เมื่อหยางเฉินเดินออกมาจากลิฟต์บริเวณชั้นล่างของบริษัทก็มีคนยืนอยู่ในห้องโถงเป็จำนวนมาก พวกเขายืนล้อมรอบบริเวณที่นั่งสำหรับลูกค้าเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอวี้เหล่ยยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่พวกเขาดูเหมือนกำลังโต้เถียงกับใครบางคน แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงไม่ได้ทำอะไร
เมื่อหยางเฉินพยายามเดินแหวกเหล่าพนักงานที่มุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นหลายคนก็สังเกตเห็นเขา หลังจากใช้เวลาในบริษัทนี้มากกว่า 1 เดือนพนักงานหลายคนในบริษัทก็พอจะจำหยางเฉินได้บ้าง พวกเขามองไปที่หยางเฉินอย่างคาดหวังผู้ชายบางคนถึงกับยกนิ้วให้ และบางคนก็มองมาที่หยางเฉินด้วยสายตารังเกียจ
ขณะที่ฝูงชนเปิดทางให้หยางเฉินก็สามารถเดินเข้าไปบริเวณที่นั่งพักผ่อนของลูกค้าตรงโซฟาหนังได้โดยง่าย
หลังจากเดินไปสักพักเขาก็เห็นมี ชาย 2 คน และผู้หญิง 1 คนกำลังนั่งบนโซฟาเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอวี้เหล่ยหลายคนยืนอยู่ตรงข้ามกับพวกเขาใกล้กันมีพนักงานจากแผนกต้อนรับที่สวมเครื่องแบบสีขาว-ดำยืนอยู่ด้วย
ผู้ชายทั้งสอง 2 คนนั้น คนหนึ่งคือหยูฮุยที่เขาเคยเห็นในคืนวันศุกร์ขณะที่ชายอีกคนใส่เสื้อสูทแบบเก่าสีเทา มองดูน่าจะอายุประมาณ 30 ปี ผู้ชายคนนี้สวมแว่นตาสีดำ สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองดูมืดมนยิ่งนัก แต่เขาก็ยังมีเค้าลางของความเย่อหยิ่ง
สำหรับผู้หญิงอีกคนเธอคือจ้าวหงเยี่ยนที่ไม่ได้เข้าออฟฟิศในตอนเช้า วันนี้ดูไม่ค่อยสดชื่นนักหน้าตาของเธอซีดเซียวเนื่องจากไม่ได้แต่งหน้า ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิงขาดการดูแลและใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตาซึ่งยังไม่แห้งดีเธอนั่งอยู่ข้างผู้ชายที่ใส่ชุดสีเทา ขณะที่ต้นขาของเธอเกร็งเครียดไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ด้วยสายตาเฉียบคมของหยูฮุยเขาเป็คนแรกในกลุ่มที่สังเกตเห็นการมาของหยางเฉินด้วยร่องรอยของความภาคภูมิใจและความโเี้ในสายตาของเขา เขามองไปที่หยางเฉินและพูดว่า
“พี่ ดูสิผู้ชายคนนี้แหละที่มากับพี่สะใภ้”
จ้าวหงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น เธอเห็นหยางเฉินมาจริงๆดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอเม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าพูดคำใดๆ
“พวกคุณกำลังตามหาผมอยู่เหรอ?”หยางเฉินชำเลืองมองไปที่หยูฮุย แต่ยังคงหันไปถามหยูกวงที่มีท่าทางมืดมน
หยูกวงยืนขึ้นเขาสังเกตเห็นความรังเกียจในสายตาของหยางเฉิน เขาพูดด้วยเสียงต่ำว่า “แกคือคนที่ช่วยนังร่านนี่ใช่มั้ยไอ้เด็กน้อย”
“นังร่าน? ไอ้เด็กน้อย?”หยางเฉินถามกลับด้วยรอยยิ้ม “คุณหมายถึงใคร?”
