“ดีสิ”
ปกติฉินเหยาเหยาไม่เคยไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลินเยว่อยู่แล้วแต่ทว่าเื่นี้เธอกลับรู้สึกกังวลในบางจุด เธอจึงพูดขึ้น “ธุรกิจหยกจำเป็ต้องใช้ต้นทุนที่สูงมากแล้วหยกก็เป็อัญมณีที่มีปริมาณการผลิตไม่ค่อยเยอะ การจะเปิดตลาดในระยะเวลาสั้นๆนี้มันไม่ใช่เื่ง่ายเลย”
“คาดไม่ถึงว่าที่รักของเราก็มีความเป็มืออาชีพอยู่เหมือนกัน”
หลินเยว่ใช้ใบหน้าตนเองลูบไล้ใบหน้างามของฉินเหยาเหยาแล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“แน่นอนอยู่แล้ว เราไม่ใช่แจกันดอกไม้ที่เอาแต่สวยไปวันๆอยู่แล้ว ที่เรามาคุนิได้เหตุผลหลักก็เป็เพราะเรามีความสามารถหรอกนะ”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ สีหน้าของเธอก็มีแต่ความภาคภูมิใจ
“โอเค โอเค เธอเป็คนเก่ง” หลินเยว่พูดยิ้มๆ“นี่เป็แค่ความคิดคร่าวๆ ของเราเท่านั้น แต่แค่หาร้าน ตกแต่ง รับสมัครพนักงานแล้วยังต้องมีช่างแกะสลักหยกคนอื่นๆ อีก แค่นี้ก็ทำให้พวกเราต้องยุ่งมากพอแล้วอีกทั้งความสามารถในการแกะสลักของสามีของเธอยังไม่ได้มาตรฐานเลย ส่วนการใช้เครื่องจักรในการแกะสลักจะทำได้แต่พวกชิ้นเล็กๆเท่านั้น ดังนั้น ยังจำเป็ต้องจ้างช่างมาด้วย ส่วนปัญหาเื่หยก เื่นี้เธอไม่จำเป็ต้องกังวลเพราะสามีของเธอมีความมั่นใจในเื่นี้มาก”
หลินเยว่รู้สึกมั่นใจในพลังพิเศษตาทิพย์ของตัวเองมากเขามีลางสังหรณ์ว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้พลังพิเศษของเขาจะยังไม่หายไป ดังนั้นเขาจะพยายามใช้เวลา่นี้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการพนันหินหยกเพื่อเป็การเตรียมพร้อมและสามารถนำออกมาใช้ในเวลาจำเป็
“นายมีความมั่นใจ?”ฉินเหยาเหยารู้สึกข้องใจในความมั่นใจของหลินเยว่ ถึงเขาจะเป็ลูกศิษย์ของปรมาจารย์แห่งหยกแต่ก็ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าตนเองมีความมั่นใจหรอกนะ”
“เหอๆ......เธอคิดว่าสามีของเธอเป็คนธรรมดาอย่างนั้นหรอ?”
หลินเยว่ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์
“ถ้านายไม่ใช่คนธรรมดาแล้วนายเป็ซูเปอร์แมนอย่างนั้นหรอ?”ฉินเหยาเหยากลอกตาใส่หลินเยว่
“แน่นอนอยู่แล้ว”
หลินเยว่โอบฉินเหยาเหยาเข้ามาในอ้อมกอดของตนเองอย่างแน่นๆแล้วบอกเธอว่าเขามีพลังพิเศษตาทิพย์ได้อย่างไร พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เขาใช้พลังพิเศษนี้ในการพนันหินหยกได้อย่างไรบ้าง
เขาคิดว่าในเมื่อพวกเขาทั้งสองรักกันเช่นนี้ เขาจึงไม่มีความจำเป็จะต้องปิดบังฉินเหยาเหยาอีกแล้วและเขาก็เชื่อว่าเธอจะรักษาความลับนี้ไว้เพื่อเขา
“นายมีพลังพิเศษตาทิพย์จริงๆ หรอ?”
ดวงตาคู่โตของฉินเหยาเหยาจ้องหลินเยว่ตาโตในแววตานั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ
“แน่นอนสิ”หลินเยว่มองรูปร่างเย้ายวนของฉินเหยาเหยาอย่างเ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้น “เราสามารถมองทะลุร่างของเธอได้ด้วยนะ”
“ที่รัก......”
