เมื่อมองซ้ายมองขวากลับเห็นว่าเป็หลิวผิงเ้าของร้านฝูอันถังที่เดินเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ที่จริงแล้วในระหว่างที่ไม่ทันได้รู้ตัวทั้งสี่คนก็เดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของฝูอันถังอย่างไม่คาดคิด หลิวผิงที่ส่งแขกหนึ่งกลุ่มเสร็จ ด้วยสายตาที่แหลมคมจึงเหลือบไปเห็นหวังซื่ออยู่ในกลุ่มคนเ่าั้ วันนั้นผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายแม่นางน้อยสกุลหูมิใช่ว่าเป็ท่านหญิงชราแห่งสกุลหูผู้นี้หรอกหรือ
เขาจึงทักทายออกมาโดยไม่รอช้า ยิ้มแล้วเดินเข้าไปต้อนรับทันที
“ที่แท้เป็เ้าของร้านหลิวนี่เอง” หวังซื่อนึกถึงของกำนัลและถุงเงินหนักอึ้งที่รับมาในวันนั้นขึ้นได้ เลยตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขึ้นในทันที
สองวันนี้หลิวผิงกำลังคิดว่าจะหาเวลาไปบ้านสกุลหูอีกสักครั้ง เมื่อวานกระต่ายก็ไม่มีแล้ว วันนี้คุณชายทานเพียงโจ๊กข้าวเล็กน้อยกับน้ำแกงหัวไชเท้าเปล่าๆ หาได้ยากที่จะสามารถทานน้ำแกงเนื้อได้หน่อย แต่ก็เหมือนถูกบังคับให้ขาด่ หากไม่ใช่ว่าคุณชายห้ามพวกเขาไม่ให้ไปเร่งรัด เขาจะวิ่งไปหมู่บ้านวั้งหลินั้แ่สองวันก่อนแล้ว
ไม่ใช่ว่าเป็เช่นนี้หรอกหรือ พอเหลือบไปเห็นกลุ่มของหวังซื่อขึ้นมา สายตาหลิวผิงจึงสว่างวาบตื่นเต้นดีใจอยู่พักหนึ่ง นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไปเร่งรัดหรอกนะ แต่เป็คนเขามาถึงหน้าประตูเองต่างหาก
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ท่านหญิงชราสกุลหู เหตุใดวันนี้ไม่พาหลานสาวตัวน้อยมาด้วยเล่า?” เมื่อไม่เห็นหูเจินจู หลิวผิงจึงยิ้มแกมผิดหวังเล็กน้อย เขาติดต่อกับแม่นางน้อยจนเคยชินแล้ว สบายใจกับนิสัยตรงไปตรงมาของนาง จึงเกิดเป็ความประทับใจขึ้นมากอีกด้วย
“วันนี้ที่บ้านออกมาจัดการธุระเล็กน้อย พวกเราจึงไม่ได้พานางออกมาด้วย” หวังซื่อยิ้มแล้วตอบกลับด้วยความระมัดระวัง
“มา... มา... ในเมื่อผ่านที่นี่ของพวกเราแล้ว จะไม่เข้ามาดื่มน้ำชาได้อย่างไรเล่า” หลิวผิงถือโอกาสจูงแขนหูฉางหลินเข้ามา เดินตรงเข้าไปในฝูอันถัง บุรุษผู้นี้เขามีความทรงจำอยู่บ้าง วันนั้นเคยพบที่บ้านเก่าสกุลหู
หูฉางหลินไม่กล้าปัดมือเขาออก ทำได้เพียงหันศีรษะกลับไปมองหวังซื่อและส่งสายตาขอความช่วยเหลือออกไป ทันทีหลังจากนั้นก็ถูกดึงเข้าไปในร้านด้วยความร้อนลนอยู่เล็กน้อย
หวังซื่อที่อยู่เื้ัทำได้เพียงบอกใบ้ให้ตามเข้าไปอย่างจนปัญญา
จ้าวเหวินเฉียงกลับตามเข้าไปด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง ครั้งก่อน ได้ยินว่าเ้าของร้านหลิวของฝูอันถังไปเยี่ยมเยือนสกุลหู ตนเองไม่ทันได้พบเจอ คาดไม่ถึงเลย ออกจากบ้านมาทำธุระครั้งนี้กลับบังเอิญเจอได้ประจวบเหมาะพอดี เป็หนึ่งเื่ที่หาได้ยากเลยทีเดียว
หลิวผิงพาทั้งสี่คนมายังห้องรับแขกที่อยู่ด้านใน หลังสั่งให้ลูกจ้างยกของว่างและชาร้อนมาแล้ว ก็ส่งถ้วยชาไปให้หวังซื่ออย่างกระตือรือร้น กล่าวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ท่านหญิงชราสกุลหู ดื่มชาร้อนๆ อบอุ่นร่างกายก่อน โอ้... ยังมิได้กล่าวทักทายเลย ไม่ทราบว่าสามท่านนี้คือผู้ใด?”
