ด่านหู่เหลา
“ผ่างๆๆๆ!...”
เสียงตีฆ้องถอนทัพ ดังออกมานอกด่านหู่เหลา
ที่ด่าน มีหอคอยสังเกตการณ์ขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชัน ในตอนนี้ ไม่ว่าบนหอคอยสังเกตการณ์ หรือนอกด่าน ล้วนมีซากศพกองพะเนิน และธนูเพลิงนับไม่ถ้วน โดยรอบมีควันคละคลุ้ง ขณะนี้ที่ด้านข้างหอสังเกตการณ์ บันไดจำนวนมากถูกเผาในกองไฟใหญ่
กู่ฉินซึ่งย้อมผมขาว ยืนอยู่ที่ประตูหอสังเกตการณ์ มองดูทหารซ่งจำนวนมาก กำลังถอยร่นกลับไป
เฉินเทียนซานและเฉินเหลี่ยงอี้ ยืนอยู่ด้านหลังกู่ฉิน
“ฮู่! เกือบไปแล้วจริงๆ ไม่นานก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าแม่ทัพเกาเซียนจือกริ่งเกรงกู่ไห่ จึงได้หยุดทัพเพื่อแก้ไขกลยุทธ์ใหม่ คิดไม่ถึงว่าจะเป็เื่โกหก พวกเขามาถึงเร็วกว่าที่คิด อีกทั้งยังมีแต่ทหารชั้นยอดอีก หากมิใช่เพราะท่านเตรียมพร้อมไว้ก่อน ด่านหู่เหลาคงแตกพ่ายไปแล้ว!" เฉินเทียนซานกล่าวด้วยใบหน้าหวาดเกรง
เฉินเหลี่ยงอี้พยักหน้าเห็นด้วย “โชคยังดี ที่ท่านเตรียมน้ำมันหยางโหยว[1] ไว้ และใช้เผาบันไดตอนพวกนั้นปีนบันไดขึ้นมา มิฉะนั้นคงจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายจนมิกล้าคิด สมเป็ทหารฝีมือดีจริงๆ ขอเพียงหนึ่งในนั้นสามารถปีนขึ้นมาได้ ก็สามารถสังหารทหารหนุ่มๆ ของเราไปได้ถึงห้าคนแล้ว!... นี่! นี่!...” เฉินเหลี่ยงอี้กล่าวอย่างหวาดกลัวเช่นกัน
กู่ฉินไม่ได้มองไปยังสองคนนั้น แต่กลับทอดสายตาไปไกล แล้วกล่าวเสียงเบาว่า "ทั้งสองท่าน ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้แพร่งพรายสิ่งใดออกไป จำเอาไว้ว่าตอนนี้ข้าคือกู่ไห่!"
ขณะนี้ เส้นผมของกู่ฉินถูกย้อมเป็สีขาว บนใบหน้ามีริ้วรอยจำนวนมาก แม้จะไม่เหมือนกู่ไห่ แต่มีน้อยคนนักที่เคยพบกู่ไห่ และหลายปีที่ผ่านมา คนที่เคยเห็นกู่ฉินก็มีไม่มากเช่นกัน อีกทั้งรูปลักษณ์ของกู่ฉินในตอนนี้ก็เปลี่ยนไปมาก จึงเป็เื่ยากสำหรับคนทั่วไปที่จะดูออก แม้แต่คนในจวนสกุลกู่ ก็คงยากที่จะจำเขาได้
เฉินเทียนซานและเฉินเหลี่ยงอี้มองกู่ฉิน และพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ใน่แรก ตอนที่กู่ไห่วางกลยุทธ์นั้น เฉินเทียนซานมิใคร่เห็นด้วยนัก กังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่ตอนนี้ กลับมิได้ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย ความเคลื่อนไหวของศัตรู เป็ไปตามที่กู่ไห่คาดการณ์ไว้ พวกเขาจึงสามารถสกัดการโจมตี ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่าสองชั่วยามครึ่ง[2]เอาไว้ได้ ทำให้เกาเซียนจือต้องถอยร่นกลับไป
“ข้าจะเชื่อฟังทุกสิ่งที่ท่านบอก ขอเพียงสามารถต้านเกาเซียนจือไว้ได้ ท่านให้ทำอะไร ข้าก็จะทำตามนั้น!” เฉินเหลี่ยงอี้กล่าวอย่างหนักแน่น
“อาจารย์เฉิน พ่อบุญธรรม้าเอาชนะแคว้นซ่งให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของพ่อบุญธรรม ไม่ควรแพร่งพรายออกไป เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุมิคาดฝัน” กู่ฉินกล่าวน้ำเสียงขึงขัง
เฉินเทียนซานพยักหน้า “ข้าจะเก็บเป็ความลับ พึ่งต่อสู้เพียงครั้งเดียว แต่ทหารซ่งกลับตายไปสามพันคนแล้ว แม้เกาเซียนจือจะเสียทหารไปสามพันคน แต่ก็เป็เพียงกำลังพลเล็กๆ เท่านั้น หากทัพใหญ่ของเขามาสมทบที่ด่านหู่เหลา ท่านจะทำอย่างไรต่อไป?”