หยูกวงตะคอกกลับด้วยความโมโห “อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลยน้องฮุยเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ฉันฟังนานแล้วแกกับนังร่านนี่นัวเนียกันที่บาร์ และไปนัดเจอกันที่ลานจอดรถเื่นี้น้องชายฉันเป็คนบอกเอง แล้วแก 2 คนก็ร่วมมือกันไล่เขาออกไปแกคิดว่าขยะสังคมที่น่าขยะแขยงอย่างแกจะสามารถหลอกฉันได้งั้นเหรอ?”
พนักงานหลายคนของอวี้เหล่ยที่อยู่รอบๆนั้นแสดงท่าทางเหมือนเข้าใจบางอย่าง พวกเขากลับมารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นและมากขึ้นจากนั้นก็เริ่มหันมาพูดซุบซิบกันเอง
หยางเฉินถอนหายใจ “คุณเชื่อใจน้องชายตัวเองขนาดนั้นเลย? มันอาจไม่ใช่ความจริงก็ได้”
“แกกำลังจะบอกว่าฉันไม่สามารถเชื่อใจน้องชายตัวเองได้แต่ควรจะไว้ใจคนชั่วอย่างแกงั้นสิ? หยูกวงะโเสียงดัง“ฉันจะบอกอะไรให้นะ วันนี้ฉันจะคิดบัญชีกับแก”
หยางเฉินพบว่าเื่นี้ค่อนข้างไร้สาระเขาเอ่ยถามต่อทันทีว่า “คิดบัญชีอะไรของคุณ?”
“ฉัน้าให้แกยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าแกเป็ชู้กับเมียฉันแกเป็มือที่สาม แกทำเื่เลวทรามต่ำช้ากับนังร่านนี่” หยูกวงพูดด้วยท่าทางเคร่งเครียด
หยางเฉินทำได้เพียงหัวเราะ “สมองของคุณยังปกติดีอยู่หรือเปล่า?ผมไม่ได้ทำอะไรที่เสื่อมเสียทั้งนั้นคุณ้าเรียกภรรยาตัวเองว่านังร่าน และบังคับให้ผู้ชายคนอื่นยอมรับการเป็ชู้ในที่สาธารณะคุณพยายามทำลายชื่อเสียงของครอบครัวตัวเองคุณมาหาเื่ผมหรือคุณมีความสุขกับการถูกดูแลแบบคนปัญญาอ่อนกันแน่?”
ใบหน้าของหยูกวงแดงก่ำด้วยแรงโทสะเขาพูดออกมาด้วยความเกลียดชัง “แกกล้าข่มขู่ฉันงั้นรึ ฉันเป็คนมีการศึกษาและเป็สุภาพชนฉันไม่โต้เถียงกับคนระดับแกหรอกอย่างไรก็ตามฉันยังคง้าเปิดโปงการกระทำของชายหญิงที่มันเล่นชู้กันตอนกลางวันแสกๆนี่แหละ เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าคนอย่างแกมันชั่วช้าขนาดไหน”
“คุณเป็ศาสตราจารย์หรือพนักงานรัฐอย่างนั้นหรือ?”หยางเฉินถามขึ้นมาทันที
“แกหมายความว่ายังไง” หยูกวงขมวดคิ้ว
“ถ้าคุณเป็ศาสตราจารย์งั้นผมเข้าใจว่ามันเป็อาชีพที่ชอบพ่นคำหยาบคาย ถ้าคุณเป็พนักงานรัฐงั้นผมเข้าใจเป็อย่างดี ว่ามันเป็อาชีพที่ชอบพ่นคำหลอกลวง” หยางเฉินพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันเป็บรรณาธิการของกวงหัวเดลี่และเป็หัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารของ Righteous Magazine สำหรับคนโง่อย่างแกคงไม่มีความคิดที่สูงส่งอย่างฉันหรอก ฉันจะบอกให้นะแกไม่มีคุณสมบัติจะออกความคิดเห็นเกี่ยวกับตำแหน่งศาสตราจารย์และพนักงานรัฐพวกเขาเป็คนชั้นสูงของสังคม แกมันก็แค่ตัวไร้ค่า เป็ได้แค่ขยะสังคมเท่านั้นนั้นคือสิ่งที่ฉันเห็นมาตลอด”
หยางเฉินเกาหัวจากนั้นถามกับผู้จัดการของฝ่ายต้อนรับว่า "นั้นคือหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่มีชื่อเสียงมากเชียวหรือ?ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน?"