“นี่เป็หูฉางหลินบุตรชายคนโตกับหูฉางกุ้ยบุตรชายคนรอง ส่วนนี่เป็จ้าวเหวินเฉียงหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเรา” หวังซื่อวางถ้วยชาลง แล้วกล่าวแนะนำทีละคน
“โอ้... ที่แท้เป็น้องฉางหลินกับน้องฉางกุ้ย ยินดีที่ได้พบเป็เกียรติที่ข้าได้รู้จัก” เมื่อหลิวผิงได้ฟัง ชื่อหูฉางกุ้ยไม่ใช่ว่าเป็บิดาของหูเจินจูหรอกหรือ จึงยิ้มแล้วทักทายขึ้นโดยไม่รีรอ แน่นอนเขาก็ไม่ลืมทักทายจ้าวเหวินเฉียงที่อยู่ด้านข้างด้วย “หัวหน้าหมู่บ้านจ้าวใช่หรือไม่ มาดื่มชา ดื่มชากัน”
หูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยต่างก็เกร็งเล็กน้อย พากันโค้งกายลงแสดงการคารวะตอบ
จ้าวเหวินเฉียงใบหน้ายิ้มนั่งอยู่ด้านข้าง พร้อมกับแสดงการคารวะตอบกลับไปอย่างระมัดระวังเช่นกัน
หลังได้ทักทายกันอยู่พักหนึ่ง หลิวผิงจึงกลับมาที่หัวข้อหลัก หันไปทางหวังซื่อแล้วถามด้วยความระมัดระวัง “สองวันนี้ข้ากำลังคิดหาเวลาจะไปเยี่ยมพวกท่านอยู่พอดี เพื่อดูว่าบ้านของพวกท่านมีกระต่ายที่โตแล้วหรือไม่ ตอนนี้บังเอิญได้พบเจอเข้า จึงถือโอกาสถามเล็กน้อย?”
“ตอนนี้น่ะหรือ เหมือนว่าจะยังไม่มีนะ” หวังซื่อมองไปทางหูฉางกุ้ย นางไม่ค่อยแน่ใจนัก หลายวันแล้วที่นางไม่ได้ไปกระท่อมกระต่าย จึงไม่ได้สำรวจดูสภาพกระต่ายอย่างละเอียด
“เอ่อ… มีตัวใหญ่หน่อยอยู่สองสามตัว แต่…แต่…เจินจูบอกว่ายังโตไม่มากพอที่จะขายได้ ต้องเลี้ยงไว้อีกหลายวัน” หูฉางกุ้ยตื่นเต้นเล็กน้อย เลยพูดจาติดขัดอยู่บ้าง
หลิวผิงที่ฟังอยู่ดวงตาเป็ประกายขึ้นทันที มีตัวใหญ่หน่อยสองสามตัว? นั่นก็แสดงว่า ใจของเขาที่เป็กังวลอยู่ครึ่งค่อนวันในที่สุดก็วางใจลงได้ แล้วกล่าวด้วยใบหน้าผ่อนคลาย “ได้เลย ทราบแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมเยียนบ้านพวกท่าน จับมาสักสองตัวก่อน อ่า... ไม่สิ จับมาก่อนหนึ่งตัวก็พอ ผ่านไปสองสามวันข้าค่อยไปจับอีกหนึ่งตัวก็ได้”
กระต่ายหนึ่งตัวตุ๋นน้ำแกงขึ้นมาสามารถทานได้สองสามวัน ทานจนหมดค่อยไปจับอีกหนึ่งตัว เช่นนี้อาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ก็ไม่ขาดตอน และยังไม่ต้องเสียเวลามาเลี้ยงกระต่ายเองอีกด้วย ดียิ่งนัก พอคิดได้ดังนี้ หลิวผิงจึงยิ้มอย่างมีความสุข
“เช่นนั้นจะได้อย่างไร ต้องเป็พวกเราที่เอามาส่งให้ท่านสิ ท่านเป็ผู้ที่ยุ่งอยู่กับงานมากมายเช่นนี้ อย่าเสียเวลากับธุระนี้เลย” หวังซื่อกล่าวขึ้นทันที
“ไม่ๆ นี่ก็เป็งานของข้า คุณชายของพวกข้าชอบทานกระต่ายบ้านพวกท่านที่สุด ขาดเนื้อกระต่ายไป เขาก็ทานข้าวทั้งหมดไม่ลง เื่นี้ล้วนสำคัญกว่าธุระอะไรทั้งสิ้น” ั้แ่คุณชายสามารถทานเนื้อได้บ้าง สีหน้าของเขาที่แต่เดิมขาวซีดก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่ชัดเจน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาที่เป็ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาในใจเต็มไปด้วยความลิงโลด