กู่ฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “วางใจเถอะ ข้าเชื่อใจพ่อบุญธรรม ในไม่ช้าท่านต้องจัดการพวกเขาได้แน่!”
“โอ้?”
“คนที่โจมตีด่านหู่เหลานั้น คือทัพหน้าของเกาเซียนจือ ซึ่งมีผู้นำนามว่า หลินชง คนผู้นี้เป็คนกล้าหาญ เราต้องระวังเขาให้มาก และควรให้จิตรกรวาดภาพเหมือนของเขา ติดไว้ทุกที่ เพื่อให้ทหารเห็น หากเจอชายคนนี้ ให้โจมตีสุดกำลัง!” กู่ฉินกล่าวเสียงเคร่ง
"ได้!" เฉินเหลี่ยงอี้รับคำทันที
…
นอกด่านหู่เหลา
ภายในกระโจมใหญ่หลังหนึ่งในกองทัพซ่ง
ชายสวมชุดสีแดงสง่างามดั่งนักปราชญ์ อายุราวสี่สิบปี ในมือกำลังถือชาร้อนถ้วยหนึ่ง สายตาสังเกตกระบะทรายขนาดใหญ่อย่างละเอียด บนนั้นมีลักษณะภูมิประเทศของด่านหู่เหลาซึ่งถูกจำลองขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน
ด้านข้างมีทหารกลุ่มหนึ่งคอยคุ้มกันอย่างเงียบๆ ไม่มีใครกล้าขัดจังหวะชายท่าทางสง่างามดั่งนักปราชญ์ผู้ถือถ้วยชาคนนี้เลย
ชายผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลา หว่างคิ้วแสดงถึงความองอาจผึ่งผาย ที่ไม่ว่าใครเห็นล้วนใจสั่น
หลังจากจิบชาแล้ว ก็ใช้มือเปลี่ยนบางอย่างบนกระบะทราย
"รายงาน!"
ทันใดนั้น บุรุษท่าทางสง่างาม ร่างชุ่มเืก็วิ่งเข้ามาในกระโจม
ฟึบ!
ชายท่าทางสง่าผ่าเผยคนนั้น คุกเข่าลงบนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
แต่ชายท่าทางสง่างามดั่งนักปราชญ์ กลับหันหลังให้เขา และมองกระบะทรายต่อไป
“ท่านแม่ทัพ หลินชงไร้ความสามารถ ไม่สามารถทำลายด่านหู่เหลาได้ ผู้บัญชาการด่าน ดูเหมือนจะรู้ว่าเราเดินทัพมา จึงได้เตรียมน้ำมันหยางโหลวไว้ล่วงหน้า มีทหารได้รับาเ็มากมาย กำลังพลสามพันนายเสียชีวิต อีกสองพันคนได้รับาเ็หนัก ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ ท่านแม่ทัพโปรดลงโทษ!” ชายผู้สง่าผ่าเผยคนนั้น คุกเข่าขอรับโทษ
ท่านแม่ทัพซึ่งถือถ้วยน้ำชา มิได้หันมา ยังคงมองกระบะทราย
“โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยขอรับ ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่สามารถเอาชนะศึกที่หอคอยสังเกตการณ์ได้!” หลินชงผู้สง่างามโขกศีรษะลงกับพื้น
“เ้าล้มเหลวในการโจมตีหอคอยสังเกตการณ์นั้น เป็เื่ธรรมดา หากทำได้ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติ” ผู้เป็แม่ทัพกล่าวเสียงเบา
"เอ๋?" หลินชงมองแม่ทัพอย่างงุนงง
ชายคนนี้ คือแม่ทัพผู้นำในการบุกแคว้นเฉิน เกาเซียนจือ!