ฉินเหยาเหยาพลันยกมือขึ้นกอดหลินเยว่อย่างแน่นเธอซุกใบหน้าลงบนหน้าอกของเขาแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
เมื่อหลินเยว่เห็นฉินเหยาเหยาร้องไห้เช่นนี้เขาก็ใจนสะดุ้งไปทั้งตัวแล้วรีบถามเธอออกมาอย่างร้อนใจ “ที่รัก เธอเป็อะไรหรอ?อย่าร้องไห้สิ”
คำพูดของหลินเยว่กลับทำให้เสียงร้องไห้ของฉินเหยาเหยาดังขึ้นยิ่งกว่าเดิมเธอใช้แขนทั้งสองข้างกอดเอวของหลินเยว่ไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
ปฏิกิริยาของฉินเหยาเหยาทำให้หลินเยว่ทำอะไรไม่ถูกเขาพยายามพูดปลอบเธอแต่ก็ยังไม่เห็นฉินเหยาเหยาพูดอะไร สุดท้ายเขาจึงได้แต่กอดตอบเธออย่างแน่นๆพวกเขาทั้งสองกอดกันอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการพูดอะไรสักคำ
ผ่านไปอยู่เป็นานในที่สุดฉินเหยาเหยาจึงเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมกอดของหลินเยว่ ดวงตายังคลอไปด้วยน้ำตาเธอมองเขาด้วยภาพที่ไม่ค่อยชัดนักพร้อมกับพูดด้วยเสียงสะอื้น “ที่รักนายดีกับเราจังเลย”
“เหอๆ...... เธอเป็อะไรหรอ”หลินเยว่ฝืนยิ้มพร้อมถามขึ้น เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมฉินเหยาเหยาถึงได้ร้องไห้เช่นนี้ แล้วทำไมเธอถึงได้พูดว่าเขาดีกับเธอด้วยล่ะ
“นายบอกความลับสุดยอดของตัวเองกับเราไง......”
ขณะที่ฉินเหยาเหยาพูดนั้นน้ำเสียงของเธอก็เริ่มแหบแห้งขึ้น และน้ำตาก็เริ่มคลอรอบดวงตาขึ้นอีกครั้ง
“อย่าร้องไห้เลย อย่าร้องไห้เลยนะ”
หลินเยว่ยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนข้างแก้มของฉินเหยาเหยาหลังจากนั้นจึงใช้มือของตนจับมุมปากของเธอยกขึ้นทำเป็รอยยิ้ม แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ“ยิ้มหน่อยสิ เธอเป็ภรรยาของเรานะ แล้วเราจะมีความลับกับเธอได้ยังไงอย่าร้องไห้เลยนะ ถ้ายังร้องไห้อีกจะกลายเป็ยัยหน้ามอมแล้วล่ะ”
“อืม!”เมื่อััได้ถึงความรักอย่างลึกซึ้งจากน้ำเสียงของหลินเยว่ ฉินเหยาเหยาจึงเรียกหลินเยว่ด้วยความรู้สึกลึกๆจากใจ “ที่รัก......”
หลังจากนั้นเธอจึงซุกหน้าเข้าไปยังหน้าอกของหลินเยว่
พวกเขาทั้งสองตกอยู่ในภวังค์แห่งความรักพูดจาหวานซึ้งกันอยู่ชั่วครู่ถึงได้ลุกขึ้นจากเตียง
ขณะที่ทานอาหารเช้านั้นฉินเหยาเหยาพลันเคาะตะเกียบของหลินเยว่อย่างรุนแรง
หลินเยว่ที่ยังไม่รู้ตัวว่าทำไมฉินเหยาเหยาถึงได้เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาเขาจึงเงยหน้าพร้อมทำหน้าน่าสงสารและพูดขึ้น “มีอะไรหรอ?”
“นายบอกว่านายมีพลังพิเศษที่สามารถมองทะลุได้อย่างนั้นหรอ?”ฉินเหยาเหยาถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเย็น
“ใช่สิ แล้วทำไมล่ะ?” หลินเยว่ข้องใจอย่างหนักเื่นี้พวกเขาคุยกันรู้เื่แล้วไม่ใช่หรอ?
“ถ้าอย่างนั้นนายเคยมองทะลุเสื้อผ้าของผู้หญิงสวยๆคนไหนหรือเปล่า?”
ฉินเหยาเหยาหรี่ตามองหลินเยว่อย่างจริงจังหลินเยว่รู้ว่าหากตนเองตอบว่า “มี” ขึ้นมาแล้วล่ะก็ มันจะต้องเกิดเหตุการณ์ะเิอารมณ์ราวกับฟ้าะเิแผ่นดินแยกอีกครั้งอย่างแน่นอนเขาจึงยกมือขึ้นพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรากล้าพูดสาบานต่อฟ้าว่าไม่มี”
“ก็ได้ๆ ครั้งนี้เราจะเชื่อนายสักครั้งแต่หากนายกล้ามองทะลุเสื้อผ้าของผู้หญิงคนไหนแล้วล่ะก็ เราจะไม่ยอมจบเื่นี้กับนายง่ายๆอย่างแน่นอน!”