“ไม่เช่นนั้น ตอนบ่ายให้ฉางหลินมาส่งให้เ้าของร้านหลิวหนึ่งตัวดีหรือไม่?” หวังซื่อกล่าวถาม
“ไม่ต้องๆ พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปเลือกเองหนึ่งตัว ไม่รบกวนพวกท่านนานหรอก” หลิวผิงจะไปสำรวจดูกระต่ายที่บ้านสกุลหูอยู่พอดีว่ามีความแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร ครั้งก่อนพวกเขารีบร้อน ไม่ทันได้สำรวจดูอย่างละเอียดสักครั้ง “ท่านหญิงชรา พวกท่านออกมาเช้าเช่นนี้มาจัดการธุระอันใดกันหรือ? ้าความช่วยเหลือหรือไม่?”
“ไม่ต้องๆ ขอบคุณเ้าของร้านหลิวแล้ว ก็แค่เมื่อวานซื้อที่ดินห้าหมู่ วันนี้เลยมาศาลาว่าการเพื่อจัดการโฉนดที่ดิน หัวหน้าหมู่บ้านของพวกเราล้วนช่วยจัดการธุระเรียบร้อยแล้ว” ที่ดินห้าหมู่สำหรับครอบครัวร่ำรวยในเมืองแล้ว ล้วนเป็เื่เล็กที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง แต่หวังซื่อเองไม่ได้หลีกเลี่ยง กลับกล่าวจุดประสงค์เหล่านี้ออกมาตามตรง
“อ่า... ซื้อที่นาใหม่ นี่เป็เื่ที่น่ายินดีเลยนี่ ขอแสดงความยินดีด้วย โฉนดที่ดินล้วนจัดการเสร็จแล้วหรือ? ครั้งหน้าหากมีเื่เช่นนี้อีกบอกพวกเราได้ แต่ละหน่วยงานในศาลาว่าการข้าล้วนรู้จักดี จัดการเื่ราวได้ว่องไวมากด้วย” หลิวผิงยกมุมปากยิ้มเป็เส้นตรง แล้วยิ่งรู้สึกชอบพอครอบครัวสกุลหูมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไร คุณชายสามารถทานสิ่งของของสกุลหูลงไปได้ ขอเพียงมีประโยชน์และไม่ก่อให้เกิดโรคต่อร่างกายของคุณชาย ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็ผู้ใด พวกเขาล้วนต้องผูกมัดใจด้วยวิธีการทุกรูปแบบ
“เช่นนั้นก็ขอบคุณเ้าของร้านหลิวมากแล้ว” หวังซื่อตอบรับด้วยความเกรงใจ
หลังคุยเล่นสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยสักพักหนึ่ง หวังซื่อจึงเอ่ยอำลาออกมา หลิวผิงพลันลุกขึ้นออกมาส่งพวกเขาด้วยตัวเอง
หลังออกจากถนนทางทิศใต้เดินมาถึงหัวมุมแล้ว กลุ่มหวังซื่อก็พากันผ่อนลมหายใจ หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ฝูอันถังหอสูงสองชั้นตั้งตระหง่านอยู่ริมถนน ทั่วทั้งร้านกว้างขวางและมีสง่าราศี เ้าของร้านหลิวที่สวมชุดผ้าไหมเสื้อคลุมตัวยาวแบบจีนยังคงยืนอยู่หน้าประตูร้าน ชูมือขึ้นโบกไปมาให้พวกเขาจากที่ไกลๆ ด้วยความใหวังซื่อจึงดึงกลุ่มคนให้รีบเดินไปทันที โดยที่ไม่หยุดอยู่ตรงหัวมุมอีก
“ไอ๊หยา เ้าของร้านหลิวผู้นี้มีมารยาทเกินไปนัก ข้าใจนเหงื่อไหลออกมาเลย” หูฉางหลินใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่ไหลออกมามากผิดปกติ
