บทที่ 170 เริ่มดีขึ้น
“ถ้ายังทำตัวหยาบคายต่อไป ข้าจะไม่สนใจเ้าแล้วนะ เฮอะ”
ฉู่ซินเหยาหน้าแดงด้วยความเขินอาย ท่าทางและความคิดของนางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางมองที่ฉู่อวิ๋น น้ำเสียงค่อนข้างไม่พอใจ แต่เสียงที่แว่วกลับมาหวานแ่เบาราวกับผ้าคลุมหน้า
เดิมที นางคิดว่าคนคนนี้เป็ไม้หลักปักเลน แต่ไม่เคยคิดเลยว่า “ซิวหลัวหน้าผี” ผู้นี้คือฉู่อวิ๋นที่ปลอมตัวมา แถมเขายังพูดจาน่ารังเกียจและแกล้งทำเป็รังแกนางอีกด้วย
เมื่อครู่นี้ ฉู่ซินเหยาใมาก อวิ๋นเอ๋อร์ทำแบบนี้แล้ว ยังคิดจะมาแกล้งพี่สาวอีก!
ไม่รู้หรือว่านางคิดถึงเขาแค่ไหน?
“คุณหนูฉู่ งดงามหยาดฟ้ามาดิน รูปกายสมบูรณ์พร้อมเหมาะแก่การเป็มารดา ข้าจึงหมกมุ่นไปชั่วครู่ หักห้ามใจตัวเองไม่ได้เลย!”
ฉู่อวิ๋นกลั้นรอยยิ้ม นี่เป็การสนทนาปกติ แต่ด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปมันจึงฟังดูค่อนข้างตลก
แต่ฉู่ซินเหยาที่ได้ยินคำพูดนี้กลับต่างไป ใบหน้างดงามของนางแดงขึ้นเรื่อยๆ ทำไมจู่ๆ ชายคนนี้ถึงกลายเป็คนเ้าชู้เช่นนี้กัน เขา้าใช้ประโยชน์จากการปลอมตัวมาล้อนางหรือ?
“น่าเกลียด~ ไม่สนใจเ้าแล้ว” ฉู่ซินเหยาสะบัดสะบิ้ง หันกลับไปมองทะเลสาบ ไม่ปล่อยให้ฉู่อวิ๋นเห็นท่าทางเขินอายของนาง
เพราะความจริงแล้วนั้น หัวใจนางเต้นระรัว สุขใจอย่างที่สุด
เพราะเมื่อครู่เป็ครั้งแรกที่ฉู่ซินเหยาได้ยินฉู่อวิ๋นชมนาง บอกว่านางงดงามและมีรูปร่างดี น่ารังเกียจนัก ถึงตอนนี้แล้วเพิ่งจะรู้หรืออย่างไร? เ้าผีทึมทื่อ
“ข้าอ่อนแอมาก จะคลอดบุตรได้อย่างไร?” ทว่าจู่ๆ ฉู่ซินเหยาก็หรี่ตาลงและแอบถอนหายใจ
“ถ้าพยายามมากกว่านี้ ก็คง... ก็คงจะเป็ไปได้”
“แต่สุดท้ายแล้วเราจะมีลูกกันกี่คนเล่า?”
“หนึ่งหรือ? ไม่ นั่นน้อยไป”
“อย่างน้อยเราก็ต้องมีลูกแฝด ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แต่แค่นี้จะพอหรือ?”
“ในตระกูลมีคนน้อยมาก และอวิ๋นเอ๋อร์ก็ชอบความรื่นเริง หากเรา้าขยายตระกูลและสร้างครอบครัวใหม่ เราต้องมีลูกเยอะหน่อย”
“อ๊ะ! ข้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
ในขณะนี้ ฉู่ซินเหยากำลังอยู่ในจินตนาการของหญิงสาวอย่างเต็มที่ บางครั้งก็ยิ้มหวาน บางครั้งก็มีแววตาโหยหา
แน่นอนว่า ใบหน้าของฉู่อวิ๋นก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เขาสับสน เกิดอะไรขึ้น?... รู้สึกว่าพี่ซินเหยาดูเหมือนจะกังวลอะไรอยู่
นางโกรธเขาจริงๆ หรือ?
