ระยะทางกว่าสามร้อยลี้เป็ระยะทางที่สามารถกล่าวได้ว่าไม่ใกล้และไม่ไกลจนเกินไปนัก ใช้เวลาในการควบม้าเร็วเพียงหนึ่งกว่าชั่วยามเท่านั้น เวลานี้ทิวทัศน์ของทุ่งข้าวสาลีเริ่มห่างออกไปไกลแล้ว กลายเป็ทิวทัศน์ของเทือกเขาที่ทอดยาวแทน เนินเขาสีเขียวชอุ่มที่ทิ้งตัวเหยียดยาวได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของหน้าทุกคน
“เสี่ยวหลาน เบื้องหน้าของพวกเราใช่เทือกเขาอันหลานหรือไม่?”
มู่เฟิงมองไปยังเทือกเขาที่ทอดตัวยาวออกไปไกล ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้องแล้วเ้าค่ะ คุณชายเฟิง เราไม่สามารถเข้าไปได้ลึกมากนัก ข้าได้ยินมาว่าภายในนั้นเคยมีเหล่าอสูรร้ายและเผ่าปีศาจปรากฏตัวขึ้นมาก่อน หากเราเข้าไปลึกมากจนเกินไปอาจจะพบเจอกับอันตรายได้เ้าค่ะ”
มู่หลานกล่าว
“บรู๊ววว...!”
ทันทีที่เด็กสาวกล่าวจบ เสียงหอนของหมาป่าก็ดังไกลมาจากบนเทือกเขาอันไกลโพ้น ราวกับเป็การตอบรับคำกล่าวของมู่หลาน
มู่เฟิงขมวดคิ้วมุ่น เขาพบว่าเวลานี้แสงตะวันได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เด็กหนุ่มจึงหันไปกล่าวกับทุกคนว่า “ทุกคน คืนนี้พวกเราพักผ่อนกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเขตูเากัน”
แน่นอนว่าทุกคนล้วนเชื่อฟังคำพูดของมู่เฟิง แต่ทันใดนั้นเอง ในเส้นทางซึ่งเต็มไปด้วยป่ารกชัฏที่ห่างไกลออกไป ได้ปรากฏเงาร่างร่างหนึ่งกำลังวิ่งโซเซออกมาจากแนวป่าบนูเา ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มตัวลงไปไม่ไกลนัก
“พี่เฟิง มีใครบางคนอยู่ทางนั้น”
สายตาอันเฉียบแหลมของมู่ขวงมองเห็นอีกฝ่ายในทันที เขารีบก้าวลงจากหลังอาชา ก่อนจะวิ่งไปทางคนผู้นั้น ส่วนมู่เฟิงและคนอื่นๆ ได้เดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาพบว่าอีกฝ่ายเป็ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำและสวมใส่เสื้อเกราะหนังสัตว์ เวลานี้อีกฝ่ายกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน นอกจากนี้บนตัวของเขายังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเื ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับาเ็สาหัส
มู่เฟิงรีบเข้าไปพยุงก่อนจะพลิกร่างของชายผู้นั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเด็กหนุ่มจึงพบว่าตรงทรวงอกของอีกฝ่ายมีรอยแผลฉีกขาดที่เกิดจากกรงเล็บ ซึ่งมันรุนแรงมากเสียจนสามารถมองเห็นเนื้อด้านในที่มีเืไหลหยดออกมาได้ ดูเหมือนว่าชายผู้นี้คงจะถูกสัตว์ร้ายโจมตีอย่างรุนแรงเข้าจึงได้มีสภาพเช่นนี้ มู่เฟิงแตะนิ้วลงบนคอของอีกฝ่ายเพื่อััชีพจรและพบว่ามันยังคงเต้นอยู่
“ยังมีชีวิตอยู่ มู่ขวง นำน้ำมา”
“นี่ขอรับ!”
