หลิ่วไป๋เจ๋อวางถ้วยชาว่างเปล่าลงตรงหน้าอูิโยว “รินชา!”
“ไม่ว่าง รินเอง!”
“ตอนนี้เ้าคือผู้อารักขาของข้า ต้องเชื่อฟังข้า!”
อูิโยวอยากจะถอดหน้ากากออกแล้วทุบให้เป็เสี่ยงๆ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้ จึงรินชาให้หลิ่วไป๋เจ๋อจนเต็มถ้วยด้วยความโกรธ แต่ที่น่าแปลกก็คืออีกฝ่ายไม่ดื่ม ในทางกลับกันก็ดันถ้วยนั้นมาทางเขาแทน
“ดื่มเสีย จะได้สงบสติอารมณ์”
ในที่สุดอูิโยวก็หัวเราะออกมาเพราะรู้สึกขบขัน เขาคว้าถ้วยชาและยกดื่มจนหมดในอึกเดียว
“ข้าเกือบลืมไปเลย มีเื่หนึ่งจะบอกเ้า!” จู่ๆ อูิโยวก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เื่อะไรหรือ”
“อวิ๋นจวา บุตรชายคนรองของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานตายแล้ว ข้าเห็นมากับตา! สัตว์ร้ายที่อยู่ในหนองน้ำของป่าใต้พิภพกลืนกินเขาลงไป”
หลิ่วไป๋เจ๋อหันหน้าไปทางอีกฝ่าย แม้ดวงตาจะมืดบอด แต่อูิโยวก็ััได้ถึงการจ้องมองอันเร่าร้อน ราวกับฝั่งนั้นกำลังจ้องมองเข้าไปในดวงตาของตน
ในที่สุดอูิโยวก็ยกมือยอมแพ้ “เอาล่ะ ตกลง ข้าพบอวิ๋นจวาโดยบังเอิญจึงเดินตามเขาเข้าไปในป่าใต้พิภพ จากนั้นก็ต่อสู้กัน แต่ข้าไม่ได้ฆ่าเขาจริงๆ นะ แม้จะอยากลงมือแต่เ้าสัตว์ร้ายนั่นตัดหน้าไปก่อนเสียนี่”
หลิ่วไป๋เจ๋อขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สู้ดีนัก กลิ่นอายความโกรธแค้นบนตัวของอูิโยวเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาสังเกตเห็นครั้งแรกั้แ่ในป่าใต้พิภพ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายฝึกพลังิญญาประเภทใดกันแน่ พลังิญญาทางธรรมชาติที่ติดตัวอูิโยวมาั้แ่เกิดค่อยๆ หายไปจากร่างของเขา ขณะที่กลิ่นอายอันรุนแรงกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ิโยวถูกกักให้อยู่แต่ในหุบเขาไป่หลิง ไม่ได้ออกไปที่ใด แล้วจะฝึกฝนวิชาลึกลับเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
หลิ่วไป๋เจ๋อกำลังคิดว่า ก่อนหน้านี้ที่ปล่อยให้อีกฝ่ายกลับไปยังหุบเขาไป่หลิงอาจเป็ทางเลือกที่ผิดพลาด หากเก็บเขาไว้ข้างกายและคอยจับตาดู จะเป็ไปได้ไหมว่าอาจจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทว่ามาคิดเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ทางออกเดียวที่มีก็คือหาทางกำจัดกลิ่นอายนี้และให้ิโยวฟื้นฟูพลังกลับไปเป็เหมือนก่อนหน้า
แต่ควรจะทำอย่างไรล่ะ
“นี่ เ้าโกรธอีกแล้วใช่หรือไม่ ข้าทำอะไรผิดอีกหรือ” เมื่อเห็นสีหน้าของหลิ่วไป๋เจ๋อดูไม่สู้ดี อูิโยวจึงถามด้วยความรู้สึกผิด
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “ไม่ อวิ๋นจวาสมควรตาย!”
หลังจากได้ยินดังนั้น อูิโยวก็เผยยิ้มออกมา
“แต่ว่า...” หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ยออกมา ก่อนที่ท่าทีจะกลับมาเป็ดังเดิม “เ้าไม่ควรเข้าไปในป่าใต้พิภพเพียงลำพัง!”
