ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของตนเองที่กำลังเต้นรัว!
ทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจะหยุดชะงักลง แม้กระทั่งเกล็ดหิมะที่ตกลงมาก็ดูเหมือนจะหยุดลงเช่นเดียวกัน
ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไร ร่างกายของเขาร้อนมากเต็มทน ฉือหางรู้สึกกระวนกระวายใจจนไม่รู้ว่าจะหายใจอย่างไรแล้ว
เป็ไปไม่ได้ที่จะบอกว่าเขาไม่สงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่หลินกู๋หยู่ได้พูดถึง
ยิ่งเขา้าจับคนที่อยู่บนหลังของเขา เขาก็ยิ่งรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไม่มีความสามารถนั้น
หลินกู๋หยู่เหมือนจะเป็คนที่อยู่บนขอบฟ้าห่างไกล เขา้าไล่ล่านาง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตามนางไม่ทัน
ข้างหลังเขาไม่มีเสียงใดๆ แล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน
"กู๋หยู่!” ฉือหางเปล่งเสียงเรียกอย่างประหม่า
บนเส้นทางที่คดเคี้ยวนั้น รอยเท้าหนึ่งแถวประทับอย่างเงียบๆ และลึกล้ำ
เมื่อมองจากระยะไกล ร่องรอยบนพื้นนั้นก็หายไปไม่ปรากฏแล้ว
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ สีขาวโพลนปกคลุมทุกสิ่งบนพื้น
คนข้างหลังยังคงเงียบงัน
หัวใจของชายหนุ่มหยุดจังหวะการเต้นไปในทันที
ความวิตกกังวลแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขาราวกับความเย็นของฤดูเหมันต์ ร่างกายของเขาหนาวเหน็บ
ฉือหางย่อตัวลง หันกลับมากอดหลินกู๋หยู่ด้วยความตื่นตระหนก
เกล็ดหิมะปกคลุมร่างกายของนาง ฉือหางร้อนรนกระวนกระวาย
ถ้าหนาวขนาดนี้ มีความเป็ไปได้ที่จะคนเสียชีวิตเป็จำนวนมาก
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ใบหน้าของฉือหางก็น่าเกลียดยิ่งขึ้น เขาช่วยปัดเกล็ดหิมะออกจากร่างกายของหลินกู๋หยู่
ชายหนุ่มเขย่าร่างของหญิงสาวอย่างแรง และะโอย่างร้อนรนกระวนกระวายในเวลาเดียวกัน "กู๋หยู่ตื่น อย่าหลับสิ"
"อย่าหลับ"
ด้วยเสียงเบาหวิวไร้เรี่ยวแรง หลินกู๋หยู่ลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก นางเงยหน้าขึ้นมองฉือหาง
ทำไมหน้าของเขาถึงได้เปียกแล้วล่ะ เขาร้องไห้งั้นหรือ?
"ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว” ฉือหางพูดพร้อมเช็ดน้ำตาบนใบหน้า มุมปากโค้งงออย่างไม่อาจควบคุมได้ จากนั้นอุ้มหลินกู๋หยู่ขึ้น "เรากลับกันเถอะ"
ฉือหางเร่งความเร็วของการก้าวฝีเท้า
พอฉือหางกลับถึงบ้าน เขาก็รีบถอดรองเท้าของหลินกู๋หยู่แล้ววางนางไว้บนเตียง
ด้วยความร้อนรนกระวนกระวายใจ ฉือหางเอาผ้าห่มคลุมหลินกู๋หยู่ทั้งหมด ราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ เขาจึงเดินไปที่เตาอย่างรวดเร็วและเติมฟืนเข้าไป
ฉือเย่เฝ้าดูฉือหางวิ่งวุ่นไปรอบๆ มองหลินกู๋หยู่อย่างเป็กังวลหลายส่วน เอ่ยถามด้วยเสียงแ่เบา "พี่สาม พี่สะใภ้สามเป็อย่างไรบ้าง?"
"ไม่เป็ไร” ฉือหางใส่ยาที่ซื้อมาลงในขวดยาอย่างรวดเร็ว และเริ่มต้มยาอย่างเร่งรีบ
โต้ซาถือของเล่นไว้ในมือ ยืนอยู่ข้างเตียง คอยเฝ้าดูหลินกู๋หยู่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเบามือเบาเท้าไปหาฉือหาง
โต้ซาคุกเข่าลง พูดด้วยเสียงแ่เบา "ท่านพ่อ ท่านแม่เป็อะไรหรือ?"