“แค่ก” หวังซื่อเหลือบมองถลึงตาใส่หูฉางหลิน แล้วถึงกล่าวกับจ้าวเหวินเฉียง “เหวินเฉียง พวกเรายังต้องไปตลาดตะวันตกซื้อของกลับไปนิดหน่อย เ้าดู ว่าเ้าจะรอพวกเรา หรือจะนั่งเกวียนของหมู่บ้านกลับไปก่อน วันนี้เกวียนวัวของซานมู่ก็เข้าเมือง เ้านั่งเกวียนวัวของเขากลับไปก่อนก็ได้นะ”
“ได้ เช่นนั้นข้านั่งเกวียนวัวของซานมู่กลับไปก่อน ที่บ้านยังมีเื่เล็กน้อยให้จัดการน่ะ” หลังจากจ้าวเหวินเฉียงผ่านเหตุการณ์ในร้านฝูอันถังนี้มา ทัศนคติที่มีต่อบ้านสกุลหูยิ่งรักใคร่ฉันมิตรมากขึ้น หลิวผิงเ้าของร้านใหญ่เช่นนี้ล้วนปล่อยวางท่าทีลง แล้ววิ่งไปเลือกกระต่ายหนึ่งตัวที่บ้านสกุลหูด้วยตนเอง คุณชายสกุลกู้ผู้นี้ช่างเลือกทานมากจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม จึงชอบทานกระต่ายที่บ้านสกุลหูเลี้ยงไว้นัก
หวังซื่อให้หูฉางหลินไปส่งหัวหน้าหมู่บ้านนั่งเกวียนกลับไปก่อน นางจึงพาหูฉางกุ้ยไปตลาดตะวันตกทำการคัดเลือกซื้อของที่้า
วันนี้ที่บ้านได้เชิญคนมาทานอาหาร อาหารจำพวกเนื้อแน่นอนว่าไม่สามารถขาดได้ หวังซื่อคิดทบทวนสิ่งของที่ต้องซื้อเรียบร้อยแล้ว รวมกับเนื้อห้าสิบชั่งที่เจินจู้า ทันใดนั้นใต้ฝ่าเท้าราวกับเกิดลมพัดให้รีบพาหูฉางกุ้ยไปซื้อของด้วยกันทันที
เกือบจะถึงเวลาเที่ยงตรง หูฉางหลินเพิ่งจะเร่งเกวียนวัวกลับมาถึงหมู่บ้านวั้งหลิน
หลังจากผ่านทางเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ตลอดทางมีชาวนาที่พากันสอบถาม และบ้างก็แสดงความยินดี เื่ที่ครอบครัวสกุลหูซื้อที่ดินล้วนแพร่กระจายไปเกือบทั่วทั้งหมู่บ้าน
ส่วนใหญ่ที่มีจิตใจบริสุทธิ์และจริงใจล้วนกล่าวแสดงความยินดี แน่นอนว่า ก็มีที่กล่าวคาดเดากันไปอย่างอิจฉาตาร้อนไม่น้อยด้วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้ ล้วนไม่ได้ส่งผลต่อจิตใจอันเริงร่าของครอบครัวสกุลหู หูฉางหลินจูงเกวียนวัวตรงเข้าลานบ้าน คนในครอบครัวก็ทยอยกันออกมา แย่งกันถามสถานการณ์อย่างฟังไม่ได้ศัพท์
“เป็อย่างไร? โฉนดที่ดินจัดการเรียบร้อยหรือไม่?” ชายชราสกุลหูเป็ผู้ถาม แม้ความสามารถในการเดินจะไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก แต่ก็รีบก้าวเข้ามาข้างหน้า กล่าวถามด้วยความตื่นเต้น
“ไอ๊หยา เ้าตาเฒ่านี่ ขาเท้าไม่คล่องแคล่วแล้วยังจะรีบเดินอีก ระวังหกล้มเชียวนะ” หวังซื่อเข้าไปพยุงทันทีทันใด
“อื้ม...~ แค่สองก้าว จะหกล้มได้อย่างไร สรุปแล้วเป็อย่างไรบ้าง?” หูเฉวียนฝูซักไซ้อย่างใจร้อน
“ท่านพ่อ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ นี่เป็โฉนดที่ดินสองหมู่ของบ้านเราขอรับ” หูฉางหลินควักโฉนดที่ดินที่ประทับตราอย่างเป็ทางการออกมาจากในอกด้วยความระมัดระวัง ยื่นให้แก่ชายชราสกุลหู
เหลียงซื่อที่อยู่ข้างๆ เขาดวงตาเป็ประกาย รีบยืดท้องขึ้นตรงแล้วค่อยๆ เดินไปข้างหน้าชายชราหู