มู่ขวงรีบเอาน้ำออกมาทันที มู่เฟิงป้อนน้ำให้กับชายผู้นั้น หลังจากที่อีกฝ่ายได้ดื่มน้ำก็ไอออกมาสองสามครั้งก่อนจะเบิกตาโพล่งและแสดงท่าทีระแวดระวังออกมา เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่ามีเพียงมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น
“แค่กๆ ขอบคุณน้องชายมาก ข้ามีนามว่าหวังเซิง ขอบคุณเหล่าน้องชายที่ช่วยเหลือ”
ชายหนุ่มผู้นี้มีอายุยี่สิบปี เขาผละกายออกจากการประคองของมู่เฟิงเพื่อลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะกำหมัดคำนับไปทางเหล่าเด็กหนุ่มเพื่อเป็การขอบคุณ
“อย่าได้เกรงใจเลย พี่หวังเซิง เกิดอะไรขึ้นกับท่าน เหตุใดท่านจึงมีสภาพเช่นนี้?”
มู่เฟิงเอ่ยถาม โดยที่ภายในใจก็นึกระแวดระวังอีกฝ่ายไปด้วย
ชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ภายในร่างกายของเขามีพลังปราณไหลเวียนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ เพียงแต่มู่เฟิงไม่รู้ว่าวรยุทธ์ของเขานั้นอยู่ในระดับใด
“ไอหยา ข้าเป็คนเก็บสมุนไพร ข้าและสหายมายังูเาแห่งนี้เพื่อเก็บสมุนไพร แต่โชคร้ายที่พวกเราดันบังเอิญพบกับพยัคฆ์โลหิตเข้า สหายสองคนของข้าจึงถูกเ้าสัตว์เดรัจฉานนั่นกินเข้าไป มีเพียงข้าที่หนีเอาชีวิตรอดออกมาได้”
หวังเซิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
คนเก็บสมุนไพร เมืองอันหนานนั้นมีทรัพยากรมากมายหลากหลายนัก ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่สมุนไพรล้ำค่าบางชนิดเท่านั้น แม้แต่ยาอายุวัฒนะ หรือกระทั่งต้นสมุนไพรที่มีค่าเทียบเท่าเหรียญตำลึงทองหนึ่งพันตำลึงก็ล้วนมีอยู่ไม่น้อย ซึ่งราคาการซื้อขายยาอายุวัฒนะและสมุนไพรล้ำค่าต้นหนึ่งนั้นเพียงพอที่จะทำให้คนทั่วไปมีชีวิตที่มั่นคงได้เลยทีเดียว
คนเก็บสมุนไพรนั้นมีความเชี่ยวชาญในการเก็บสมุนไพรบนูเา ทว่าส่วนใหญ่ไม่ได้แข็งแรงมากนัก ดังนั้นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งจึงได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็กลุ่มทหารรับจ้าง เพื่อขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรและสังหารเหล่าอสูรร้าย
“พยัคฆ์โลหิต! นั่นมันอสูรร้าย!”