เกาเซียนจือถือถ้วยน้ำชาและค่อยๆ หมุนมันไปมา มองหลินชง ยิ้มเล็กน้อย และกล่าว “ข้าไม่หวังให้เ้าชนะศึกได้ในครั้งเดียว เพียงแค่ใช้ทหารแนวหน้าเ่าั้ ทดสอบความแข็งแกร่งของด่านหู่เหลา เ้าอย่าได้โทษตัวเอง คนที่ดูแลด่านอยู่นั้น มิใช่คนที่เ้าจะสามารถเอาชนะได้”
“ท่านแม่ทัพ ไม่โทษข้าหรือขอรับ?” หลินชงกล่าวด้วยความใ
เกาเซียนจือจิบชาอีกครั้ง ก่อนพยักหน้า “ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบลักษณะภูมิประเทศโดยรอบของด่านหู่เหลาแล้ว สมกับที่เป็กู่ไห่ ป้องกันได้อย่างไร้ที่ติ แม้แตู่เาสูงชันก็ถูกทำลาย ตัดเส้นทางการโจมตีของเรา!”
“แต่พี่น้องสามพันคนของเรา...” หลินชงมีสีหน้าแย่ลงทันที
“ไม่เป็ไร ในการรบย่อมมีผู้สละชีพเป็ธรรมดา กู่ไห่ต่างจากทุกคนที่เราเคยเจอ ไม่อาจดูถูกได้ เ้าต้องปฏิบัติต่อเขา ในฐานะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จำไว้ ว่าเขานั้นกล้าแข็งกว่าข้า!” เกาเซียนจือกล่าวเสียงเข้ม
"เอ๋? จะเป็ไปได้อย่างไร? ท่านแม่ทัพ ในแคว้นซ่งเวลานี้ ผู้ที่ข้าชื่นชมยกย่อง มีเพียงท่านเท่านั้น!” หลิวชงไม่เชื่อ
“แต่ใต้หล้านี้ คนที่ข้าชื่นชมยกย่องมีเพียงเขาผู้เดียว!” เกาเซียนจือกล่าวอย่างจริงจัง
"เอ๋? อะไรนะขอรับ?" หลินชงกล่าวด้วยความใ
“แม้ว่าข้าจะชื่นชมเขา แต่ก็ต้องเอาชนะให้ได้ ดังนั้นพวกเ้าทุกคนต้องระวังให้มาก!” เกาเซียนจือกล่าวอย่างเข้มงวด
"ขอรับ!"
“เมื่อกู่ไห่บัญชาการกองทัพ เป็ไปได้ยากที่จะป้องกัน อีกทั้งยังมีกลยุทธ์ประหลาดมากมายที่เ้าไม่รู้จัก จากนี้ไป หากเกิดเหตุการณ์แปลกๆ แม้จะมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบ ก็ต้องรายงานให้ข้าทราบทันที!” เกาเซียนจือกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
"ขอรับ!"
“อีกสามวัน ให้โจมตีอีก แม้ว่าจะล้มตายมากกว่านี้ก็ไม่เป็ไร การตายของพวกเขา ก็ทำให้ด่านหู่เหลาสูญเสียกำลังพลเช่นกัน เมื่อทหารอ่อนแอเ่าั้เห็นการตายของสหาย ความตั้งใจย่อมสั่นคลอน
หลังพ้นสามวัน เราจะถอนทัพ อีกไม่กี่วันข้างหน้า เมื่อกำลังพลทั้งหมดมาถึง ทหารเฉินพวกนั้นก็จะพ่ายแพ้ไปด้วยตัวเอง!” เกาเซียนจือกล่าวอย่างเ็า และจิบชาอึกสุดท้าย
"ขอรับ!"