ฉู่อวิ๋นไอเบาๆ และพูดอย่างจริงจัง “คุณหนูฉู่ ใจเย็นลงก่อนเถอะ เรามานั่งคุยกันดีกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่ซินเหยาก็ตัวสั่นและตระหนักได้ว่านางสูญเสียท่าทีต่อหน้าฉู่อวิ๋นไปแล้ว นางไม่สนใจเื่ในยามนี้ แต่กลับพะวงถึงเื่ในอนาคต
นางรวบรวมสติกลับมาในชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ขยับตัวนั่งลงที่โต๊ะหินเบาๆ เผชิญหน้ากับฉู่อวิ๋นอีกครั้ง
แปลกนักที่ทั้งคู่เคยพบกันที่นี่มาก่อน แต่ตัวตนของฉู่อวิ๋นนั้นแตกต่างจากเดิม
ครั้งที่แล้ว ฉู่อวิ๋นเป็คนป่าที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
คราวนี้เขาคือ “ซิวหลัวหน้าผี” ที่มาขอแต่งงาน
“ข้ากำลังขอพี่ซินเหยาแต่งงานจริงๆ สินะ” ฉู่อวิ๋นหัวเราะเบาๆ รู้สึกว่าโชคชะตากำลังเล่นตลก
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็แสร้งทำเป็พูดคุยกับฉู่ซินเหยาตามปกติ แต่ในความเป็จริงแล้ว เขากำลังใช้พลังจิตเพื่อปิดเสียงกระซิบและส่งเสียงพูดคุยเข้าไปในหูของฉู่ซินเหยา
แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่น ในไม่ช้า ฉู่ซินเหยาก็รู้ว่านางต้องบอกกับฉู่เจิ้นหนานว่าตนเลือกแต่งงานกับตระกูลหลิง
แม้ว่าฉู่ซินเหยาจะไม่ทราบรายละเอียดของแผน แต่นางก็พยักหน้าตกลงทันที เพราะนางเชื่อมั่นในฉู่อวิ๋นสุดหัวใจ ตราบใดที่นางเชื่อฟัง เขาจะพูดอะไรก็ถูกต้องทั้งนั้น
ทั้งสองพูดคุยกันสักพักก่อนที่ฉู่อวิ๋นจะจำใจจาก หากยังคงพูดคุยกันต่อไปอาจเป็ช่องโหว่ให้โดนจับได้ก็ได้
“พี่ซินเหยา วันที่จะช่วยท่านใกล้เข้ามาแล้ว เชื่ออวิ๋นเอ๋อร์นะ ข้าจะพาท่านหนีไปให้ไกลแน่นอน! ไม่มีใครจะมาหยุดอนาคตของเราได้”
ก่อนไป ฉู่อวิ๋นปลอบใจฉู่ซินเหยาเป็พิเศษด้วยน้ำเสียงหนักแน่น บอกให้นางไม่ต้องกังวล
หลังจากได้ยินคำนี้ ดวงตาอันอ่อนโยนของฉู่ซินเหยาก็เต็มไปด้วยความรัก นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เผยรอยยิ้มที่ส่องสว่างบดบังทุกสิ่งอย่าง
“เข้าใจแล้ว พี่จะรอเ้า…”
พูดจบ ฉู่ซินเหยาก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน สบมองกับฉู่อวิ๋นด้วยความชื่นชมและความคาดหวังอย่างไม่มีสิ้นสุด
ในที่สุด ทั้งสองก็สบตากันอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งฉู่อวิ๋นต้องกัดฟันและหันหลังจากไป
ในเวลานี้ ที่ศาลากลางทะเลสาบ คนงามถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับความว่างเปล่า ราวกับเทพเซียนที่ถูกเนรเทศมาสู่ธุลีแดง โดดเดี่ยวอาดูร
“ข้าจะรอเ้าเสมอ”
นางมองตามแผ่นหลังของฉู่อวิ๋น อยากจะเอื้อมมือออกไปััใจจะขาด แต่ทำได้เพียงกัดริมฝีปากสีแดงสดแน่น แล้วกล่าวคำลากับฉู่อวิ๋นด้วยสายตาแสนรัก
ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ไกลขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน ณ มุมหนึ่งของเรือนกลิ่นกำจร
