ขณะนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่บันไดขั้นที่แปด คนผู้นี้นิ่งเงียบไม่พูดสักคำ ทั้งยังไม่ทะเลาะวิวาทกับผู้ใด
เพียงปีนขึ้นบันไดด้วยความเร็วคงที่ แต่กลับไม่เป็ที่โหล่ เขาก็คือผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 9 ในรายนามขั้นรวมชี่ มีนามว่าอวิ๋นเจี๋ย
อวิ๋นเจี๋ยนั้นเพิ่งเข้ารายนามขั้นรวมชี่ได้ไม่นาน เขาเป็คนมีนิสัยรักสันโดษ ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับผู้ใด และไม่อยู่ภายใต้สังกัดของพรรคใด ๆ ในสำนักยุทธ์
ดังนั้นผู้คนจึงไม่ค่อยสนใจความลึกลับของเขาสักเท่าใดนัก คนส่วนใหญ่ทราบแค่ว่าเขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์รายนามขั้นรวมชี่ ส่วนเื่อื่น ๆ มิทราบ
งานประลองสำนักยุทธ์ครั้งนี้ อวิ๋นเจี๋ยไม่เป็ที่สนใจ ซ้ำยังดูไม่ค่อยเตะตาของใครสักเท่าไร
เมื่อเย่เฟิงและฉินเยียนหรานปรากฏตัวยังบันไดขั้นที่แปด อวิ๋นเจี๋ยจึงเหลือบมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาไป
“สวะ ไม่นึกว่าจะตามขึ้นมาทัน!”
จู่ ๆ เสียงเย็นเยือกดังมาจากที่ใกล้ ๆ ทำให้เย่เฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียง พบว่าเป็จงเทาและลู่เจียงที่กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม
“บันไดนี้ไม่ใช่ของเ้าสองคน ข้าคงพูดแค่ว่าการที่ข้าตามทัน เพราะเ้าสองคนนั้นไร้ความสามารถ!” เย่เฟิงกล่าวพลางแสยะยิ้ม
“ข้าไม่อยากเสียเวลากับพวกเ้า ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงขึ้นเสียงใส่จงเทาและลู่เจียง จากนั้นเดินขึ้นบันไดต่อ
ส่วนฉินเยียนหรานนั้นอยู่ในอ้อมกอดอย่างเงียบ ๆ แม้ตัวจะใกล้ชิดกับเย่เฟิงและอารมณ์ผันผวน แต่บัดนี้ฉินเยียนหรานกลับเงียบกริบและไม่ขัดขืนดิ้นรน คล้ายคิดว่าไม่อยากทำให้เย่เฟิงลำบาก
“หยุด!”
ทว่าเย่เฟิงยังไม่ทันไปไหนไกล พลันมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเขา และขวางทางไม่ให้เย่เฟิงขึ้นบันได
“อย่าคิดว่าอยู่อันดับที่ 10 ในรายนามขั้นรวมชี่แล้วจะกำเริบต่อหน้าข้าได้ ก่อนหน้านี้เพราะเวลากระชั้นชิด จึงไม่มีเวลาเถียงกับเ้า แต่บัดนี้จะให้คนต่ำต้อยเช่นเ้ามาเหยียบบันไดอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างไร? ไสหัวลงไปซะ!”
ลู่เจียงมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นะเื จากนั้นเห็นพลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างเขา ก่อนจะวาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่ลังเล
ก่อนหน้านี้ที่นอกเขาเทียนเสวียน แม้อยู่ในสถานการณ์ที่เขาลู่เจียงไม่ออกแรงเต็มกำลังก็สามารถกดดันเย่เฟิงได้ บัดนี้ผ่านมาประมาณ 20 วันแล้ว เขาย่อมเอาชนะเย่เฟิงได้อย่างง่ายดาย
“ลู่เจียงกำลังมีเื่กับเย่เฟิง ดูท่าเ้าเย่เฟิงนั่นคงเจอหายนะเข้าแล้ว!”
