าของเขาก็พลันแข็งค้างไป เขาเพิ่งเปิดใช้เนตรทิพย์ลิขิตฟ้า
【ชื่อ: เจียงเยวี่ย】
【อายุ: 19 ปี】
【รากฐานกระดูก: ไม่มี】
【ระดับ: ปราณโลหิตสี่เส้นชีพจร】
【ลิขิตฟ้า: สีดำ】
【คำวิจารณ์: หนึ่งในมวลหมู่สรรพชีวิตที่ไม่มีอะไรโดดเด่น】
【เหตุการณ์ล่าสุด: ขณะลงจากเขาเพื่อกลับบ้านเกิด ได้พบกับสาวกของพรรคอสูรปลุกิญญา และถูกปลูกฝังเมล็ดพันธุ์อสูร ถูกกลืนกินปราณโลหิตจนตาย】
【ชื่อ: ต้วนอัน 】
【อายุ: 18 ปี】
【รากฐานกระดูก: ไม่มี】
【ระดับ: ปราณโลหิตสองเส้นชีพจร】
【ลิขิตฟ้า: สีดำ】
【คำวิจารณ์: หนึ่งในมวลหมู่สรรพชีวิตที่ไม่มีอะไรโดดเด่น】
【เหตุการณ์ล่าสุด: ขณะลงจากเขาเพื่อกลับบ้านเกิด ได้พบกับสาวกของพรรคอสูรปลุกิญญา และถูกปลูกฝังเมล็ดพันธุ์อสูร ถูกกลืนกินปราณโลหิตจนตาย】
...
และคนทั้งสองนี้ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลี่โม่มองออกไป เห็นผู้คนแน่นขนัด ศิษย์แต่ละคนซึ่งกำลังจะออกจากสำนักกลับบ้านเกิด ลิขิตฟ้าบนศีรษะล้วนเป็สีดำทั้งหมด ทุกคนในที่แห่งนี้จะต้องตาย และวิธีการตายก็เหมือนกันทุกประการ
“พรรคอสูรปลุกิญญาหรือนี่?”
หลี่โม่ขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พลันยืนขึ้นตรงหน้ากลุ่มศิษย์เ่าั้
“ศิษย์พี่ทุกท่านโปรดหยุดก่อน...”
“ข้ามีเงินเก็บหนึ่งหมื่นตำลึงเงินที่หอฟางฮวา แต่ั้แ่เข้าสำนักชิงเยวียน ข้าก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะมุ่งมั่นในวิถีแห่งยุทธ์ คาดว่าจะไม่ได้ใช้เงินเ่าั้แล้ว”
“ในเมื่อพวกท่านจะกลับบ้านเกิด พวกท่านลองไปกินดื่มเที่ยวเล่นสักสองสามวัน ช่วยข้าใช้เงินเ่าั้ให้หมดไป เพื่อตัดกิเลสของข้าเสีย”
...
สิบนาทีต่อมา หลี่โม่ก็มีรายได้จากการลงทุนที่รอรับจำนวนมาก ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์รวมกันได้หนึ่งร้อยสิบปี และข้าวของจิปาถะอื่น ๆ อีกมากมาย
อืม... เหล่าศิษย์ที่กลับบ้านเกิดกลุ่มนั้น ถูกเขาหลอกล่อไปที่หอฟางฮวาจนหมดสิ้น
หอฟางฮวาเป็สถานบันเทิงที่คึกคักที่สุดในเมืองจื่อหยาง ซึ่งมักจะมีขุนนางผู้ใหญ่เข้าออก ค่าใช้จ่ายในการพักค้างคืนที่ถูกที่สุดก็สามสิบตำลึงเงิน แน่นอนว่า ที่นั่นก็เป็สถานที่ที่ปลอดภัยเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าจะไปกินดื่มเที่ยวเล่นที่หอฟางฮวาโดยไม่เสียเงิน ทุกคนก็ดีใจจนเนื้อเต้นอย่างเห็นได้ชัด
มีเื่ดี ๆ แบบนี้ด้วยหรือนี่? ถึงขั้นที่ตอนนี้เหลือแค่จะเอ่ยปากเรียกหลี่โม่ว่าพ่อบุญธรรมแล้ว!
ดูจากท่าทางกระตือรือร้นของพวกเขา คาดว่าถ้าไม่ได้เล่นให้สะใจสักสองสามวัน คงไม่ยอมออกมาง่าย ๆ แน่
“พรรคอสูรปลุกิญญา ดูเหมือนจะไม่ได้เป็หนึ่งในสามสำนักหลักของแคว้นจื่อหยาง”
“ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็สำนักที่ถูกต้องนัก...”