หัวหน้าแผนกต้อนรับคนสวยอยากจะร้องไห้เธอเจอเข้ากับเหตุการณ์สยองขวัญั้แ่เช้าและไม่มีทางจัดการด้วยวิธีการของแผนกต้อนรับตามปกติได้ เธอฝืนยิ้มตอบกลับไปว่า
"พวกเขาเป็สิ่งตีพิมพ์ที่มีเนื้อหาทางการเมืองและมีอิทธิพลมากที่สุดภายในเมืองจงไห่ค่ะ"
หยางเฉินพยักหน้า จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มเขินอาย “ผมไม่มีไอเดียอะไรเลย ผมอ่านแต่หนังสือพิมพ์และนิตยสารที่มีสาวสวยๆแต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เข้าใจว่าทำไมคุณถึงพูดแต่เื่ไร้สาระ”
“โง่เง่า” หยูกวงพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก“มีเพียงผู้ชายไร้การศึกษาอย่างแกที่สามารถทำเื่สกปรกกับนังร่านนี่ได้ฉันแนะนำให้แกยอมรับสารภาพต่อหน้าทุกคนตรงนี้ซะ มิฉะนั้นเราจะได้เจอกันที่ศาล”
“จะเจอกันที่ศาลเพื่อ?” หยางเฉินหัวเราะเยาะเย้ยและพูดต่อว่า "พบผู้พิพากษาและซัดทอดภรรยาคุณมาถึงผม หรือให้ผมซัดทอดภรรยาของคุณไปถึงคุณ? คุณต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ คนแบบคุณเนี่ย แม้แต่หมูตัวเมียที่บ้านผมมันยังไม่เอาคุณเลย”
“แก...” หยูกวงเป็คนประเภทที่ต่อปากต่อคำไม่เก่งเขาโกรธเป็ฟืนเป็ไฟจนกระทืบเท้าตัวเองกับพื้น จากนั้นหันกลับไปหาจ้าวหงเยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเ็ป เขาชี้ไปที่จมูกของจ้าวหงเยี่ยนและด่าว่า
“นังสารเลว แกรีบมาตรงนี้และพูดให้ทุกคนฟังคายความจริงออกมา”
จ้าวหงเยี่ยนรู้สึกผิดน้ำตาของเธอไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่อง “คุณ้าให้ฉันพูดอะไร?”
“แกยังจะพยายามปฏิเสธความจริงอย่างหน้าด้านๆอีกงั้นหรือ? พูดออกมาเลยว่าแกมีความสัมพันธ์ที่สกปรกและน่าเสื่อมเสียกับไอ้คนป่านี้เพื่อที่ฉันจะสามารถหย่ากับแกได้อย่างเปิดเผยและมีเกียรติ” หยูกวงพูดวางท่า
“อากวง...ฉันบอกคุณหลายครั้งแล้วว่า ระหว่างฉันกับหยางเฉินพวกเราเป็เพียงเพื่อนร่วมงานกันคุณอย่าทำอย่างนี้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เป็อย่างที่คุณคิด...” จ้าวหงเยี่ยนอ้อนวอน “พวกเรากลับกันได้มั้ย? ฉันจะค่อยๆ อธิบายให้คุณฟัง ฉันไม่ได้ทำอะไรให้คุณเสื่อมเสียคุณจะเชื่อใจฉันได้มั้ย?”
“หุบปาก น้องฮุยเห็นมันกับตาตนเองว่าแกใช้ทุกวิถีทางเพื่อโกหกฉันและไปสนุกที่บาร์ นี่เป็หลักฐานทั้งหมดแกยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอ” หยูกวงจ้องมองเธอเขม็ง “แกรู้ตัวว่าแกน่ารังเกียจแค่ไหน? แกเลยไม่กล้าพูดมันออกมาตอนนี้ใช่มั้ย?”