สถานการณ์ด้านเย่เฟิงดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย และมีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเช่นนั้น ลู่เจียงเป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 7 ในรายนามขั้นรวมชี่ ย่อมไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะสู้ด้วยได้
“ไปให้พ้น!”
แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง จากนั้นเขาวาดฝ่ามือโจมตีเช่นกัน แม้กระบวนท่านี้จะดูเรียบง่าย จืดชืดไร้สีสัน แต่กลับอัดแน่นไปด้วยพลังที่น่าทึ่ง!
“ปัง!”
สองฝ่ามือเข้าปะทะจนเสียงะเิดังสนั่น คลื่นพลังทำลายล้างแพร่กระจาย ห้วงอากาศสั่นไหว ลู่เจียงรู้สึกว่าตัวสั่นสะท้าน คล้ายมีพลังทำลายล้างที่ไร้เทียมทานเข้าจู่โจม ทำให้เขาเซถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะยืนได้อย่างมั่นคง
“เป็ไปได้อย่างไร? ลู่เจียงน่ะหรือจะถูกคนผู้นี้ซัดกระเด็น หรือลู่เจียงตั้งใจให้เป็เช่นนี้?”
ผู้คนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็ตะลึงงัน และหันไปมองเย่เฟิงด้วยความเหลือเชื่อ
“ผู้ที่เพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่ถือสิทธิ์อะไรมาต่อต้านลู่เจียง? ข้าว่าเขาดูไม่น่ากลัวเท่าไรเลย น่าจะอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 2 นะ” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนกล่าว แม้เย่เฟิงจะซัดลู่เจียงกระเด็นได้ แต่ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ก็มองเย่เฟิงในแง่ร้าย
เย่เฟิงไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น แต่สายตาเย็นเยือกกวาดมองลู่เจียง ก่อนกล่าวว่า “ข้าเป็คนต่ำต้อย ไม่คู่ควรที่จะเหยียบสถานที่แห่งนี้ แต่เ้ากลับถูกโจมตีจนถอยหลังไป นี่พิสูจน์ว่าเ้าต่ำต้อยกว่าข้าไม่ใช่หรือ? ต่อไปอย่ารังแกผู้อื่นจะดีกว่านะ หาไม่แล้วเ้ามีแต่จะขายหน้าเสียเปล่า ๆ!”
“สามหาว คราวก่อนถูกสัตว์อสูรเขมือบกิน แต่เ้าดวงแข็งจึงรอดมาได้ ครั้งนี้ข้าอยากเห็นนักว่าเ้าจะรอดไปจากที่นี่ได้อย่างไร!”
เสียงของจงเทาดังมาจากอีกด้านหนึ่ง จากนั้นเห็นเขาชี้นิ้วไปที่เย่เฟิง ก่อนจะมีลำแสงที่อัดแน่นไปด้วยพลังไร้เทียมทานพุ่งออกมา
“คนพวกนี้ร่วมมือกันจัดการเ้า ปล่อยข้าลงเถอะ” เสียงของฉินเยียนหรานดังมาจากในอ้อมแขน
“ไม่เป็ไร!”