หลังจากนั้นสามวัน
บนยอดหอคอย ประตูทางเข้าด่านหู่เหลา
“ถอนตัวแล้ว! ในที่สุดพวกเขาก็ถอนตัว” เฉินเหลี่ยงอี้น้ำตาคลอหน่วย
“แต่ใน่สามวันนี้ เราสูญเสียทหารไปถึงหนึ่งหมื่นคน!” เฉินเทียนซานแสดงสีหน้าย่ำแย่
มีทหารทั้งหมดหนึ่งแสนคน ตายไปแล้วหนึ่งหมื่น ขวัญกำลังใจจึงลดลงอย่างน่ากลัว นอกจากนี้ ฝ่ายตรงข้ามยังมีทหารอยู่อีกเจ็ดถึงแปดแสนคน
“พวกท่านกังวลว่าทหารจะระส่ำระสายหรือ?” กู่ฉินยิ้มน้อยๆ
“แล้วมิใช่เช่นนั้นหรือ?” เฉินเหลี่ยงอี้ถามอย่างกังวล
"ใช่!" กู่ฉินตอบอย่างมั่นใจ
"หา?"
“เกาเซียนจือเรียนรู้การทำาจิตวิทยามาจากพ่อข้า หากเขารู้ แล้วเหตุใดท่านพ่อจะไม่รู้? วางใจเถอะ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง เราจะเปลี่ยนแผน ประกาศเื่การตายของทหารหนึ่งหมื่นนายนี้ มิใช่เพื่อให้เกรงกลัว แต่จะใช้มันกระตุ้น ทำให้พวกเขาไม่พรั่นพรึงต่อความตาย!” กู่ฉินยิ้ม
"หืม?"
...
เกาเซียนจือขี่อาชาสีดำตัวใหญ่ ค่อยๆ เคลื่อนทัพไปยังเมืองใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ไกล พร้อมนำทหาราเ็หมื่นนายไปด้วย
แม้จะไม่สามารถเอาชนะด่านหู่เหลาได้ แต่สำหรับเกาเซียนจือ นั่นก็เพียงพอแล้ว เพราะเขาได้ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวไว้ในจิตใจทหารด่านหู่เหลาแห่งแคว้นเฉินแล้ว
กำลังพลของด่านหู่เหลาตายไปหนึ่งหมื่นคน บางที อาจจะเป็การกระตุ้นให้พวกเขาฮึดสู้ แต่แล้วอย่างไรล่ะ? อีกไม่กี่วันข้างหน้า เมื่อทหารแปดแสนคนเข้าโจมตี เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดหวั่นที่หยั่งรากในใจ ก็จะแตกหน่อ และทำลายขวัญทหารอย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าคือที่มั่นของกองทัพแปดแสนนาย อีกทั้งยังเป็เมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นเฉิน รองลงมาจากเมืองหลวง รู้จักกันดีในฐานะ เมืองแห่งการค้า ซึ่งร่ำรวยที่สุดในหกแคว้น
บัดนี้ เมืองถูกยึดครอง และกำหนดให้เป็ที่มั่นของพวกเขา ทหารซ่งกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
“ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว!” เหล่าทหารออกมาต้อนรับ
“ภายในเมืองชาง มีพ่อค้าคนใดเคลื่อนไหวผิดปกติหรือไม่?” เกาเซียนจือไต่ถาม
“ไม่มีขอรับ ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ก่อนหน้านี้ท่านสั่งให้คอยจับตาดูพวกเขาเอาไว้ ไม่ใช่แค่เมืองชาง แต่รวมถึงเมืองอื่นๆ ด้วย จึงไม่มีพ่อค้าคนไหนกล้ากระทำผิด!” ทหารผู้หนึ่งกล่าวรายงาน
“อืม!” เกาเซียนจือพยักหน้า
กองทัพเคลื่อนพลเข้าเมืองอย่างช้าๆ มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง สนามฝึกเป็จุดรวมพลของกองทัพ หากไม่นับเหล่าผู้ออกรบ ที่นี่มีทหารประจำการอย่างน้อยที่สุดสามแสนนาย
ห่างจากสนามฝึกไม่ไกล กลับมีเสียงประทัดดังขึ้น เกาเซียนจือขมวดคิ้วทันที
ปังๆๆ!