หูเฉวียนฝูไม่รู้ตัวอักษร แต่... ตราประทับทางการบนโฉนดที่ดินยังพอรู้จักอยู่ ดังนั้น จึงเอาแต่กล่าวออกมาด้วยใบหน้าปีติยินดี “ดี…ดี…ดี…”
“ท่านพ่อ นี่ยังมีอีกหนึ่งฉบับ เป็ที่ดินสามหมู่ขอรับ” หูฉางกุ้ยเองก็ยิ้มแล้วควักฉบับนั้นของบ้านเขาออกมา
“อื้ม... ข้าดูหน่อย อืม... เหมือนกันทั้งหมดเลย ฮ่า ฮ่า เป็ของจริง ์มีตา ในที่สุดครอบครัวสกุลหูของพวกเราก็มีที่นาผืนใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว พ่อดีใจมากจริงๆ” หูเฉวียนฝูกล่าว มีน้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา เขาไม่มีความสามารถหรอก ความเป็อยู่หลายปีมานี้ ผ่านไปอย่างลำบากยากแค้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในปีที่เขายังมีชีวิตอยู่ บ้านสกุลหูยังจะสามารถเพิ่มเติมที่นาผืนใหม่ได้ห้าหมู่
“เ้าตาเฒ่านี่ แค่ที่ดินเล็กน้อยเช่นนี้ยังจะตื่นเต้นอันใดกัน รีบวางโฉนดที่ดินให้เรียบร้อย ขนย้ายสิ่งของบนเกวียนลงมาก่อน ตอนเย็นข้าเชิญเหวินเฉียงกับซิ่วผิงมาทานข้าว ต้องรีบตระเตรียมเร็วหน่อย” หวังซื่อที่ได้ฟังคำพูดของหูเฉวียนฝูอยู่ก็หางตาแดงขึ้นมาเช่นกัน แต่คงไม่ดีแน่ที่จะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าลูกหลาน “ชุ่ยจู ประคองท่านปู่เ้าไปนั่งดีๆ ที”
“เ้าค่ะ ท่านปู่ ท่านระวังหน่อย” ชุ่ยจูก้าวไปข้างหน้าประคองหูเฉวียนฝู
“เอ้า... ฉางกุ้ย เก็บไว้ให้ดี” หูเฉวียนฝูส่งโฉนดที่ดินกลับไป “พอแล้ว ชุ่ยจู ปู่ไม่ต้องให้เ้าพยุง ทางไม่กี่ก้าวนี่ข้าเดินได้ รีบไปช่วยขนของเถิด”
วันนี้หวังซื่อซื้อเนื้อมาหกสิบชั่งจากร้านขายเนื้อหลี่ซานเตาที่คุ้นเคยประจำ หลี่ซานเตาแถมเครื่องในหมูกับกระดูกใหญ่ให้แก่หวังซื่อ แล้วยังช่วยเก็บไส้เล็กที่้าใช้ให้พร้อม
หวังซื่อหยิบเนื้อสิบชั่งที่เก็บแยกไว้สำหรับทำอาหารประเภทเนื้อออกมาจากตะกร้าไผ่สานรวมทั้งกระดูกกับเครื่องในด้วย แล้วนางก็ให้หูฉางกุ้ยแบกเนื้อห้าสิบชั่งกลับไป ตอนบ่ายต้องหั่นเนื้อให้เรียบร้อยแล้วก็หมักไว้ วันนี้บ้านเก่าต้องรีบเตรียมสุราอาหารมื้อเย็นสำหรับเลี้ยงแขก ด้วยเหตุนี้งานหั่นเนื้อจึงให้ครอบครัวหูฉางกุ้ยยุ่งอยู่กับงานกันเองแล้ว
ขณะหวังซื่อเดินไปส่งหูฉางกุ้ย ได้ถามเขาหนึ่งเสียง ้าเชิญสหายที่สนิทมาเลี้ยงฉลองหรือไม่?
หูฉางกุ้ยสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้กล่าวออกมา
หวังซื่อจึงกล่าวขึ้น หูฉางหลินจะเชิญชาวไร่ชาวนาที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในหมู่บ้าน สักสองสามครอบครัวมาร่ำสุราด้วย
หูฉางกุ้ยจึงกล่าวอย่างซื่อๆ ว่าเขาอยากเชิญเจิ้งซวงหลินที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน
หวังซื่อยิ้มแล้วพยักหน้า เพื่อคำนวณว่าเย็นนี้จะต้องเตรียมอาหารการกินของจำนวนคนเท่าไร