"ป่วยแล้ว” ฉือหางกล่าว หันศีรษะไปมองหลินกู๋หยู่บนเตียง จากนั้นมองไปที่โต้ซา "ไม่เป็ไร เ้าไม่ต้องกังวล"
โต้ซาพยักหน้าราวกับว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นเดินไปที่เตียงเล็กๆ ด้วยตัวเอง ถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นไป
หลังจากใส่ยาลงต้ม ก็รอให้น้ำยาเดือด
"พวกเ้ากินข้าวกลางวันแล้วหรือยัง?” ฉือหางเบี่ยงศีรษะไปมองฉือเย่ ขณะเอ่ยถามอย่างสงสัย
เมื่อได้ยินคำถามของฉือหาง ฉือเย่ก็พูดด้วยความลำบากใจ "ยังเลย"
ฉือหางเห็นว่ายังมีเกี๊ยวอีกจำนวนมาก น้ำเดือดแล้วก็ตักใส่ชามหนึ่งชาม ก่อนที่จะใส่เกี๊ยวลงในหม้อและเตรียมต้มเกี๊ยว
ฉือหางถือชามน้ำหนึ่งชามเดินไปข้างเตียง หยิบช้อนในมือ ตักน้ำแล้วเป่าสองครั้ง จากนั้นส่งช้อนไปที่ริมฝีปากของหลินกู๋หยู่
หลังจากสองสามคนทานอาหารเสร็จแล้ว ฉือหางเห็นว่ายาใกล้จะสุกแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบตักใส่ชามออกมาแล้วเดินไปที่ข้างเตียง
ฉือเย่ไม่มีกะจิตกะใจอ่านหนังสือ เหลือบมองไปที่ฉือหางเป็ครั้งคราว
การเคลื่อนไหวของฉือหางนั้นเบามาก เขาตักน้ำยาสมุนไพรอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะส่งมันไปที่ริมฝีปากของหลินกู๋หยู่
หลังจากจิบหนึ่งคำ หลินกู๋หยู่ก็อดไม่ได้ที่จะกระแอมไอ ตื่นขึ้นมาจากการเผลอหลับไป นางเงยหน้าขึ้นมองฉือหาง
“ตื่นแล้วหรือ?” ฉือหางรีบวางชามในมือของเขาไว้ข้างๆ ใช้ผ้าเช็ดริมฝีปากของหลินกู๋หยู่อย่างระมัดระวัง
หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองฉือหางอย่างมึนงง หรี่ตาลงช้าๆ และพูดเสียงแ่เบาว่า "ข้าสบายดี"
“ยาพร้อมแล้ว ข้าจะป้อนเ้า” ฉือหางพูด ตักยาหนึ่งช้อนเต็ม ยื่นถึงริมฝีปากของหลินกู๋หยู่ “ทานยาแล้วก็หายดีแล้ว”
หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหาง มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อยและฝืนยิ้ม "ข้าจะทำเอง"
เมื่อพูดจบ หลินกู๋หยู่ก็รับยาและดื่มมัน
หลังจากทานยา หลินกู๋หยู่ก็นอนลงบนเตียงและหลับไปด้วยความสะลึมสะลือ ทุกๆ ชั่วยาม ฉือหางจะปลุกหลินกู๋หยู่และให้นางดื่มน้ำหนึ่งชาม
ในตอนบ่าย หลินกู๋หยู่ตื่นขึ้นมาอย่างกระเสาะกระแสะ ร่างกายของนางร้อนจัด ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อซึม
เมื่อมีไข้ หลังจากเหงื่อออก ร่างกายก็จะหายดีแล้ว
ฉือหางไม่ให้หลินกู๋หยู่ทำอาหาร เขาต้มเกี๊ยวอย่างขยันขันแข็ง
หลินกู๋หยู่นั่งบนเตียงอย่างอ่อนล้า มองไปที่เงาร่างที่ยุ่งเหยิงของฉือหาง มุมปากของนางอดไม่ได้ที่จะยกขึ้น
โชคดีที่ฉือหางไม่ได้ทำอาหาร ถ้าเขาทำอาหาร หลินกู๋หยู่ก็ไม่รู้ว่านางจะมีความกล้าที่จะทานอาหารที่เขาทำหรือไม่
หลินกู๋หยู่ป่วยมาสองวัน อาจเป็เพราะฉือหางดูแลนางเป็อย่างดี อาการป่วยของนางจึงค่อยๆ ดีขึ้น
ในตอนเช้าตรู่ หลินกู๋หยู่ลืมตาขึ้นอย่างสดชื่น นางเงยหน้าขึ้นมองฉือหางที่อยู่เคียงข้าง
