กลางป่าห่างจากเมืองหลานหลิงราวห้าร้อยลี้ร่างของคนสองคนกำลังไล่ล่ากันอยู่
ร่างที่วิ่งนำอยู่เป็สตรีในอาภรณ์สีเขียว ผู้มีผ้าสีขาวคลุมใบหน้าอยู่นางจับกระบี่ด้วยมือขวา มือซ้ายถูกยกขึ้นมาทาบอก ชุดของนางถูกโลหิตย้อมจนเปลี่ยนไปเป็สีแดงฉานขณะวิ่งหนีก็มักจะมีหยาดโลหิตร่วงลงบนพื้นดินอยู่เป็ระยะ ที่ด้านหลังนางมีสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์วิ่งไล่อยู่เ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมีร่างกายใหญ่โตและกำยำ ร่างสูงมากกว่าหนึ่งจ้างและมีหางยาวที่เต็มไปด้วยเกล็ดคล้ายงูอยู่ด้วยมันวิ่งสี่ขาอยู่กลางป่าราวกับสัตว์ป่าไม่มีผิด ดวงตาสีแดงฉานส่องประกายแสงที่น่าสยดสยองออกมาไม่หยุดบัดนี้ มันกำลังเพ่งมองไปที่ร่างของหญิงสาวเบื้องหน้าตาไม่กะพริบพลางหลั่งน้ำลายที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวออกมาไม่จบสิ้น
ดวงหน้าของสตรีผู้นั้นซีดลงเรื่อยๆ แต่ดวงตาของนางกลับยังเยือกเย็นไร้ซึ่งความหวาดกลัว และไม่มีแววแห่งความเกรี้ยวกราดใดใด ทั้งสิ้น ใสบริสุทธิ์ไม่ต่างไปจากหิมะบนเทือกเขาสูงและธารน้ำใต้พื้นพิภพเลย
นางค่อยๆ ช้าลงเรื่อยๆและเืที่หลั่งลงมาจากหน้าอกก็เริ่มมีสีเข้มมากขึ้นเช่นกัน แล้ว ซึ่งนั่นดูไม่ปกติเลยสักนิดมันเป็ฤทธิ์จากพิษร้ายแรงที่นางได้รับหลังถูกสัตว์ประหลาดโจมตีนั่นเองแม้พิษในระดับนี้จะมีฤทธิ์ร้ายแรง แต่ด้วยระดับพลังของนาง เดิมที มันไม่สมควรทำอันตรายนางได้แต่เพราะสัตว์ประหลาดเื้ัเอาแต่ไล่ตามไม่เลิก นางจึงไม่มีเวลาขับเคลื่อนพลังิญญาเพื่อรักษาาแให้กับตนเองด้วยเหตุนี้ พิษจึงค่อยๆ กระจายออกไปเรื่อยๆ นั่นเอง
ราวกับว่าสัตว์ประหลาดเื้ัจะรู้ดีว่านางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไรมันจึงลดความเร็วลงเล็กน้อย มันไล่ตามต่อไปราวกับเงามรณะแต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะลงมือกับนางเลยคล้ายมัน้าจะไล่ล่าหญิงสาวเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนสตรีผู้นั้นหมดแรงอย่างไรอย่างนั้น
ต้องยอมรับเลยว่านี่ช่างเป็วิธีที่ยอดเยี่ยมเสียจริงหากเพียงยืดเวลาต่อไปอีกหน่อย ก็สามารถจับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากกว่าตนอย่างมากได้แล้ว
แต่เื่ต่อจากนั้น กลับไม่เป็ไปตามที่มัน้า
สตรีผู้นั้นไม่ได้ประกายความดีใจหรือตื่นเต้นที่ตนรู้เท่าทันแผนเ้าเล่ห์ของสัตว์ประหลาดตนนั้นออกมาเลยแม้แต่น้อยทว่าั์ตาคู่นั้นกลับยิ่งส่องประกายความเย็นะเืที่มากขึ้นออกมาต่างหากจนเมื่อผ่านป่านิรนามมาได้ ภาพูเาขนาดใหญ่จึงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
มันเป็ร่องเหวที่ลึกมากกว่าพันจ้างซึ่งเรียงรายเป็แนวยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาราวเป็พยัคฆ์ร้ายที่ยืนตระหง่านขวางทางอยู่เช่นนั้น
เมื่อพบว่าเบื้องหน้าเป็ร่องเหวหญิงสาวก็มีอาการชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยวในเวลาต่อมา นางยกกระบี่มาทาบเหนืออกพลันกลิ่นอายอันแสนเย็นะเืก็ะเิออกมาจากอย่างฉับพลัน