“ดูท่าแล้วนังหนูคนนี้จะประทับใจทายาทของตระกูลผู้ฝึกฝนอันศักดิ์สิทธิ์นะ ดูเหมือนว่านางจะอารมณ์ดี” ฉู่เจียงยิ้มและพยักหน้า
“หึ อย่างไรก็เป็เด็กผู้หญิง ได้พบเห็นอัจฉริยะที่โดดเด่น ย่อมรู้สึกชื่นชมบ้างเป็ธรรมดา” ฉู่เจิ้นหนานกล่าว
“โอ้? หรือเ้าตัดสินใจหมั้นนางกับตระกูลหลิงแล้วหรือ? พลังอำนาจนี้ไม่เลวเลย ยอมรับได้”
“รอดูไม่ก่อนเถอะ ยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ยังต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน”
ฉู่เจิ้นหนานกะพริบตา พลางเยาะเย้ย
ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ดวงตะวันส่องแสงแผดจ้าอยู่กลางท้องฟ้า ผู้คนเนืองแน่นขวั่กไขว่อยู่บนถนน เมืองชุยเสวี่ยมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากออกจากเรือนกลิ่นกำจรแล้ว ฉู่อวิ๋นและหลิงจื้อก็กลับไปที่จวนเสวี่ยเทียน ก่อนที่ทั้งคู่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างราบรื่น ฉู่ซินเหยาไม่เพียงแต่ได้รู้แผนการหลบหนีเท่านั้น แต่หลิงจื้อเองก็ยังได้รับความโปรดปรานจากฉู่เจียงที่นำของขวัญไปมอบให้ด้วยไม่น้อย
ตอนนี้ ความหวังของตระกูลหลิงในการได้คนงามกลับบ้านนั้น เหนือกว่าอีกสองคนอย่างแน่นอน
หลังจากกลับมาที่ลานบ้าน ฉู่อวิ๋นก็ถอดหน้ากากออก รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว สถานการณ์ดูเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาก
บ่ายวันนั้น ฉู่อวิ๋นรู้สึกเบื่อ เขาจึงหยิบหนังสือ “วิภาสบังเหิน” มาอ่านรายละเอียดที่เหลือ
ด้วยการฝึกฝนทางิญญาในปัจจุบันของเขา หลังจากอ่านได้สักระยะหนึ่ง เขาก็สามารถจดจำวิชากระบี่ทั้งหมดที่บันทึกไว้ได้
ทุกการเคลื่อนไหว ทุกกระบวนท่า ทิ้งความประทับใจอันเหนียวแน่นให้กับฉู่อวิ๋น
ยิ่งไปกว่านั้น วิชากระบี่ของฉู่อวิ๋นเองก็ได้เข้าถึงสภาวะจิตไหวกระบี่ระดับสูงแล้ว ่บ่ายวันนั้น เขาจึงฝึกฝนวิชาโบราณนี้ให้คล่องมือขึ้นมากสักหน่อย
“ควับ!”
ในสวน แสงดาบสีแดงกะพริบอย่างต่อเนื่อง ตัดผ่านใบไม้ที่ร่วงหล่นลงบนพื้น แผดเผาพวกมันเป็เถ้าถ่าน และกระตุ้นคลื่นความร้อนนับร้อย พลังที่ปะทุออกมานี้ค่อนข้างน่าประหลาดใจ
แต่แม้ว่าแสงกระบี่นี้จะน่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยพลังเพียงใด ฉู่อวิ๋นกลับไม่มีความสุข
เพราะพลังที่ไม่มีใครเทียบได้นี้ เกิดจากคุณสมบัติของพลังปราณไฟหยางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับวิชากระบี่นี้เลย
“นี่เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า? ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ พลังของวิชากระบี่นี้เทียบไม่ได้กับวิชากระบี่ระดับต่ำด้วยซ้ำ!”