มู่เฟิงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น ในบรรดาสัตว์ร้ายทั้งหมดสัตว์ร้ายที่อ่อนแอที่สุดจะถูกเรียกว่าสัตว์อสูร โดยสัตว์อสูรนั้นมีเพียงพละกำลังที่แข็งแกร่ง ทว่าไม่มีพลังปราณเหมือนอสูรทั่วไป
ส่วนสัตว์ร้ายที่สามารถบ่มเพาะพลังชีวิตได้นั้นจะถูกเรียกว่าอสูรร้าย ซึ่งมันมีนิสัยที่ดุร้ายและเป็อันตรายเหมือนกับชื่อของมัน อสูรร้ายนั้นแข็งแกร่งและทรงพลังมาก อย่างน้อยก็สามารถเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีอสุรกาย โดยอสูรร้ายและอสุรกายนั้นดูเผินๆ เหมือนจะไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของพวกมันก็คืออสุรกายสามารถแปลงกายเป็มนุษย์ได้ และด้วยเหตุนี้พวกมันจึงถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นขึ้นชื่อว่าเป็ปรปักษ์ต่อกันมาโดยตลอด
“ถูกต้องแล้ว เ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นคงจะเป็อสูรร้ายระดับจื่อฝู่ พวกข้าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายเพียงแค่ไม่กี่คน เมื่อพบกับอสูรร้ายตัวนั้นเข้า เราก็ทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น แม้ข้าจะหนีออกมาได้ แต่โชคร้ายที่สหายทั้งสองของข้ากลับต้องถูกกลบฝังอยู่ในปากของมัน”
หวังเซิงกล่าวอย่างโศกเศร้า พลางดื่มน้ำลงไปอีกหลายอึก
“ไอหยา ข้าต้องขอแสดงความเสียใจกับพี่ชายด้วย”
มู่เฟิงตบลงบนบ่าของอีกฝ่าย ก่อนจะมอบเนื้อแห้งให้อีกฝ่ายหนึ่งชิ้น หวังเซิงกินมันเข้าไปอย่างหิวกระหาย เพื่อฟื้นฟูพละกำลังของตน
หวังเซิงกล่าวกับมู่เฟิงว่า “ข้าคิดว่าพวกน้องชายทั้งหลายต้องไม่ใช่คนธรรมดาเป็แน่ คงมาจากตระกูลใหญ่สินะ หากพวกเ้า้าจะเข้าไปฝึกฝนในเขตูเาแห่งนี้ ทางที่ดีอย่าได้เข้าไปลึกกว่าสามสิบลี้ นอกเขตูเาในรัศมีสามสิบลี้จะไม่มีอสูรร้าย แต่หากเข้าไปลึกมากกว่านั้นอาจจะพบเจอกับพวกมันได้ วันนี้ขอบคุณพวกเ้าทั้งหลายมาก ข้าคงต้องขอตัวลาก่อน”
หวังเซิงหยัดกายลุกขึ้น เขากำหมัดคำนับไปทางมู่เฟิงและคนอื่นๆ ก่อนจะเดินโซเซออกไป
มู่เฟิงและคนอื่นๆ มองดูชายผู้นั้นจากไป มู่หลานรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณชาย พวกเรายังต้องเข้าไปในูเาอีกหรือไม่เ้าคะ?”
“จริงด้วย พี่เฟิง ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเรา หากต้องพบเจอกับอสูรร้าย ข้าเกรงว่าเราจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
มู่ขวงกล่าวด้วยความเป็กังวลเล็กน้อย
“ข้า้าขึ้นไปบนูเาเพื่อฝึกฝน ฉะนั้นเสี่ยวหลาน จื่อเยว่ พวกเ้าสองคนควรกลับไปก่อน จื่อเยว่ เวลานี้เ้ายังไม่มีความสามารถในการต่อสู้ ส่วนพลังปราณก็ยังไม่อาจเติมเต็มได้ หากเข้าไปต้องเกิดอันตรายขึ้นแน่ ส่วนข้าและมู่ขวงจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนต่อ”
มู่เฟิงขมวดคิ้วขณะกล่าว เขาไม่ค่อยเห็นด้วยที่ไป๋จื่อเยว่และมู่หลานจะติดตามตนเข้าไป
“ไม่ขอรับ พี่เฟิง ข้า้าจะไปกับท่าน ต่อให้มีอันตรายใดๆ พวกเราก็จะตายไปด้วยกัน”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวอย่างหนักแน่น
“หากเ้าไม่ไป ข้าก็ไม่ไป”