สัตว์ประหลาดที่ตามมาติดๆ หยุดลงเบื้องหน้าสตรีผู้นี้ในอีกไม่กี่อึดใจต่อมามันหยุดลงในจุดที่ห่างจากหญิงสาวประมาณสี่ถึงห้าจ้าง จากนั้นก็ยืดตัวยืนขึ้น พลางใช้ลิ้นเรียวยาวเลียไปที่ริมฝีปากของตนเองเล็กน้อยทันใดนั้น ดวงตาสีแดงฉานก็ฉายรังสีอำมหิตขึ้นในพริบตามันถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกลั่นแกล้ง “หนีต่อไปสิข้ายังคิดว่าสุนัขรับใช้จากหอชมดาวเช่นเ้าจะรู้จักแต่วิ่งหนีราวกับสุนัขจรจัดเสียอีก”
สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่น นางไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไปแต่กลิ่นอายอันแสนเย็นะเืบนร่างกลับปะทุมากขึ้นอีกหลายเท่าแต่เพิ่งจะดึงกระบี่ออกมาจากฝัก นางก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเสียก่อนเืสดถูกพ่นออกมาจากปากของนางอย่างกะทันหัน กระบวนท่าที่กำลังจะแสดงออกไปพลันหยุดชะงักลงด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นเองที่นางพบว่าพลังิญญาภายในร่างกายมีกลิ่นอายแห่งพลังสีเทาหม่นปกคลุมอยู่ั้แ่เมื่อใดก็มิอาจทราบได้กลิ่นอายแห่งพลังสีหม่นแล่นไปทั่วร่างในเสี้ยววินาที มันแอบแฝงไปกับพลังิญญาในจังหวะที่นางขับเคลื่อนพลังิญญาในร่างกายขึ้นนั่นเองมันเริ่มยึดติดและกร่อนพลังในร่างของนางมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หากเป็ในยามปกติแม้เ้านี่จะยุ่งยากไปบ้าง แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ขจัดมันออกไปจากร่างกายได้แล้วแต่มาตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าสัตว์ประหลาดตรงหน้าย่อมไม่ปล่อยให้นางมีเวลาแน่
สัตว์ประหลาดตรงหน้ามองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับสตรีตรงหน้ามันประกายรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นอย่างอำมหิต จากนั้นก็ก้าวเข้าไปหาสตรีผู้นั้นทีละก้าวๆสองเท้าเหยียบลงบนใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นดินทำให้เกิดเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สตรีผู้นั้นจ้องมองสัตว์ประหลาดที่ก้าวเข้ามาหาอย่างเชื่องช้าพลางขมวดคิ้วมุ่นเป็ปม นางจับกระบี่เอาไว้ แล้วถอยไปทางด้านหลังอย่างเชื่องช้าทว่าดวงตาที่จ้องไปยังศัตรูตรงหน้าก็ยังไม่ลดความระแวดระวังลงไปเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะดื่มด่ำไปกับความรู้สึกเช่นนี้มันไม่โจมตีในทันที แต่ปล่อยให้หญิงสาวถอยไปทางด้านหลังอย่างตามใจแทน
ในที่สุดหญิงสาวก็ถอยมาจนสุดขอบหน้าผาแล้ว นางรู้สึกใจหายวาบนางรู้ดีว่าหากอยากรอดชีวิตต่อไป ก็มีเพียงทางเดียว คือต้องสู้สุดชีวิตเท่านั้น เช่นนั้นอาจยังมีทางรอดอยู่บ้างจึงทนเจ็บขับเคลื่อนพลังิญญาภายในร่างกายขึ้น แล้วยกกระบี่มาไว้ข้างหน้าอีกครั้ง
สัตว์ประหลาดั์ส่งเสียงคำรามขึ้นในที่สุดการฟาดฟันที่กำลังจะมาถึง ทำให้ดวงตาของมันฉายแววโหดร้ายและอำมหิตมากยิ่งขึ้นมันพุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว พร้อมกรงเล็บคมกริบที่ส่องแสงน่าขนหัวลุกออกมาอย่างต่อเนื่อง...