หลี่โม่เก็บสายตากลับ แล้วเดินไปทางยอดเขาเทพศาสตรา โลกนี้ไม่ใช่สังคมที่ยึดหลักกฎหมายสักเท่าไหร่ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ การที่ตนเองจะแข็งแกร่งขึ้นต่างหากคือความจริงแท้ที่สุด
เพียงพริบตา สามวันผ่านไป
ศาลาชิวสุ่ย
“ดูท่าคงจะเป็สิบเส้นชีพจรแล้ว”
หลี่โม่ลุกขึ้นยืน นวดต้นขาที่นั่งจนเมื่อยล้าทั้งคืน แล้วเปิดห่อผ้าที่อยู่ข้าง ๆ
ข้างในมีเสื้อผ้าสองชุด ชุดหนึ่งสีดำ อีกชุดสีน้ำเงินเข้ม ล้วนทำจากผ้าไหมซงเจียงอย่างดี ศิษย์น้องหลี่มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็ฝีมือของท่านแม่ของเขา ในห่อผ้ายังมีจดหมายจากบ้านฉบับหนึ่ง
“ลูกรักโปรดอ่าน เห็นลายมือดุจได้พบหน้า”
“ลูกกับเสี่ยวปิงเอ๋อร์ได้เป็ศิษย์สายตรงของสำนักชิงเยวียนแล้วหรือ? ดี ๆ ๆ ๆ ลูกข้าช่างองอาจดุจข้าจริง ๆ!”
ลายมือนั้นค่อนข้างยุ่งเหยิง ดูท่าว่าคุณพ่อคงจะตื่นเต้นมากตอนเขียนจนแทบจับปากกาไม่มั่นคง หลี่โม่หัวเราะเบา ๆ แล้วอ่านต่อไป
“ในเมื่อได้เป็ศิษย์สายตรงแล้ว ฝึกวิชาก็ควรจะเติบโตขึ้นบ้าง ปรับปรุงนิสัยซุกซนเ่าั้ ไม่ควรทำตัวเกเรเหมือนเมื่อก่อน”
“ลูกผู้ชายอกสามศอก เมื่อสร้างครอบครัวแล้ว จึงจะสร้างฐานะได้ และลูกก็ถึงเวลาที่จะพิจารณาเื่การแต่งงานแล้ว”
“สำหรับเสี่ยวปิงเอ๋อร์ ก็ต้องดูแลเป็พิเศษหน่อยนะ พวกเ้าสองคนรู้จักกันมาั้แ่เด็ก บัดนี้ก็ได้เข้าสำนักชิงเยวียนด้วยกัน และเป็ศิษย์สายตรงเหมือนกัน นี่คือวาสนาที่ฟ้าประทานมาให้ ต้นไม้อยู่ใกล้น้ำ ย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อนใคร ลูกก็ต้องฉลาด ๆ หน่อยนะ จงคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี!!!”
เห็นได้ชัดว่าคุณพ่อค่อนข้างรีบร้อน และตอนท้ายเขียนหนักมือเป็พิเศษ ราวกับอยากจะอุ้มหลานอ้วนท้วนในปีหน้าให้ได้แล้ว
หลี่โม่: “...”
ใครจะเข้าใจความรู้สึกนี้บ้าง? แม้ในชาติที่แล้วตอนอายุยี่สิบหก เขาก็ถูกเร่งให้มีลูกจนแทบตาย ชาตินี้อายุสิบหก ก็ยังหนีไม่พ้นการโดนเร่งแต่งงาน ก็จริงอยู่ที่ในราชวงศ์ต้าอวี้ การที่ผู้ชายแต่งงานตอนอายุสิบหกก็ค่อนข้างเป็เื่ปกติ
“นี่เป็ปัญหาของข้าหรือเปล่า...”