ฉู่อวิ๋นขมวดคิ้วและถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าๆ เขาสับสนมาก ก่อนจะเดินแกว่งกระบี่ไปรอบๆ สวนอย่างทำอะไรไมได้เลย
“ผู้าุโ นี่ท่านกำลังหลอกข้าอยู่หรือเปล่า…?”
ในที่สุด หลังจากพยายามมานับครั้งไม่ถ้วน มีเพียงตอนกลางคืนเท่านั้น ที่เขาพบว่าพลังของกระบี่จะกลับมาเหมือนเดิม ฉู่อวิ๋นจึงอดบอกให้โยวกู่จือรู้ไม่ได้
ในเวลานี้ โยวกู่จือฟื้นตัวแล้ว เขากลายเป็ไข่มุกะเิไทวะสีดำสนิทและลอยขึ้นไปในอากาศ เขาสับสนมากและพูดว่า “เป็ไปไม่ได้! ในยุคของข้า นี่เป็ทักษะกระบี่ระดับสูงในระดับิญญาจริงๆ!”
เมื่อได้ยิน ฉู่อวิ๋นก็ถอนหายใจ หยิบม้วนหนังสือที่ขาดรุ่งริ่งออกมา ขมวดคิ้วและพูดว่า “เป็เพราะวิชากระบี่นี้หายไปสองสามหน้าและไม่สมบูรณ์หรือเปล่า พลังถึงได้ขาดหายไป?”
“ไม่มีทาง! ข้าเคยเห็นวิชากระบี่นี้มาก่อน ทั้งยังจดจำได้ชัดเจนมาก กระบวนท่าที่เ้าแสดงเมื่อครู่นี้ก็เหมือนกับที่ข้าเห็นในตอนนั้นทุกประการ!”
วิภาสบังเหิน ก็ตามชื่อ เปลี่ยนแปลงพลังกระบี่ให้เป็แสงกระบี่ที่ลุกโชติ่ ควบแน่นเป็แสงกระบี่ที่แหลมคม แล้วฟันมันออกไปอย่างรวดเร็ว การโจมตีรุนแรงมาก จนยากจะต้านทาน
พูดตามหลักเหตุผลแล้ว วิชากระบี่นี้เหมาะสำหรับฉู่อวิ๋นมาก เนื่องจากคุณสมบัติพลังปราณในปัจจุบันของเขาคือไฟ เขาจึงสามารถสร้างปราณกระบี่ที่ลุกโชนได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าฉู่อวิ๋นสามารถใช้วิชากระบี่นี้ได้ถึงขีดสุด และทุกการเคลื่อนไหวก็สมบูรณ์แบบ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับไม่เป็ที่น่าพอใจ
แสงกระบี่เ่าั้เป็เหมือนแผ่นทรายที่หลุดลอก ไม่ใช่พลังอย่างที่โยวกู่จือพูดเลย
“หรือว่ามีการเคลื่อนไหวที่สำคัญหายไปจริงๆ?” โยวกู่จือเองก็เริ่มสงสัยในตัวเองแล้ว
“เด็กไม่น้อย เ้ากำลังเต้นรำอยู่หรือ? วิชากระบี่ที่เ้าแสดงเมื่อกี้ไม่เจ็บไม่คันเลยสักนิด”
ในขณะที่ทุกคนสับสน ก็มีเสียงชายหนุ่มหัวเราะและะโลงมาจากหลังคา เขาดูสุขสันต์ไร้ความกังวล นี่คือทายาทที่แท้จริงของตระกูลหลิง หลิงเฟิง
“เ้าหน้าผี พูดอะไรน่ะ? เ้าลองไม่ใช้การขัดขวางทางจิตมาขวางข้าดูสิ” ฉู่อวิ๋นพูดด้วยความโกรธ ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดมาก แถมเ้านี่ยังมาพูดจาประชดประชันกันอีก
อันที่จริง หลิงเฟิงไม่ได้สร้างปัญหาอันใดเลยใน่บ่ายวันนี้ แต่เขาเฝ้าดูฉู่อวิ๋นฝึกฝนทักษะกระบี่อยู่ในลานบ้านแทน
เมื่อเห็นว่าฉู่อวิ๋นเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เขาก็ยิ้มและพูดว่า “อ๊ะๆ ข้าจำได้ว่าบรรพบุรุษบอกว่าวิชากระบี่นี้ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์กระบี่แห่งยุคในวันที่ฝนตกใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง” โยวกู่จือตอบ ไข่มุกะเิไทวะสั่นไหวไปมา
“ดังนั้นนะ ลองคิดดูสิ ฝนกำลังตกหนักขนาดนั้น ทรงพลังขนาดนั้น วิชากระบี่นี่จะเสื่อมโทรมง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร? มันต้องเกินจริงไปมากแน่ๆ!” หลิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
ในความเป็จริง ผู้สืบทอดของตระกูลหลิงคนนี้แค่พูดเื่ไร้สาระ เพียงเพื่อให้ฉู่อวิ๋นปรับวิธีคิด
แต่ฉู่อวิ๋นกลับคิดจริงจัง และเริ่มเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาทันที ราวกับว่าเขาเข้าใจประเด็นสำคัญแล้ว!