และในตอนนั้นเอง ทางด้านหญิงสาวก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกันกระบี่ของนางะเิพลังอำนาจอันแสนมหาศาลออกมาพร้อมกับเสียงคำรามจากัและหงส์ฟ้าร่างบางพลันกลายเป็ลำแสง แล้วพุ่งตรงเข้าไปหาสัตว์ประหลาดร่างั์ในเสี้ยววินาที
แม้การโจมตีในครั้งนี้จะแลดูทรงพลังและยิ่งใหญ่แต่หญิงสาวรู้ดีว่าความจริงแล้ว แม้ภายนอกจะแลดูน่าเกรงขามและรุนแรง ทว่าแท้จริงแล้วพลังทำลายล้างของมันกลับน้อยนิดเหลือเกินพลังิญญาของนางถูกกลิ่นอายแห่งพลังสีเทากัดกร่อนจนแทบจะไม่มีเหลือแม้จะะเิการโจมตีออกไปด้วยพลังเฮือกสุดท้ายที่มีแต่นั่นก็ไม่ต่างไปจากตั๊กแตนที่้าจะหยุดรถลาก วินาทีที่นางแทงกระบี่ออกไป นางก็เตรียมพร้อมรับความตายแล้ว
ทว่าในตอนนั้นนั่นเอง จู่ๆก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาเสียก่อน
เพราะจู่ๆ สัตว์ประหลาดที่พุ่งเข้าหาอย่างดุร้ายซึ่งบัดนี้กำลังทะยานอยู่กลางอากาศก็ชะงักนิ่งลงอย่างกะทันหัน
จู่ๆ ดวงตาสีแดงฉานกลับหมองแสงลง ก่อนเืสดจะปะทุออกจากภายในแล้วพ่นออกมาทางปากของมัน สีหน้าท่าทางก็แลดูอับเฉาลงกะทันหัน จากนั้น ร่างหนักก็ร่วงลงมาจากห้วงอากาศกระแทกลงบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งอย่างรุนแรง
หญิงสาวชะงักอึ้งไปเล็กน้อย นางตื่นตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวเบื้องหน้าแต่เพียงไม่นานนางก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง และทันทีที่ตระหนักได้ว่าโอกาสทองตรงหน้าหายากมากเพียงไหนนางก็พุ่งคมกระบี่แหวกห้วงอากาศเข้าไปหาศัตรูพร้อมกับกลิ่นอายแห่งพลังที่แสนเย็นะเืทันที
ราวว่าสัตว์ประหลาดบนพื้นจะได้รับาเ็ภายในที่หนักหนาไม่เบาดังนั้น แม้จะเห็นว่าหญิงสาวกำลังพุ่งเข้าโจมตีด้วยความทรงพลังถึงเพียงนี้แต่มันก็ไม่คิดจะตอบโต้กลับไปเลยสักนิด เพียงร้องคำรามด้วยเสียงดังสนั่น กางปีกกระดูกที่ด้านหลังออกมาอย่างรวดเร็วและพุ่งหนีออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามองสักนิด
สตรีผู้นั้นไม่ได้ไล่ตามไป เพียงแต่จับกระบี่เอาไว้แล้วมองตามร่างที่บินหนีไปไกลอย่างระแวดระวังแทนกระทั่งมั่นใจว่ามันจะไม่กลับมาอีก สตรีผู้นั้นจึงทรุดลงไปนั่งอยู่บนพื้นดินอย่างหมดแรงในที่สุด
หญิงสาวใช้เวลาหลายอึดใจไปกับการปรับพลังิญญาที่ยังคงแปรปรวนภายในร่างของตนจากนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วะเิพลังจิตออกไป ทันใดนั้นเส้นด้ายขนาดเล็กที่เลือนรางจนมองแทบไม่เห็นก็ปรากฏขึ้น มันเชื่อมร่างของนางเอาไว้ที่ปลายด้านหนึ่งทว่าปลายอีกด้านกลับถูกทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามีจุดหมายปลายทางเป็ที่ใดกันแน่
นางขมวดคิ้วมุ่น ขณะสำรวจเส้นด้ายที่มีขนาดใหญ่มากกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัดจู่ๆ นางก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นคือสิ่งใดกันแน่
“ได้เวลาสะสางบ่วงแห่งเหตุและผลในครั้งนี้แล้ว”
นางพึมพำเสียงเบาหวิว