อูิโยวรู้ว่าตนเองประมาทเกินไป แต่ก็หันกลับมาและต่อว่าหลิ่วไป๋เจ๋อแทน
“เ้ายังจะมาสอนข้าอีกหรือ เ้าเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ตอนที่ท่านพี่หญิงติดอยู่ด้านใน เ้าไม่ได้เข้าไปช่วยออกมา แต่ดันทำให้ตัวเองติดอยู่ในนั้นเช่นกันจนได้รับาเ็...”
หลิ่วไป๋เจ๋อกระแอมไอเบาๆ แต่ไม่ได้คัดค้าน ก่อนจะหยิบชาขึ้นมาจิบ “ไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะพาเ้าไปที่แห่งหนึ่ง”
“ไปที่ใด”
“ไปถึงก็จะรู้เอง”
อูิโยวยักไหล่ รู้ว่าต่อให้ถามไปก็ไร้ประโยชน์ หากหลิ่วไป๋เจ๋อลั่นวาจาแล้วว่าจะไม่พูด ต่อให้ง้างปากเขาออกก็ไม่มีคำใดหลุดออกมาได้
จึงหันหลังะโขึ้นไปบนเตียงของหลิ่วไป๋เจ๋อ นอนลงโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วโบกมือให้อีกฝ่ายพร้อมกับหาวหนึ่งที “ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเื่อะไรก็อย่าปลุกข้า ั้แ่ออกจากหุบเขาไป่หลิงข้ายังไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มเลย วันนี้ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ หากท่านพี่หญิงมาเ้าก็รับมือกับนางไปแล้วกัน อย่างไรนางก็คือว่าที่ฟูเหรินของเ้า…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงของอูิโยวอีก หลิ่วไป๋เจ๋อก้าวไปข้างหน้าหยิบผ้ามาห่มให้เขา ลดม่านเตียงลงเพื่อไม่ให้คนที่อาจพรวดพราดเข้ามามองเห็นได้
ในตอนที่หมุนตัวกลับ คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ยื่นมือมาคว้าแขนเขาไว้
“มีอะไรหรือ”
อูิโยวยื่นบางสิ่งมาวางลงบนมือของหลิ่วไป๋เจ๋อ “ไม่ได้ยินเ้าเล่นมันนานแล้ว ข้าอยากฟัง”
หลิ่วไป๋เจ๋อถือขลุ่ยดินเผาสีม่วงไว้แล้วนั่งลงข้างเตียง ยกขลุ่ยจรดริมฝีปาก
เสียงขลุ่ยดังก้องไปทั่วทั้งจิ่วฟางกวน ในสถานการณ์ที่วุ่นวายช่างยากที่จะได้พบกับลมหายใจที่สงบเช่นนี้
อูิโยวนอนหลับตาอยู่บนเตียง รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานปรากฏขึ้นบนมุมปาก เขารู้ดีว่าคนคนนี้ยังคงเป็หลิ่วไป๋เจ๋อคนเดิมที่มีหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือความสามารถในการทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจ ั้แ่ครั้งแรกที่ได้พบกันก็รู้สึกในทันที
ในภายภาคหน้าอีกฝ่ายก็คงจะเป็เช่นนี้ ไม่มีข้อผูกมัดใด เป็คุณชายผู้ถูกสรวง์เนรเทศ…
ที่นี่ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน อวิ๋นลั่วซึ่งสวมเครื่องแต่งกายของบุรุษซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ที่อูิโยวเคยให้ติดตัวมาก่อนหน้าก็หมดแล้ว เมื่อมาถึงเทือกเขาจู่เสียก็พบว่าสถานการณ์ของที่นี่เกินกว่าที่เคยจินตนาการไว้มาก
มีสัตว์ร้ายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทำให้นางเคลื่อนไหวได้ยาก โชคดีที่พบที่ซ่อนตัว แต่ถ้ายังเป็เช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ นางจำเป็ต้องค้นหาสถานที่ที่มีร่องรอยของผู้คนอยู่ ไม่เช่นนั้นต้องอดตายอย่างแน่นอน