“อากวงฉันเสียหน้ามามากพอแล้ววันนี้ หากจะต้องเสียหน้าไปมากกว่านี้คนในตระกูลหยูคงไม่สามารถรับเื่นี้ได้ เพราะฉะนั้นกลับไปด้วยกันเถอะนะ!”จ้าวหงเยี่ยนดึงมือของหยูกวงให้ไปด้วยกันกับเธอ แต่ทว่าเธอก็ถูกหยูกวงสะบัดออกอย่างแรงเป็เหตุให้เธอเสียศูนย์และล้มลงกับพื้น
หยูกวงยิ้มกริ่มและพูด “แกยังกล้าอ้างตัวว่าเป็ส่วนหนึ่งของตระกูลหยูอีกอย่างนั้นเหรอ?ตระกูลหยูของเรามีแต่คนใจกว้างและชอบธรรม นังแพศยาอย่างแกที่ทำเื่เลวทรามกับผู้ชายสกปรกคนนี้ยังสามารถอยู่ในตระกูลนี้ได้อีกงั้นหรือวันนี้ฉันจะเปิดโปงความไร้ยางอายของแกต่อหน้าเพื่อนร่วมงานเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นๆ เจออย่างฉันนี่”
ท่าทางของจ้าวหงเยี่ยนเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วเธอถูกหยูกวงเหวี่ยงจนล้มลงเข่ากระแทกกับพื้นอย่างแรงนอกเหนือจากอาการเ็ปที่หัวเข่าของเธอแล้วในหัวใจของเธอก็รู้สึกเหมือนกับมันแตกออกเป็เสี่ยงๆเธอนั่งอยู่บนพื้นเย็นะเืด้วยความสับสน และน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่หยูฮุยกลับเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายราวกับว่าความผิดหวังที่กำลังกัดกินจิตใจของจ้าวหงเยี่ยนทำให้เข้ารู้สึกสบายใจและมีความสุข
หยางเฉินหลุบตาต่ำพลางก้มตัวลงเพื่อจะช่วยพยุงร่างที่บอบช้ำทั้งกาย และใจของจ้าวหงเยี่ยนขึ้นมา
ความอัปยศของหยูกวงกลับกลายเป็ความโกรธ เมื่อเขาเห็นการกระทำดังกล่าวของหยางเฉินเขาะโออกมาในทันที “ทุกคนเห็นสิ่งนี้กันแล้วใช่มั้ย?นี้เป็หลักฐานที่ชัดเจนชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้สุดท้ายก็แสดงธาตุแท้ออกมาแต่พวกเขายังปฏิเสธจะยอมรับมันอีก”
เวลานี้พนักงานหลายคนของอวี้เหล่ยรู้สึกสงสารจ้าวหงเยี่ยนจับใจทุกคนส่วนใหญ่ต่างเข้าใจในเหตุการณ์นี้เป็อย่างดีคนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าบรรณาธิการผู้นี้ เขาดูเหมือนเป็คนที่มีบุคลิกสุดขั้วและตรรกะแปลกประหลาด ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้รู้สึกเห็นใจเขาเลยแม้แต่น้อย
“ลุกขึ้นเถอะครับมันไม่คุ้มเลยที่คุณจะมานั่งที่พื้นเพื่อเขาแบบนี้และเขาก็ไม่คู่ควรกับน้ำตาของคุณอีกด้วย” หยางเฉินไม่สนใจการจ้องมองของหยูกวงเขาพูดเบาๆ กับจ้าวหงเยี่ยน
จ้าวหงเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้านี่เป็ครั้งแรกที่เธออยู่ต่อหน้าหยางเฉินโดยที่ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางคราบน้ำตาตามใบหน้าของเธอทำให้เธอดูเซ็กซี่น้อยลงแต่มีความใสบริสุทธิ์มากขึ้นการสบตากับหยางเฉินครั้งนี้ทำให้จ้าวหงเยี่ยนมองเห็นบางสิ่งที่สง่างาม จริงจัง และอบอุ่น...