หลินเยว่ทำท่าทางที่แสดงว่า“เขาไม่มีทางกล้าทำอย่างแน่นอน” ออกมา แต่ในใจของเขากลับแอบคิดมาสักพักแล้วว่า...“อืม ความคิดของฉินเหยาเหยาในเื่นี้ก็ไม่เลวเลย สักวันเขาต้องลองทำดูสักหน่อยฮ่าๆ...... สาวๆ ทั้งหลาย ต่อไปพวกเธอต้องสวมชุดตะกั่วออกมาเดินข้างนอกแล้วล่ะ”
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้วหลินเยว่จึงขับรถมุ่งหน้าไปยังถนนหินหยก นี่เป็การเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง และเขาก็ต้องศึกษาเครื่องเคลือบต่อไปการอบรมครั้งนี้ได้ผ่านมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายวันมานี้ยังมีเื่เกิดขึ้นค่อนข้างเยอะแล้วอีกไม่กี่วันเขาจะต้องกลับบ้านเกิดอีกด้วย
เป็เพราะหลินเยว่พูดโน้มน้าวฉินเหยาเหยาเอาไว้ทำให้สุดท้ายเธอจึงไม่ได้ออกไปหางานทำหากเป็ไปตามความคิดของหลินเยว่ที่จะเปิดร้านเป็ของตนเองแล้วก่อนอื่นฉินเหยาเหยาจะต้องเตรียมศึกษาหาความรู้อยู่ที่บ้านก่อนและเธอก็จะได้พักผ่อนไปในเวลาเดียวกันอันที่จริงหลินเยว่ยังรู้สึกกังวลอีกเื่หนึ่ง นั่นก็คือหากเขาเปิดร้านหยกสักร้าน มันจะเป็การแย่งธุรกิจจากอาจารย์ของตนเองหรือเปล่า?หากเป็เช่นนี้มันก็เหมือนกับ “สอนลูกศิษย์จนเป็งาน แต่อาจารย์ต้องอดตาย” น่ะสิ และมันก็เสมือนกับเป็การรังแกอาจารย์ทำลายบรรพบุรุษเลยทีเดียว
เื่นี้เขาจึงต้องวางแผนอีกยาวไกลเขาต้องปรึกษากับอาจารย์ของตนเองก่อน หากท่านเฮ่อไม่เห็นด้วย หลินเยว่ก็ไม่มีทางเปิดร้านอย่างแน่นอนหรือหากจะเปิดร้าน เขาก็จะไม่เปิดร้านหยก อย่างมากอาจจะเปิดร้านประมาณซูเปอร์มาร์เก็ตหรืออาจจะเป็ร้านขายเสื้อผ้าก็ได้เพราะการเปิดร้านพวกนี้ก็จะทำให้ฉินเหยาเหยามีอะไรทำ
5 วันผ่านไปหลินเยว่จึงพาฉินเหยาเหยาเดินทางกลับบ้านเกิดของเขาด้วยรถไฟ
ฉินเหยาเหยาคาดไม่ถึงเช่นกันว่าเธอจะได้พบคุณพ่อคุณแม่ของหลินเยว่รวดเร็วขนาดนี้อันที่จริง เธอคิดว่าครั้งหน้าเธอค่อยตามหลินเยว่กลับบ้านแต่กลับถูกหลินเยว่ที่ใช้ความคิดผู้ชายเป็ใหญ่ปฏิเสธเธออย่างเด็ดขาดถึงแม้ว่าฉินเหยาเหยาจะทำสีหน้าท่าทางเหมือนกับคนถูกรังแกแต่ก็ไม่สามารถทำให้หลินเยว่ใจอ่อนได้เลย
ตลอดการเดินทาง เป็เพราะฉินเหยาเหยารู้สึกโกรธหลินเยว่เธอจึงไม่สนใจเขาเลยสักนิด แต่หลินเยว่ก็ไม่คิดจะหาเื่ใส่ตัวเองเขาจึงโอบเธอเบาๆ เท่านั้น ฉินเหยาเหยาพยายามดิ้นรนอยู่สักพักแต่สุดท้ายก็ได้แต่ส่งเสียงหึในลำคอ แล้วจึงซบหน้าลงในอ้อมกอดของเขาแต่ทว่าเธอก็ยังไม่สนใจเขาอยู่ดี
ในที่สุดฉินเหยาเหยาก็เอ่ยปากขึ้นมาอย่างอดใจไม่ไหว เธอถามหลินเยว่ขึ้น“คุณลุงคุณป้าคงไม่รู้สึกไม่พอใจเราหรอกนะ?”
“คนเป็ลูกสะใภ้ก็ต้องพบหน้าพ่อแม่สามีอยู่วันยังค่ำ”หลินเยว่พูดพร้อมรอยยิ้ม
“ใครเป็ลูกสะใภ้กันล่ะ”ฉินเหยาเหยายกมือขึ้นบิดเอวของหลินเยว่เบาๆหลังจากนั้นเธอจึงแสดงสีหน้ากังวลเป็อย่างมาก หากคุณพ่อคุณแม่ของหลินเยว่ไม่พอใจเธอแล้วเธอควรจะทำอย่างไรดี?
“เธอวางใจได้เลย พ่อแม่เราจะต้องชอบเธอแน่ๆหากพวกเขารู้ว่าลูกชายอย่างเราพาสาวสวยแบบเธอกลับบ้านพวกเขาจะต้องดีใจจนยิ้มไม่หุบอย่างแน่นอน”
ความกังวลของฉินเหยาเหยาก็ทำให้หลินเยว่รู้สึกเป็ห่วงเขาจึงพูดปลอบใจเธอขึ้น
“จริงหรอ?”
ฉินเหยาเหยาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
“ก็ต้องเป็เื่จริงสิ”
หลินเยว่ยิ้มน้อยๆ พร้อมพูดตอบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้