เสียงประทัดแตกรัว ดังสนั่น!
"เกิดอะไรขึ้น?" เกาเซียนจือหน้านิ่ว
“ท่านแม่ทัพ เป็พ่อค้ากลุ่มหนึ่งจากแคว้นซ่งของเรา มาเพื่อปลอบขวัญ ให้กำลังใจกองทัพขอรับ!” ทหารรายงาน
"อะไรนะ? พ่อค้า?” สีหน้าของเกาเซียนจือเปลี่ยนไปทันที
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงพ่อค้าผู้ร่ำรวยที่สุดในหกแคว้น กู่ไห่
"ย้า!"
เกาเซียนจือเร่งม้า พลันอาชาสีดำก็ทะยานออกไป
…
ไม่ช้าก็มาถึงสนามฝึก ขณะนี้ กลุ่มคนสวมชุดผ้าปัก กำลังแสดงความเคารพชายวัยกลางคนผู้สวมชุดคลุมงดงามประณีต
“องค์รัชทายาททรงชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็เพียงพ่อค้าไร้ความสามารถ ทำได้เพียงขอบคุณอย่างซาบซึ้งเท่านั้น นี่ไม่นับว่าเป็อันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ การได้เห็นแคว้นซ่งแข็งแกร่งขึ้น ทำให้พวกเรามีความสุขยิ่ง ดังนั้นสมาคมพ่อค้าแห่งเมืองเผิง จึงตัดสินใจนำสิ่งของมาส่งให้แก่กองทัพ เพื่อป้องกันไม่ให้กู่ไห่แห่งแคว้นเฉินเล่นตุกติก”
ชายชุดคลุมงดงามด้านหน้า ก็คือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นซ่ง เขากำลังยืนอยู่หน้าพ่อค้ากลุ่มหนึ่ง แววตาปรากฏความพึงพอใจ
ทันใดนั้น ทหารผู้น้อยคนหนึ่งก็ะโขึ้น “ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว!”
พรึบ!
ไม่ว่าจะเป็ทหาร องค์รัชทายาท พ่อค้า หรือคนงาน ต่างก็หันไปมอง
พวกเขาเห็นเกาเซียนจือขี่อาชาตัวใหญ่เข้ามาใกล้
ที่ใดสักแห่งในบริเวณนั้น มีเสียงจุดประทัด แต่แววตาของเกาเซียนจือกลับเย็นะเื
“ยินดีที่ได้พบท่านแม่ทัพ!” องค์รัชทายาทซ่งกล่าวยิ้มๆ
“คารวะท่านแม่ทัพ!” กลุ่มพ่อค้ากล่าวทักทายอย่างตื่นเต้น
"เกิดอะไรขึ้น?" เกาเซียนจือเอ่ยถามอย่างเ็า
“โอ้! นี่คือสมาคมพ่อค้าจากเมืองเผิงของแคว้นซ่งเรา พวกเขาได้ยินมาว่าท่านสั่งให้เฝ้าระวังยุ้งฉางและคลังยาทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้กู่ไห่ขัดขวางการค้า ทำให้เกิดการขาดแคลน ดังนั้นสมาคมพ่อค้าแห่งเมืองเผิงจึงรวมตัวกัน ส่งเมล็ดพืชและยาจำนวนมหาศาลมาให้ เพื่อเป็ขวัญกำลังใจและสนับสนุนกองทัพ” องค์รัชทายาทซ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“โอ้?” เกาเซียนจือประหลาดใจเล็กน้อย