อวี้เหิงรวดเร็วมากเร็วจนซูฉางอันมองภาพของสภาพแวดล้อมระหว่างทางไม่ทันเสียด้วยซ้ำเขารู้สึกราวกับต้นไมู้เารอบๆ เลื่อนไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็วจนเมื่อภาพกลับมาชัดอีกครั้ง ซูฉางอันก็กลับมาถึงที่สำนักเทียนหลานแล้ว
เขาเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เงาร่างสีเหลืองที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่น่าลุ่มหลงของใครบางคนก็พุ่งเข้ามาหาเสียก่อน
ถึงแม้อวี้เหิงได้รักษาาแภายในร่างกายให้แล้วแต่เพราะพลังิญญาถูกใช้ไปเสียหมด ซูฉางอันจึงยังอ่อนแออยู่มาก ทั้งร่างในอาภรณ์สีเหลืองก็พุ่งเข้ามาหาอย่างกะทันหันเล่นเอาเขาแทบจะประคองกู่เซี่ยนจวินที่หมดสติไม่อยู่เลยทีเดียว
“หรูเยว่” ซูฉางอันจำกลิ่นหอมนี้ได้จึงรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาหาเป็ใคร
“คุณชายซู หรูเยว่เป็ห่วงจนแทบจะตายอยู่แล้ว! ”ฝานหรูเยว่เองก็คล้ายจะดูออกว่าตอนนี้ซูฉางอันร่างกายอ่อนแอ นางรีบพยุงกู่เซี่ยนจวินที่กำลังหมดสติเอาไว้จากนั้นก็มองไปยังซูฉางอัน พลางพูดด้วยดวงตาแดงก่ำราวจะร้องไห้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูฉางอันก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีเขารู้สึกราวตนทำเื่ชั่วช้าที่ไม่อาจให้อภัยได้ลงไปอย่างไรอย่างนั้นซูฉางอันรีบเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของฝานหรูเยว่ แล้วเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทันที“ไม่เป็ไรแล้ว ดูสิ ข้าไม่เป็ไร”
อาจเป็เพราะซูฉางอันยื่นมือออกไปกะทันหันฝานหรูเยว่จึงหน้าแดงขึ้นมาทันที นางก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างเขินอายทว่าขณะที่เตรียมจะพูดบางอย่างออกไป นางก็พบว่าจู่ๆ ซูฉางอันก็หน้าซีดลงอย่างไม่ทันตั้งตัวจากนั้นก็ล้มลงไปกองอยู่บนพื้นดินในเวลาต่อมา
ฝานหรูเยว่สะดุ้งใอยากย่อตัวลงไปประคองซูฉางอันขึ้นมาจากพื้นแต่กู่เซี่ยนจวินที่กำลังหมดสติก็ยังพิงอยู่ที่ไหล่ นางจึงได้แต่หันไปมองอวี้เหิงแล้วถามขึ้น “คุณชายซู! คุณชายซูเป็อะไรไป?” อาจเป็เพราะเป็กังวลมากจนเกินไปฝานหรูเยว่จึงลืมแสดงความเคารพในคำพูดขณะกล่าวกับอวี้เหิงอย่างที่เคยทำมาโดยตลอดไปจนหมด
ทว่าอวี้เหิงกลับไม่ได้ถือสา เพียงพูดขึ้นอย่างใจเย็น“ไม่เป็ไรหรอก เขาเพียงแต่หมดแรงไป พักสัก่ก็ไม่เป็ไรแล้ว”
“เป็เยี่ยงนั้นหรอกหรือ?” เห็นได้ชัดว่าฝานหรูเยว่ยังไม่วางใจถึงได้ถามออกมาอีกเช่นนี้
อวี้เหิงปรายตามองฝานหรูเยว่แวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้น“ข้าจะหลอกเ้าเพื่ออะไรกัน เ้าเด็กนั่นเป็คนรักของเ้าก็จริง แต่เขาก็เป็ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของสำนักเทียนหลานเหมือนกันข้าเป็ห่วงเขามากกว่าเ้าเสียอีก!”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ฝานหรูเยว่ก็หน้าแดงขึ้นมาทันทีทว่าความกังวลในจิตใจก็คลายลงด้วยเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้