“ขอบคุณมาก” จ้าวหงเยี่ยนจับมือหยางเฉินและลุกขึ้นเช็ดน้ำตาตนเอง
หยูกวงหัวเราเยาะเย้ยอยู่หลายครั้ง “ดีๆ คู่รักโง่งม ฉันรู้ั้แ่แรกแล้วว่าแกมันร่านแล้วฉันก็ไม่ควรลดตัวลงไปแต่งงานกับแก โชคดีที่ยังไม่สายเกินไปฉันจะหย่ากับแกหลังจากนี้”
เมื่อถึงจุดนี้พนักงานที่สังเกตการณ์อยู่เงียบๆมานานก็เริ่มจะหมดความอดทน พวกเขาพูดขึ้นว่า “คุณครับ คุณไม่รู้เหรอครับ ตามกฎหมายแล้วการหย่าจะต้องมีการตกลงทำสัญญาตอบแทน?นี้ไม่ใช่สมัยก่อนแล้วที่สามีสามารถเขียนเพียงจดหมายแล้วก็หย่ากับภรรยาของตนเองได้ พวกเราอยู่ในสังคมที่มีกฎหมายนะครับ เข้าใจนะ?”
“ใช่แล้ว ใครบ้างไม่เคยทำผิด?คุณกระทำรุนแรงเกินไปแล้ว” ผู้หญิงหลายคนกลับมาแสดงท่าทางสนับสนุนจ้าวหงเยี่ยน
หยูกวงกวาดสายตาหยิ่งยโสมองพวกเขาและพูดว่า “พวกแกจะไปรู้อะไรในเมื่อผู้หญิงคนนี้แต่งเข้ามาในตระกูลหยู และเธอก็ได้กระทำความผิดร้ายแรงเธอสมควรต้องถูกไล่ออก ไม่ว่าเธอจะ้าหรือไม่ เธอก็ต้องออกไป”
“ใช่แล้วพี่คนเหล่านี้เป็แค่พนักงานไร้สมอง พวกเขาจะสามารถมาเทียบกับตระกูลของเราได้อย่างไร?”หยูฮุยใส่ไฟต่อทันที
หยูกวงมองไปที่น้องชายของตนเองด้วยความพึงพอใจ
"ขอบคุณนายที่คอยอยู่เคียงข้างและพูดความจริงให้ฉันตาสว่าง มิฉะนั้นใครจะรู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ฉันถูกนังผู้หญิงคนนี้หลอกลวง? นั่นคงเป็การปล่อยให้บรรพบุรุษของตระกูลหยูตกต่ำเป็แน่แท้”
"ผมไม่แน่ใจว่าตระกูลหยูมันคืออะไรแต่ผมคิดว่ามันไม่คุ้มที่จะไปเสาะหามันแน่ๆ” หยางเฉินพูดพลางส่ายหน้า
“ตระกูลหยูไม่ใช่สิ่งของ” หยูกวงพูดแก้ไขอย่างจริงจัง
หยางเฉินยิ้ม “นั่นมันขึ้นอยู่กับคุณ ถ้าคุณบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งของก็ดี อย่างไรก็ตามผมอยากจะบอกอะไรคุณบางอย่าง ผมมีความสัมพันธ์กับภรรยาของคุณจริงๆ
เมื่อคำพูดพวกนี้ถูกกล่าวออกมามันไม่ใช่แค่หยูกวงที่ตกตะลึงพนักงานทุกคนที่กำลังพูดออกหน้าให้จ้าวหงเยี่ยนต่างก็ตะลึงไปตามๆ กันหยูฮุยคนที่รู้ว่าความจริง เปิดเผยท่าทางแคลงใจ ในขณะที่คนที่ใที่สุดคือตัวจ้าวหงเยี่ยนนั่นเอง
“หยาง… หยางเฉิน นาย…นายรู้ตัวมั้ยว่าพูดเื่อะไรออกมา” จ้าวหงเยี่ยนหน้าแดงขณะที่เธอดึงแขนของหยางเฉิน
โดยไม่รอให้จ้าวหงเยี่ยนได้พูดอะไรต่อไปหยางเฉินเหยียดแขนออก ดึงร่างกายที่อ่อนนุ่มของจ้าวหงเยี่ยนเข้ามาในอ้อมกอดของเขาและแขนอีกข้างวางไว้ตรงสะโพกของหญิงสาวอย่างคล่องแคล่วพวกเขาใกล้ชิดมากที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้