หลังจากได้ยินว่า กู่ไห่เป็ผู้บัญชาการกองทัพเฉิน ความคิดแวบแรกของเขาก็คือ กู่ไห่อาจใช้เส้นสายด้านการค้า ตัดเสบียงของพวกตน ดังนั้นจึงเตรียมการป้องกันไว้ ใครจะคิดว่าสมาคมพ่อค้าแห่งเมืองเผิงจะมาด้วยตัวเอง
หัวหน้าพ่อค้ายิ้มและกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับท่านแม่ทัพ กองทัพเกรียงไกร สามารถเอาชนะฮ่องเต้เฉินได้ เมื่อข้าได้ยินข่าวนี้ก็ประทับใจยิ่ง ข้าเชื่อในความสามารถของท่าน ดังนั้นจึงนำเสบียงมาแสดงความขอบคุณ และยินดีด้วยใจจริง หวังว่าท่านแม่ทัพจะรับไว้”
แต่เกาเซียนจือกลับมองกลุ่มพ่อค้าอย่างแคลงใจ ด้วยนิสัยระแวดระวัง ความคิดแรกก็คือ คนเหล่านี้อาจเป็สายลับที่กู่ไห่ส่งมาหรือไม่ หรือว่าพวกเขาจะสมรู้ร่วมคิดกัน แต่เมื่อเห็นอาหารและยากองใหญ่ราวกับูเา เกาเซียนจือก็วางใจ ดูเหมือนจะไม่ใช่กับดัก
ถ้าพวกเขามาเพื่อแสดงความยินดี และมอบเสบียงจริง ก็มิได้เหตุผลใดต้องไปขัด
“เช่นนั้น ข้าก็ขอขอบคุณแทนกองทัพ ข้าเดินทางมาไกล จึงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย คงไม่อาจอยู่ต้อนรับได้” เกาเซียนจือกล่าว
“แน่นอน! ย่อมเป็เช่นนั้น” กลุ่มพ่อค้าพลันกล่าวทั้งยิ้มไปด้วย
“ท่านแม่ทัพไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่ยังมีข้าอยู่” องค์รัชทายาทยิ้ม
เกาเซียนจือพยักหน้า
ในตอนเย็น หลินชงเข้ามาในกระโจมของเกาเซียนจือ
“ท่านแม่ทัพ ข้าตรวจสอบมาแล้วขอรับ ธัญพืชและยาไม่มีปัญหา ล้วนเป็ของคุณภาพดียิ่ง! ดูเหมือนพ่อค้ากลุ่มนี้ จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับกู่ไห่”
“เป็ของคุณภาพดีที่สุดหรือ?” เกาเซียนจือขมวดคิ้ว
“ใช่ขอรับ! พ่อค้ากลุ่มนี้จริงใจมาก หลังจากนี้ จะมีการจุดดอกไม้ไฟ เพื่อแสดงความยินดีกับชัยชนะครั้งใหญ่ของเราด้วยขอรับ” หลินชงยิ้ม
“ส่งคนไปจับตาดูพ่อค้ากลุ่มนี้ไว้!” เกาเซียนจือพูดเสียงเคร่ง
“ท่านแม่ทัพ ข้าได้ยินมาว่า เช้าวันพรุ่ง พวกเขาก็จะกลับแล้ว เหตุใด?...”
“ข้าสังหรณ์ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็จับตาดูไว้ก่อน!” เกาเซียนจือกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ขอรับ!"
….
วันรุ่งขึ้น เกาเซียนจือลุกขึ้นจากเตียงและล้างตัว
ปังๆๆ!