“ข้าหายป่วยแล้ว” หลินกู๋หยู่มองฉือหางด้วยรอยยิ้ม ร่างกายครึ่งหนึ่งของนางนอนอยู่บนร่างของฉือหาง ยื่นมือออกไปและบีบจมูกของผู้เป็สามี “่เวลาสองวันนี้ลำบากเ้าแล้วจริงๆ”
ฉือหางลืมตาอย่างสะลึมสะลือ และเมื่อเขาสบกับดวงตาที่เป็ประกายแวววาวคู่นั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มก็สดใสประดุจบุปผา
“เ้าตื่นแล้วหรือ?” ฉือหางยังตื่นไม่เต็มที่ เอ่ยถามด้วยเสียงขึ้นจมูก เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของหลินกู๋หยู่
ฝ่ามือของเขาอุ่นมาก ััที่หน้าผากของหลินกู๋หยู่พบว่าอุ่นเท่ากับฝ่ามือของเขา
ฉือหางสอดมือไว้ใต้ผ้านวมและและยกนางให้ลุกขึ้นนั่ง
น้ำหนักตัวทั้งหมดของหลินกู๋หยู่โถมไปบนร่างของฉือหาง
“เ้าไม่หนักหรือ?” หลินกู๋หยู่เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็สามีและมุมปากของนางโค้งขึ้นช้าๆ
"ไม่หนัก"
ฉือหางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแตะหน้าผากของหลินกู๋หยู่ ััมันอย่างจริงจัง
"ไม่ร้อนแล้ว” ฉือหางกล่าวด้วยรอยยิ้มร่า
หลินกู๋หยู่ยกมือขึ้นช้าๆ นางเคยคิดว่าหากคู่รักมักจะอยู่คลอเคลียด้วยกันตลอด เช่นนั้นดูไม่ดีนัก
แต่ตอนนี้หลินกู๋หยู่รู้สึกสบายมากเป็พิเศษ ตราบใดที่ได้กอดเขา นางก็รู้สึกสงบและสบายใจมาก
“ถ้าดีขึ้นแล้ว ลุกขึ้นเถอะ” ฉือหางเงยหน้า เขาเหนื่อยอ่อนแล้ว ทิ้งศีรษะนอนลงบนหมอน
ตอนนี้นางหายดีแล้ว นางจะไม่ปล่อยให้ฉือหางทำอาหารแล้ว
เมื่อฉือเย่มาถึง ก็เห็นหลินกู๋หยู่กำลังทำอาหาร
"พี่สะใภ้สาม พี่อาการดีขึ้นแล้วหรือ?” ฉือเย่มองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า เมื่อสองวันก่อนเขาเองก็กังวลแทบตาย แต่เมื่อเห็นว่าหลินกู๋หยู่หายดีแล้ว เขาก็อดที่จะมีความสุขไม่ได้เช่นกัน
"อืม” หลินกู๋หยู่ตอบด้วยรอยยิ้ม ราวกับจำอะไรบางอย่างได้ และพูดกับฉือหางที่อยู่ข้างๆ "พี่ฉือหาง พี่บอกเื่นั้นกับพวกเขาหรือยัง?"
เมื่อได้ยินคำถามของหลินกู๋หยู่ ฉือหางก็หยุดล้างผักชั่วขณะ ยืนขึ้นและเดินไปที่ด้านข้างของหลินกู๋หยู่
เมื่อหันกลับไปเห็นว่าฉือเย่กำลังคุยกับโต้ซาอยู่ ฉือหางพูดเสียงแ่เบา "ข้าไม่ได้พูด ข้าคิดว่าเื่ของพวกเขา ก็ให้พวกเขาจัดการกันเองเถอะ"
หลินกู๋หยู่ที่กำลังหั่นผักหยุดชะงัก ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ไม่พูดจะดีหรือ พี่รองพวกเขาก็..."
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา” เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เขารู้สึกว่าฉือเทาน่าขยะแขยงมาก “อย่ากังวลไปเลย”
หลินกู๋หยู่พยักหน้า "ก็ได้ อย่างไรเสียมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา"
“เพียงแต่” หลินกู๋หยู่มองไปที่ฉือหางอย่างละล้าละลัง ก่อนที่จะพูดต่อว่า “เรายังต้องหาวิธีหาค่าเล่าเรียนให้น้องสี่ ถ้าเขาสอบได้ดีก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็ผู้เหมาะแก่การเรียนหนังสือ เมื่อถึงเวลาแล้วก็ให้เขาตั้งใจเรียนเถอะ วันข้างหน้าเขาอยากจะทำงานอะไรก็แล้วแต่เขาจะเลือกแล้ว เ้าคิดว่าอย่างไร?"