เย่เฟิงส่งยิ้มให้ฉินเยียนหรานและยังคงไม่ปล่อยร่างนาง แสงพลันส่องวาบ ก่อนจะมีหอกสีเงินปรากฏในมือของเย่เฟิง ตัวหอกเรืองรองแสงและมีอักขระโคจร จากนั้นเขาแทงหอกออกไปอย่างไม่ลังเล แล้วเข้าปะทะกับพลังดัชนีของจงเทาในทันที
“วูบ!” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ในหอกนั่นอัดแน่นด้วยพลังแห่งอำนาจและคล้ายสอดคล้องกับพื้นที่แห่งนี้ เมื่ออาศัยอำนาจในพื้นที่นี้จึงปลดปล่อยพลังได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด ก่อนจะทะลวงพลังดัชนีของจงเทา จนขาดเป็สองท่อน
นาทีต่อมาเห็นจงเทาหน้าเปลี่ยนสี ดูย่ำแย่กว่าเดิม เหมือนไม่นึกว่าเย่เฟิงจะทำลายพลังดัชนีของเขาได้ด้วยหนึ่งหอก อีกอย่างหลังจากทำลายพลังดัชนีนั่น พลังของมันกลับไม่ลดน้อยลงเลย ซ้ำยังพุ่งเข้าหาจงเทาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
จงเทารู้ว่าตนมิอาจต่อต้านได้จึงคิดหลบหนี แต่รังสีหอกนั่นยังคงโดนตัวเขาและทิ้งรอยเืไว้บนหน้าอก พร้อมกับเืไหลซึมออกมา
“นี่...”
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องตกตะลึง หากเมื่อครู่นี้ที่เย่เฟิงซัดจงเทาเป็ความบังเอิญ เช่นนั้นหอกของเย่เฟิงที่เฉือนหน้าอกของจงเทาจนเป็แผล จะใช่ความบังเอิญอีกหรือ?
ผู้คนต่างครุ่นคิดในใจและรู้สึกสนใจเย่เฟิงมากขึ้น โดยเฉพาะผู้าุโระดับสูงบางคนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
จงเทาเผยสีหน้าบูดเบี้ยว เขาถูกเย่เฟิงผู้ที่เขาดูถูกเหยียดหยามสารพัดโจมตีจนได้รับาเ็ต่อหน้าผู้คนนับไม่ถ้วน ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
ขณะมองาแบนหน้าอกของตนที่มีเืซึมออกมา ในใจของจงเทาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เขาเงยหน้าขึ้น แต่กลับได้ยินเสียงถากถางของเย่เฟิงดังขึ้น “อ่อนหัดแบบนี้ กล้าดียังไงมาทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า ข้าว่าหนังหน้าเ้าคงต้องหนามาก ๆ แน่!”
“เ้า...” จงเทาได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็ย่ำแย่กว่าเดิม จนรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบและไม่สบายตัว
จงเทาและลู่เจียงเกิดโทสะ พวกเขาสองคนได้รับความอัปยศเพราะเย่เฟิงคนเดียว จึงอยากคิดลงมือจัดการเย่เฟิงอีกครั้ง ทว่าเย่เฟิงไม่อยู่ที่บันไดขั้นที่แปดแล้ว แต่ไปปรากฏตัวที่บันไดขั้นที่เก้า
“หมอนี่ต้องตาย ข้าจะต้องฆ่ามันกับมือตัวเองให้จงได้!”
เย่เฟิงไม่สนใจจงเทาและลู่เจียง เขาเดินขึ้นบันไดขั้นที่เก้า แต่ได้ยินเสียงลู่เจียงดังไล่หลังมา เห็นชัดว่าสองคนนี้อยากฆ่าเย่เฟิงมาก ๆ
“ปัง!” ทันใดนั้นมีเสียงะเิดังมาจากบันไดขั้นบน ๆ จากนั้นมีพายุพินาศเคลื่อนตัวลงมา ทุกที่ที่มันผ่าน ทุกสิ่งล้วนต้องถูกทำลาย
“เป็เว่ยจี้ เขาถึงขั้นที่สิบแล้ว สมกับเป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 4 ในรายนามขั้นรวมชี่ ไม่เพียงแต่มีพลังแก่กล้า แต่พร์ยังโดดเด่นเกินใคร!” ขณะนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์กล่าวขณะมองไปที่บันไดขั้นที่สิบ
“สวะ ไสหัวลงไปเดี๋ยวนี้!”
ในขณะเดียวกันมีเสียงะโดังออกจากปากของเว่ยจี้ จู่ ๆ พายุพินาศแปรเปลี่ยนเป็รังสีหมัด ก่อนจะพุ่งไปโจมตีเย่เฟิง!