นอกค่ายมีการจุดประทัดอีกครั้ง
"หืม? หลินชง!” เกาเซียนจือะโเสียงเย็น
“ขอรับ!” หลินชงรีบพุ่งเข้ามาในกระโจมอย่างรวดเร็ว
“ข้าบอกให้เ้าจับตาดูพ่อค้าเมืองเผิงมิใช่หรือ? เกิดเื่อันใดขึ้น” เกาเซียนจือถามด้วยเสียงเข้มลึก
“ไม่มีอะไรขอรับ เมื่อเช้าพวกเขาจากไปแล้วขอรับ อืม! แต่วันนี้พ่อค้าจากเมืองยวิ่นมาที่นี่เพื่อตอบแทนกองทัพ พวกเขาจุดประทัดจากนอกเมืองจนถึงค่ายทหารกลางเมือง นอกจากนี้ยังนำยาและเมล็ดพืชจำนวนมากมาด้วย ดูเหมือนจะมิใช่เื่โกหก” หลินชงยิ้ม
“พ่อค้าจากเมืองยวิ่น?” เกาเซียนจืองุนงงเล็กน้อย
“ใช่ขอรับ เมล็ดพืชและยาคุณภาพดีมาก ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ฮ่าๆ! เราไม่ต้องกังวลว่ากู่ไห่จะขัดขวางตัดกำลังเราแล้ว!” หลินชงหัวเราะ
บนใบหน้าของเกาเซียนจือปรากฏแววสงสัย
…
เมืองหลวงแคว้นซ่ง
เมืองซ่ง จวนสกุลเถียน
ด้านหน้ากู่ไห่ มีกระดานหมากล้อมแผ่นหนึ่งวางอยู่ ดูเหมือนกำลังเล่นหมากกับตัวเอง และที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็คือลูกบุญธรรมของเขา กู่ฮั่น
“พ่อบุญธรรม สมาคมพ่อค้าแห่งเมืองเผิง เมืองหยุนและเมืองหุ้ย ได้ผลัดเปลี่ยนกันไปเมืองชาง เพื่อส่งเมล็ดพืชและยาจำนวนมาก ตามที่ท่าน้าแล้วขอรับ
สมาคมพ่อค้าทุกแห่งยังคงส่งคนไปอย่างต่อเนื่อง ตามที่เราบอก เพราะเหตุใดถึงต้องส่งธัญพืชและยาจำนวนมากไปให้พวกเขาหรือขอรับ?” กู่ฮั่นถามอย่างไม่เข้าใจ
กู่ไห่ยิ้ม วางหมากขาวเม็ดหนึ่งลงบนกระดาน และตอบว่า “นั่นสิ! เพราะเหตุใด? กู่ฮั่น เ้าไม่รู้หรอกหรือ?”
สีหน้ากู่ฮั่นเปลี่ยนไปทันที "โอ้! ข้าเข้าใจแล้ว พ่อบุญธรรม เพราะเกาเซียนจือเตรียมการรับมือกับพวกเรา จึงกักตุนเมล็ดพืชและยาไว้อย่างเพียงพอแล้ว ดังนั้นเมื่อเราส่งอาหารและยาไปให้ ก็มิได้เกิดประโยชน์อันใด หากเป็สถานการณ์ที่ขาดแคลน เมล็ดพืชและยาเหล่านี้จะมีค่ามาก แต่ตอนนี้เมื่อมีเพียงพอแล้ว ส่วนเกินก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงเก็บตุนไว้ แต่นั่นก็ยังต้องใช้กำลังคนในการจัดการและเคลื่อนย้าย
พวกมันไม่มีประโยชน์เท่าเงิน เงินนั้นสามารถมอบให้แก่ทหารเพื่อเป็ขวัญกำลังใจได้ แต่ให้รางวัลแก่ทหารเป็เมล็ดพืช โดยเฉพาะใน่านั้น ยุ่งยากยิ่ง ให้เป็รางวัลก็ไม่ได้ ถึงมอบให้เป็รางวัล เหล่าทหารก็ไม่อาจนำมันกลับไปได้อยู่ดี แม้สิ่งเหล่านี้จะไร้ประโยชน์ แต่ก็ตบตาคนได้”
“สิ่งนี้เรียกว่า 'พระจันทร์ข้างขึ้น' เมื่อมีมากเกินไป มิเพียงไม่ก่อประโยชน์ แต่ยังทำให้เกิดเื่ร้ายได้!” กู่ไห่กล่าวเสียงเคร่ง
“ใช่ขอรับ! ทหารกลุ่มนั้นเห็นของกำนัลเหล่านี้ไปถึงค่าย แต่กลับมิได้มีประโยชน์ใดๆ ต่อตนเอง ต้องเสียศูนย์แน่” กู่ฮั่นหัวเราะ
“แล้วอย่างไรอีก?” กู่ไห่ถาม ขณะวางหมากดำ
กู่ฮั่นรู้ว่ากู่ไห่กำลังสอนเขาอยู่ จึงพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ หลังจากเงียบไปสักพัก ั์ตาก็วาบประกายอย่างหวาดเกรง
“ประทัดและดอกไม้ไฟหรือขอรับ?” กู่ฮั่นกล่าวด้วยความงุนงง
กูฮันยิ้มบางๆ และกล่าว “อย่างไร?”