มู่หลานแสดงความเห็นออกมาบ้าง
มู่เฟิงไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร และทำได้เพียงต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังนัก “ให้ตายเถอะ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อแสวงหาความตาย แต่ระดับความแข็งแกร่งของพวกเ้าไม่เหมาะสมที่จะรั้งอยู่ต่อ หากต้องประสบกับอันตราย พวกเ้าจะกลายเป็ภาระสำหรับข้าและมู่ขวง แบบนี้พวกเราจะแย่กันหมด พวกเ้าเข้าใจหรือไม่ เชื่อฟังข้า กลับไปก่อนเถิด รอให้พวกเ้าสามารถบรรลุระดับทงม่ายขั้นเก้าได้ก่อน ถึงเวลานั้นข้าจะพาพวกเ้ามาด้วย”
หลังจากได้ฟังคำเกลี้ยกล่อม สุดท้ายแล้วคนทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไป ทำให้เวลานี้เหลือเพียงมู่เฟิงและมู่ขวงเท่านั้น
เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งลงบนกองหินขนาดใหญ่ข้างเส้นทางขึ้นูเา ขณะที่พวกเขากำลังนำฟืนมาก่อกองไฟ มู่เฟิงก็ได้หันไปพูดกับมู่ขวงอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวขวง เราสองคนมีเวลาแค่สองปีเท่านั้น ในเวลาสองปีนี้หากเรา้าเหนือกว่าบรรดาเด็กรุ่นเดียวกันที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักศึกษา เราต้องพยายามให้มากขึ้น ทุ่มเทให้มากขึ้น เ้าเข้าใจหรือไม่?”
“พี่เฟิง ข้าเข้าใจแล้ว”
มู่ขวงพยักหน้า มู่เฟิงมีความลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิธีการฝึกหนึ่งให้เ้า แต่เ้าห้ามนำเื่นี้ไปบอกผู้อื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เ้าเข้าใจหรือไม่?”
มู่เฟิงตั้งใจจะถ่ายทอดวิธีการเปลี่ยนโลหิตให้กลายเป็พลังจากเคล็ดวิชาชูร่าให้กับมู่ขวง
“เคล็ดวิธีการฝึก?”
มู่ขวงตกตะลึง
“อืม หลับตาลงเสีย”
มู่เฟิงพยักหน้า และวางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของมู่ขวง เศษเสี้ยวพลังปราณในร่างกายของเขาหลั่งไหลเข้าสู่แผ่นหลังของอีกฝ่าย ตามด้วยวิธีการฝึกแบบเคล็ดวิชาชูร่าที่ถูกถ่ายทอดไปยังร่างตรงหน้า
“พี่เฟิง นี่มันวิธีการฝึกอะไรกัน เหตุใดจึงไม่เหมือนกับเคล็ดวิชาเถี่ยเซวี่ยตานซินของตระกูลเรา? ข้ารู้สึกว่ามันซับซ้อนมากเลยทีเดียว”
มู่ขวงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เสี่ยวขวง เป็วิธีการฝึกแบบใดนั้น ในวันพรุ่งนี้หลังเ้าขึ้นูเาไปกับข้า เดี๋ยวเ้าจะรู้เอง”
มู่เฟิงยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็นั่งขัดสมาธิ โดยมู่เฟิงได้เข้าสู่กระบวนการดูดซับพลังฟ้าดินจากบริเวณโดยรอบเพื่อบ่มเพาะวรยุทธ์ ในขณะที่มู่ขวงเพียงนั่งพิงหินและเข้าสู่ห้วงนิทรา
ในวันรุ่นขึ้น แสงแดดแรกยามเช้าส่องปกคลุมลงมาบนเนินเขา เมื่อความสว่างส่องกระทบกับเกร็ดน้ำค้างก็ได้ปรากฏเป็แสงประกายระยิบระยับ เทือกเขาอันหนานนั้นมีูเาอยู่นับพันทอดตัวยาวออกไปไกล
หลังจากผูกม้าไว้กับต้นไม้ในป่าแล้ว มู่ขวงได้นำดาบออกมา จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็หยัดกายลุกขึ้นและมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังเขตเทือกเขาอันหนานอันกว้างใหญ่แห่งนี้...