“จริงด้วยสิ!” จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางหยิบกระบอกไม้อันเล็กออกจากกระเป๋าใบจ้อยที่ผ้าคาดบนเอว อูิโยวให้สิ่งนี้มา นางจึงเก็บไว้ั้แ่ก่อนที่จะแยกกันไป ทว่าอวิ๋นลั่วไม่เคยใช้ของสิ่งนี้ และไม่รู้วิธีว่าต้องใช้อย่างไร
ศึกษาอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจ จึงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋า นางลูบท้องที่หิวโหยมาหลายวัน รู้สึกเศร้าใจจนน้ำตาไหลออกมา
“พี่จื่ออู่ ท่านอยู่ที่ใด ลั่วเอ๋อร์หิวแล้ว”
ฉับพลันก็มีการเคลื่อนไหวที่เบื้องหน้า อวิ๋นลั่วรีบสวมผ้าคลุมหน้าทันที ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ไม่กล้าส่งเสียง ไม่นานก็มีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใต้ต้นไม้ด้านหน้า มันมีร่างกายเป็เสือดาว ลวดลายเหมือนเสือดาวลายเมฆ ทว่าดวงตามีสีม่วงซึ่งเป็เอกลักษณ์เด่นของสัตว์ร้ายในป่าใต้พิภพ
อวิ๋นลั่วได้แต่ซ่อนตัวไม่กล้าออกมา สัตว์ร้ายมีเพียงตัวเดียวและดูเหมือนมันกำลังออกหาอาหาร เสือดาวตัวนั้นเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนเกือบจะพ้นสายตา ทว่าจู่ๆ มันก็หันหลังและพุ่งมาทางที่นางซ่อนอยู่โดยไม่ทันให้ตั้งตัว
อวิ๋นลั่วหลบหลีกไม่ทัน ทำให้น่องขาถูกกรงเล็บของสัตว์ร้ายกรีดจนเืไหล ยิ่งกระตุ้นความดุร้ายของมันมากกว่าเดิม
ใบหน้าเขียวเขี้ยวยาว[1]พุ่งเข้ามาหานาง เพราะความตื่นตระหนกจึงทำให้ฝ่ามือเรียวสวยของอวิ๋นลั่วก่อพลังสังหารออกมา แสงสีเขียวเจาะทะลุิัของสัตว์ร้ายจนทำให้ขาข้างหนึ่งของมันเป็รูและมีเืไหลอาบ
สัตว์ร้ายตัวนั้นเ็ปทรมานจนลงไปนอนกลิ้งบนพื้นแล้วร้องครวญคราง
อวิ๋นลั่วจึงใช้โอกาสนี้วิ่งหนีไป าแบนขาของนางค่อนข้างรุนแรง เหงื่อเย็นผุดออกมาบนหน้าผาก การที่นางต่อต้านไปกระตุ้นความโกรธของสัตว์ร้าย มันลากร่างที่ได้รับาเ็หลับหูหลับตาไล่ตามนางอย่างไม่ลดละ
ณ กระโจมดูแลผู้าเ็ที่เทือกเขาจู่เสีย อูิหลิงเพิ่งพันผ้าพันแผลให้ชายผู้หนึ่งเสร็จ ก็เห็นคนคนหนึ่งกุลีกุจอมาจากด้านนอก เขารีบเข้ามาแล้วพูดกับอูิหลิงโดยไม่อ้อมค้อม “จื่ออู่อยากจะขอรบกวนแม่นางอูสักเื่หนึ่ง ข้าขอยืมนกดวงดาวได้หรือไม่ขอรับ”
นกดวงดาวเป็สัตว์เลี้ยงส่วนตัว ต่อให้ได้รับอนุญาตจากผู้เป็เ้าของก็ไม่ฟังคำพูดของผู้อื่น ดังนั้นแม้ว่าจื่ออู่จะยืมมันไปก็ไร้ประโยชน์ นกดวงดาวเป็นกพลังิญญา พวกมันมีวิธีคิดของตัวเองและไม่ยอมถูกควบคุมง่ายๆ
“เหตุใดถึง้ายืมนกดวงดาว”
จื่ออู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “อวิ๋นลั่วเดินทางมาเทือกเขาจู่เสีย แต่ข้ายังไม่พบนาง ข้าเกรงว่า...”
“เ้าว่าอะไรนะ!”
อวิ๋นลั่วเป็สหายของนาง การที่อีกฝ่ายเดินทางมาที่นี่จะไม่ทำให้นางกังวลได้อย่างไร
“เ้ารู้ั้แ่เมื่อใด”
“เมื่อหลายวันก่อน สองสามวันมานี้ข้าตระเวนดูรอบๆ แล้วแต่ก็ไม่พบร่องรอยของนาง”
อูิหลิงรีบออกจากกระโจมโดยมีจื่ออู่เดินตามหลังมา นางเงยหน้าผิวปากขึ้นไปบนท้องฟ้า ครู่ต่อมาอิ๋นซิงก็ปรากฏตัว ขนสีเงินเรียบลื่นเปล่งประกาย มันร่อนลงเกาะบนไหล่ของิหลิง จะงอยปากก็ถูไถแก้มของนาง
อูิหลิงกระซิบพูดสองสามคำที่ข้างหูของอิ๋นซิง สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ไปเถอะ!”