“เมืองชาง มีทหารสามแสนคนประจำอยู่ที่นั่น ส่วนอีกห้าแสนที่เหลือ ถูกแบ่งออกเป็หลายส่วน เพื่อส่งไปยึดเมืองต่างๆ เมืองชางเป็ฐานที่มั่นหลัก ขณะเดียวกันก็เป็สถานที่ดูแลทหาราเ็
ทหารชั้นยอดออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ทหารที่กลับมา มีเพียงผู้ที่ได้รับาเ็ อยู่ในระหว่างรักษาตัว บางคนแขนหัก ขาหัก บางคนได้รับาเ็ทั้งตัว ย่อมต้องโศกเศร้าเสียใจ ร่างกายพิการ อาจถึงขั้นหมดอนาคต
แต่ในเวลานี้ คนอื่นกลับเฉลิมฉลอง จุดประทัด ร้องรำทำเพลง นี่คล้ายเป็การสาดเกลือลงบนาแของเหล่าทหาราเ็ ทำให้เกิดช่องว่างในจิตใจมากยิ่งขึ้น!” กู่ฮั่นอธิบาย
“ต่อไปสิ!”
“ดอกไม้ไฟตอนกลางคืน ดูสวยงามและตื่นตามาก แต่สำหรับทหารที่ได้รับาเ็ นี่เป็ดั่งการเยาะเย้ย! อีกทั้งอาหารและยาจำนวนมากถูกส่งมา แต่กลับไม่มีการแจกจ่ายให้พวกเขา ทำให้ทหารที่าเ็ไม่พอใจยิ่งขึ้น คนอื่นๆ สามารถยินดีในชัยชนะได้ เหตุใดพวกเขากลับมีเพียงอนาคตที่สิ้นหวังรออยู่?” กู่ฮั่นกล่าว
กู่ไห่พยักหน้า “ยังมีอีกหรือไม่?”
กู่ฮั่นคิดอยู่นาน ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไป
“พ่อบุญธรรม ท่านหมายถึงประชาชนเมืองชางหรือ?” กู่ฮั่นถามด้วยความประหลาดใจ
กู่ไห่หยุดเล่นหมาก และพยักหน้า “อันที่จริงเกาเซียนจือสังหารทหารเฉินไปหกแสนคน ซึ่งต่างก็เป็เสาหลักของครอบครัว พวกเขาอาจเป็ลูกชาย สามี หรือพ่อ ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจทุกคนในครอบครัว
หลังจากทหารเ่าั้เสียชีวิต หลายครอบครัวต่างตกอยู่ในความเศร้าโศกและมีอนาคตมืดมน พวกเขาไม่อาจขัดขืนผู้รุกรานเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผู้รุกรานกำลังฉลอง หัวเราะรื่นเริงทุกวัน ราวกับจะเหยียบย่ำน้ำใจพวกเขา แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้ แต่ความเกลียดชังย่อมต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่!”
“วันหนึ่ง เมื่อความเกลียดชังถึงจุดสูงสุด ก็จะกลายเป็พลังที่น่ากลัว?” กู่ฮั่นสูดหายใจเฮือกใหญ่
“จงจำไว้! ไม่ว่าผู้ใด ก็มิอาจต้านทานความโกรธแค้นของฝูงชนได้ เมื่อคลื่นแห่งโทสะถาโถม ก็คล้ายภัยพิบัติครั้งใหญ่ ซึ่งไม่อาจต้านทาน!” กู่ไห่กล่าวเสียงจริงจัง
"ฟู่!" กู่ฮั่นสูดหายใจ
“พ่อบุญธรรม ลูกไม่เคยคิดเลย ว่าประทัดและดอกไม้ไฟอันเล็กๆเหล่านี้ จะซ่อนอันตรายถึงเพียงนี้ ทั้งยังสามารถเปลี่ยนความคิด จิตใจของคนได้อีก”
“ใจคนคือสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด! แต่ก็เปราะบางที่สุดเช่นกัน! การบดขยี้หัวใจพวกเขา เป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น!”
พูดจบ กู่ไห่ก็วางหมากลงบนกระดานอีกครั้ง
----------------------------------------
[1] น้ำมันหยางโหยว คือ น้ำมันก๊าด
[2] สองชั่วยามครึ่ง คือ ห้าชั่วโมง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้