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลินกู๋หยู่พูด ฉือหางคลี่ยิ้มบาง "น้องสี่เรียนหนังสือได้ดีมาโดยตลอด"
"เช่นนั้นก็ดี" ริมฝีปากของหลินกู๋หยู่โค้งเล็กน้อย วางหม้อบนเตา รินน้ำมันลงไป "เพียงแต่พี่รองใจร้ายใจดำเกินไปแล้ว"
คิ้วของฉือหางขมวดแน่นยิ่งขึ้น ใบหน้าของเขาน่าเกลียดหลายส่วน "เมื่อก่อนข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็คนเช่นนั้น"
เมื่อได้ฟังดังนั้น หลินกู๋หยู่ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
ฉือเทาและฟางซื่อเหมือนกันจริงๆ ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่พวกเขาสองคนเป็สามีภรรยากัน ทั้งคู่เป็คนเกียจคร้าน
ในอดีตที่ยังไม่มีการแยกครอบครัวกัน พวกเขาก็เอาแต่รอกินอย่างเดียว แม้ว่าจะโดนโจวซื่อตำหนิหลายครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงประการใด
หลังจากแยกครอบครัว ฉือเทาและฟางซื่อมีเงินเพียงห้าสิบตำลึงอยู่ในมือ เงินจำนวนเท่านี้จะว่ามากก็มาก แต่จะว่าน้อยก็น้อย
ทั้งสองคนไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขาทำได้เพียงใช้เงินห้าสิบตำลึงนั้นเท่านั้น
และท้ายที่สุดเงินเ่าั้ย่อมต้องใช้จ่ายหมดลงอย่างแน่นอน
การโกยเงินของคนในครอบครัวย่อมเป็สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด
ระหว่างรับประทานอาหาร ฉือหางทานหนึ่งคำและเบี่ยงสายตามองไปที่ฉือเย่ "น้องสี่ การสอบที่เ้าว่านั้น จะเริ่มสอบเมื่อไร?"
ฉือเย่หยุดชั่วคราว ขณะถือชาม ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ฤดูใบไม้ร่วง"
"จะต้องใช้เงินเท่าไร?” ฉือหางเงยหน้าขึ้นมองฉือเย่ "ข้าจะได้ออมเงิน ถึงเวลานั้นจะได้ให้เ้าไปสอบ"
ฉือเย่ก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ ฉายแววครุ่นคิด "ประมาณหนึ่งร้อยตำลึงเงิน"
“การสอบคราวนี้ไม่รวมค่าอาหารและค่าโรงเตี๊ยม มันต้องใช้จ่ายมากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงเงินอย่างแน่นอนใช่หรือไม่” หลินกู๋หยู่กล่าวอย่างลอยๆ
"เมื่อข้าไปถึงที่นั่น ข้าจะขายอักษรหารายได้" ฉือเย่ยิ้มเขินๆ "ไม่มีปัญหา"
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฉือเย่พูด ฉือหางก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและพูดกับหลินกู๋หยู่ข้างๆ "อย่างไรก็ตาม เตรียมเงินมากกว่าเล็กน้อยย่อมดีกว่า"
หลินกู๋หยู่พยักหน้า
“ท่านแม่” โต้ซากำลังรับประทานอาหาร แต่หันศีรษะไปมองหลินกู๋หยู่ “ข้าก็จะไปสอบเช่นกัน”
“ได้สิ เ้าจะไปเมื่อไร?” หลินกู๋หยู่เอื้อมมือไปแตะศีรษะของโต้ซา “เ้าอยากเรียนหนังสือแล้วหรือ?”
เมื่อพูดถึงโต้ซาอยากจะเรียนหนังสือ ฉือเย่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฉือหาง "ตอนนี้โต้ซาอายุเกือบสามขวบแล้ว ถ้าอยากจะเรียนก็สามารถส่งไปเรียนได้ โต้ซายังเด็ก ท่านอาจารย์ย่อมไม่เคร่งครัดเกินไป จะสอนแต่เื่ง่ายๆ เท่านั้น!”
หลังจากได้ฟังสิ่งที่ฉือเย่พูด ฉือหางก็พูดกับหลินกู๋หยู่ที่อยู่ด้านข้าง "หรือว่ารอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ เราส่งลูกไปเรียนที่สถานศึกษาโดยตรง"
“ครอบครัวเ้าสาม อยู่หรือไม่?” เสียงของซ่งซื่อลอดดังมาจากข้างนอก