อิ๋นซิงกระพือปีกบินหายไปในทันที
จื่ออู่ยกมือขึ้นคำนับอูิหลิง “ขอบพระคุณแม่นางอูที่ช่วยเหลือ”
อูิหลิงกล่าว “ไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้ ข้าทำเพื่ออวิ๋นลั่วเท่านั้น จำที่เคยสัญญากับข้าได้หรือไม่ ว่าเ้าจะไปรับอวิ๋นลั่วจากหุบเขาไป่หลิงให้เร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือจะปกป้องนางอย่างดี แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้นางเสี่ยงอันตรายอยู่ลำพัง หากเกิดเหตุใดขึ้นเ้าจะมานั่งเสียใจก็คงไม่ทันแล้ว”
เนื่องจากจื่ออู่สวมหน้ากาก ิหลิงจึงไม่เห็นว่าเขามีสีหน้าอย่างไร ยิ่งความรู้สึกในใจยิ่งไม่สามารถวิเคราะห์ได้ ไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบกลับ “สิ่งที่แม่นางบอก จื่ออู่รู้ว่าต้องทำเช่นไร ตอนนี้ต้องหาอวิ๋นลั่วให้พบก่อน ส่วนที่เหลือ เมื่อพบกันแล้วข้าจะชดเชยให้นางแน่นอนขอรับ”
อูิหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “หวังว่านางจะไม่เป็อะไร” จากนั้นก็เอ่ยพึมพำกับตัวเอง “เด็กคนนี้ช่างไม่คิดหน้าคิดหลังจริงๆ”
เพราะไม่มีอาหารตกถึงท้องมาหลายวัน อวิ๋นลั่วจึงไร้เรี่ยวแรง แม้จะมีพลังิญญาคอยช่วยอยู่ แต่เมื่อขาดอาหารก็ทำให้ร่างกายอ่อนล้า
าแที่ขายังคงมีเืไหล ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็ลม สัตว์ร้ายตัวนั้นไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ ทว่าอวิ๋นลั่วไม่มีแรงจะวิ่งอีกต่อไป ในที่สุดก็ยืนไม่ไหวและล้มลงไปกับพื้น
สุดท้ายสัตว์ร้ายก็ตามทัน ปากของมันอ้ากว้าง แยกเขี้ยวหันมาทางอวิ๋นลั่ว แววตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ในใจคิดว่าตนคงต้องตายอยู่ที่นี่เป็แน่ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนกร้องเหนือศีรษะ เสียงนั้นช่างคุ้นหู เป็อิ๋นซิงที่บินอยู่้า! ความหวาดกลัวในใจจึงค่อยๆ จางหายไป
อิ๋นซิงพุ่งตัวลงมาเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย ครู่ต่อมาตาซ้ายของเสือดาวก็ถูกจิก มันจึงหันหลังวิ่งหนีเข้าไปในป่าทึบด้วยความเ็ป
อิ๋นซิงไม่ได้เข้าใกล้อวิ๋นลั่ว แต่บินขึ้นไปบนฟ้าและกระพือปีกอยู่เหนือศีรษะของนางพร้อมทั้งส่งเสียงร้อง
อูิหลิงและจื่ออู่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เมื่อได้ยินเสียงร้องของอิ๋นซิงก็รีบมุ่งไปในทันที
อวิ๋นลั่วยืนขึ้น ค่อยๆ ลากขาที่าเ็ก้าวไปทีละก้าว จนกระทั่งเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มได้อีกครั้ง
“พี่จื่ออู่ ในที่สุดข้าก็หาท่านพบแล้ว!” ขาของนางพลันอ่อนแรง ก่อนจะล้มลงบนพื้น
จื่ออู่รีบวิ่งไปรวบนางมาไว้ในอ้อมแขน มองดูเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยคราบดินโคลนด้วยความปวดใจ
—-----------------------------------
[1] ใบหน้าเขียวเขี้ยวยาว หมายถึง ใบหน้าโกรธเกรี้ยว น่าเกลียดไม่น่ามอง