หลี่โม่ปวดหัวเล็กน้อย ยากที่จะจินตนาการภาพยัยก้อนน้ำแข็งในฐานะภรรยาและแม่ที่ดีได้ ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่นเลยด้วยซ้ำ แค่คิดว่าทั้งสองคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ศิษย์น้องหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุก
“ดูท่าคงต้องทำให้ท่านพ่อผิดหวังแล้วล่ะ”
หลี่โม่ส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ในเวลาเพียงครึ่งเดือน เด็กหนุ่มในกระจกมีใบหน้าคมชัดขึ้นเล็กน้อย ดูสดใสและหล่อเหลามากขึ้น ร่างกายที่เคยผอมบาง บัดนี้มีกล้ามเนื้อที่ชัดเจน เป็แบบฉบับที่ว่าใส่เสื้อผ้าดูผอม ถอดเสื้อผ้าแล้วมีกล้ามเนื้อ เมื่อสวมเสื้อผ้าที่ท่านแม่ตัดให้ ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องชมว่าหนุ่มน้อยผู้สดใสราวม้าคะนอง อืม... คือถ้าไม่นับรวมลายนกเป็ดน้ำบนเสื้อผ้าล่ะก็นะ
“อิ๋งปิง ท่านแม่ตัดเสื้อผ้าใหม่ให้เ้า”
หลี่โม่อุ้มเสื้อผ้าไปเคาะประตูห้องข้าง ๆ ่นี้เป็ฤดูฝน อากาศชื้น ประตูจึงแข็งจนเคาะแล้วมีเสียงดังตึง ๆ
“วางไว้หน้าประตูเถอะ”
เสียงที่ใสกระจ่างยิ่งกว่าน้ำแข็งดังออกมาจากข้างใน หลี่โม่พยักหน้า แล้วไปอุ่นอาหารเช้า ไม่นานนัก มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได หลี่โม่หันกลับไปโดยสัญชาตญาณ และซาลาเปาในปากก็ร่วงหล่นอย่างเงียบเชียบ
ใบหน้าเรียวงามก้มลงเล็กน้อย มีความเปล่งประกายในยามเช้าตรู่ ผมดำขลับถูกรวบขึ้นเป็หางม้าสูงที่แกว่งไปมาด้านหลัง เสื้อผ้าที่เข้ารูปทำให้นางมีรูปร่างที่งดงามยิ่งขึ้นไปอีก ขาที่เรียวยาวไร้ที่ติ และผ้าโปร่งสีดำ ยังเผยให้เห็นรูปทรงของเรียวขาได้อย่างชัดเจน
ผ้า... ผ้าโปร่งสีดำหรือนี่?
หลี่โม่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่านั่นน่าจะเป็วัสดุที่เรียกว่าผ้าไหมอู๋อวิ๋นซาที่บางเบา เหนียวทนทาน ทนความหนาวเย็นและทนความร้อนสูง ในขณะเดียวกัน ราคาก็ไม่แพง แต่อุปกรณ์ป้องกันตัวแบบนี้กลับแพงกว่าศาสตราวุธมากนัก คนที่ประดิษฐ์สิ่งนี้ขึ้นมา ช่างเป็อัจฉริยะจริง ๆ!
“ข้าจะรอเ้าที่หน้าผาวังเย่วหยาหนึ่งชั่วยาม”
“เ้าจงรีบมาให้ทันเวลา”
อิ๋งปิงเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“หน้าผาวังเย่วหยา? ทำไมหรือ?”
หลี่โม่ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงได้พูดประโยคนี้ออกมาอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายให้เขาฟัง หลี่โม่รู้สึกสงสัยในใจ จึงเปิดใช้เนตรทิพย์ลิขิตฟ้า
【ชื่อ: อิ๋งปิง】
【อายุ: 16 ปี】
【รากฐานกระดูก: กายาจันทราหงส์ไท่อิน】
【ระดับ: ปราณโลหิตสิบเส้นชีพจร】
【ลิขิตฟ้า: สีแดง (มีกระดูกจักรพรรดิ น้ำค้างหาแก่นแท้เป็ลิขิตชีวิต น้ำใสเป็จิติญญา มีลักษณะของหงส์เหิน์ 】
【คำวิจารณ์: ชะตากรรมมีภัยพิบัติมากมาย แต่ก็มักจะรอดพ้นจากเคราะห์ร้ายได้เสมอ ตอนนี้ยังอ่อนด้อยนัก เมื่อลมปราณเปลี่ยนผัน ย่อมทะยานสู่เก้า์สิบดินแดน เฉกเช่นหงส์ที่เหินทั่วหกทิศแปดทิศ】
【เหตุการณ์ล่าสุด: เข้าร่วมการทดสอบของสำนัก ตั้งใจจะไปที่สถานที่สืบทอดมรดกหงส์ะเก้าสี เพื่อรับ ‘จิติญญารุ่งอรุณ’ หนึ่งในเก้าจิติญญาของหงส์ะ เพื่อตอบแทนบุญคุณ จึงเตรียมพา ‘ตัวถ่วง’ คนหนึ่งไปด้วย】
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้