“พลังปราณ”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เข้าใจทันที!
“ใช่แล้ว! นี่แหละ... นี่แหละ! แม้ว่ากระบวนท่ากระบี่ของข้าจะไร้ที่ติ แต่ก็ขาดเพียงคำว่า “พลัง” นี้ไป!”
“ขอบคุณนะ เ้าหน้าผี!”
เมื่อพูดจบ ฉู่อวิ๋นก็ดีใจมาก เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง และเดินไปที่ใจกลางสวน
เห็นเช่นนี้ หลิงเฟิงก็ตกตะลึง เกาหัวด้วยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย และแอบกระซิบว่า “อะแฮ่ม... บรรพบุรุษ ข้าแค่พูดเื่ไร้สาระ เ้าเด็กไม่น้อยนั่นกลับคิดจริงจังกับมันไปเสียได้...”
โยวกู่จือยิ้มและพูดว่า “ฮ่าๆ บางครั้งคนเป็นักรบสะกิดนิดหน่อยก็รู้แจ้ง แต่ต้องบอกว่าความเข้าใจของเ้าหนุ่มนี่สูงมากจริงๆ ดูเหมือนว่าเขาจะตระหนักได้ถึงกุญแจสำคัญของปัญหานี้แล้ว”
ในขณะที่หนึ่งมนุษย์หนึ่งร่างิญญาของตระกูลหลิงกำลังพูดคุยกัน ฉู่อวิ๋นก็เผยสายตาแน่วแน่ ยกกระบี่ขึ้น และถ่ายพลังปราณออกมา
เขากำลังจินตนาการว่าตนเองตากฝนอยู่
“ซ่า-”
ฉู่อวิ๋นคล้ายจะได้ยินเสียงฝนตกหนัก เขาดำดิ่งลงไปในความคิดนั้นเรื่อยๆ
เมฆดำปกคลุมดวงอาทิตย์ ฝนตกหนักจนแผ่นดินะเื
จากนั้นเมฆก็แจ่มใส ปรากฏดวงอาทิตย์แจ่มจ้า!
ทันทีที่คิดถึงจุดนี้ ฉู่อวิ๋นก็เบิกตากว้าง แสงศักดิ์สิทธิ์ของเขากะพริบระยับ เขาฟันกระบี่ขึ้นไปบนฟ้าทันที!
“ควับ!!!”
ทันใดนั้น แสงกระบี่ที่ลุกโชติ่จำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา กลายเป็พิรุณหนาม ฟาดฟันไปยังท้องฟ้าเบื้องบน!
ขณะนั้น โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยฝนเพลิงนับไม่ถ้วน แสงสีแดงเปล่งประกายด้วยพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด พุ่งทะลุฟ้าจากธุลีดิน งดงามและทรงพลัง ช่างเป็ภาพกระบวนท่ากระบี่ที่แสนจะงดงาม!
ยามนี้ ทั้งจวนเสวี่ยเทียนต่างก็ตื่นตระหนกกับปรากฏการณ์นี้!