เฉียวเยว่ยังนับว่าเชื่อฟัง แม้คำพูดของผู้ใหญ่ใช่ว่าจะถูกต้องทั้งหมด แต่บางเื่เด็กผู้หญิงเช่นนางก็ไม่รู้สายสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างคนสกุลใหญ่ เชื่อไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย
เฉียวเยว่เอ่ยกับไท่ไท่สามถึงเื่นี้ นางนิ่งงันไปพักใหญ่ ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า "เ้าฟังท่านย่าของเ้าเถอะ"
เมื่อทุกคนต่างพูดตรงกัน เฉียวเยว่ก็รับปากอย่างเชื่อฟัง
ส่วนเื่นั้นเมื่อมอบหมายให้ไท่ไท่ใหญ่จัดการผลก็เป็ไปตามคาด ใช้เวลาเพียงวันเดียวเื่เด็กในครรภ์ของหวังหรูเมิ่งมีปัญหาก็ถูกขุดคุ้ยออกมา ด้วยเหตุนี้ เรือนใหญ่จึงเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
แม้ตอนแรกเริ่มหวังหรูเมิ่งคิดจะให้ร้ายนาง แต่ยามนี้ เฉียวเยว่ก็ไม่เข้าไปกระทืบซ้ำ นางเป็ผู้เยาว์ ควรต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่
แต่สิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือซูต้าหลางกลับไม่โทษหวังหรูเมิ่ง ทั้งที่ทุกคนล้วนตำหนินาง หวังหรูเมิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นบอกว่าตนเอง้าเด็กคนนี้มากเพียงใด หากมิใช่ว่าถูกไท่ไท่ใหญ่วางยาั้แ่แรก ก็คงไม่กลายเป็เช่นนี้ นางรักษาบุตรไว้ไม่ได้ ทั้งเกรงว่าซูต้าหลางจะโทษนาง จึงได้ใช้แผนการเช่นนี้
แต่การแก้ต่างเช่นนี้ทำให้ซูต้าหลางเกิดความหวั่นไหวได้จริงๆ
เฉียวเยว่ฟังมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าน่าขัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เชื่อ ท่านลุงใหญ่หาใช่คนเขลา จะหลงเชื่อคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่ความเป็จริงก็เห็นกันอยู่
แม้ไท่ไท่รองจะถูกปล่อยออกมา แต่นางก็ไม่ญาติดีกับหวังหรูเมิ่งอีกต่อไป เฉียวเยว่รู้สึกยากจะบรรยาย
แต่เมื่อเื่กลายเป็เช่นนี้ไปแล้ว เฉียวเยว่ก็ได้แต่ปลงตก การแต่งงานเป็เื่ที่ต้องอาศัยทักษะความพยายาม แม้ว่าไท่ไท่รองจะดูเป็คนมักใหญ่ใฝ่สูงในสายตาผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เฉกเช่นครานี้ ซูเอ้อหลางไม่อยู่ั้แ่ต้นจนจบกระบวนการ หรงเยว่ก็จนหนทางที่จะตามบิดากลับมา เพราะเขาอ้างว่ามีงานหลวงเร่งด่วนต้องทำ กลับมาไม่ได้
หากมิใช่ว่าปัญหาคลี่คลายแล้ว เขาก็คงจะไม่กลับจวน เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าสตรีที่แต่งงานกับคนเช่นนี้จะเสียใจมากเพียงใด
อาจเป็เพราะเฉียวเยว่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเกินไป หลันหมัวมัวจึงแค่นเสียงพ่นออกทางจมูกแล้วกล่าวว่า "นายท่านรองพึงใจอยากแต่งกับไท่ไท่รองเสียที่ไหน แต่เพราะองค์หญิงไม่ชอบเขา ก็เลยเลือกคนตามอำเภอใจเท่านั้นเอง"
พอเฉียวเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่ง นางเบิกตากว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น "องค์หญิง? องค์หญิงพระองค์ไหน?"
หลันหมัวมัวรู้ว่าตนเองพลั้งปากไป ก็ไม่ยอมปริปากอีก
เฉียวเยว่ยังคงไม่เข้าใจนัก อันที่จริงองค์หญิงก็มีอยู่ไม่น้อย พระขนิษฐาของฝ่าา... นางกะพริบตาถี่ๆ แล้วถามว่า "คงไม่ใช่พระองค์ที่อภิเษกไปซีเหลียงหรอกกระมัง?"
น้ำเสียงดูไม่ค่อยอยากเชื่อนัก
หลันหมัวมัวเห็นนางเดาถูก ก็ไม่ปิดบัง "ก็พระองค์นั้นแหละเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ตกตะลึงมากทีเดียว เดิมทีได้ยินว่าสตรีผู้นี้เข้ามาพัวพันบิดาของตนเอง แต่ไม่นึกว่าจะมีท่านลุงรองของนางรวมอยู่ด้วย "คาดไม่ถึงเลยจริงๆ"
หลันหมัวมัวยิ้ม "มีอันใดต้องคาดไม่ถึงกันเล่า ตอนนั้นนายท่านใหญ่ก็มีใจให้นาง แต่เขาแต่งงานแล้ว องค์หญิงไม่มีทางมาเป็อนุภรรยา"
"ถึงภรรยาเอกก็เป็ไปไม่ได้ ราชวงศ์นี้ไม่อนุญาตให้ราชบุตรเขยเข้ารับราชการ ท่านลุงใหญ่้าความก้าวหน้า จะยินยอมได้อย่างไร" เฉียวเยว่พึมพำ
แต่แม้จะเป็เช่นนี้ เฉียวเยว่ก็ยังรำพึงอย่างอดไม่ได้
"ไม่นึกเลยว่าจะมีภาคสอง"
หลันหมัวมัวหัวเราะออกมา "ยามไท่ไท่ยังเป็สาวรุ่นก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับองค์หญิง แต่เพียงต่อมาก็เริ่มห่างเหินกันไป ตอนนั้นบ่าวก็เห็นว่าสตรีผู้นั้นหาใช่คนดีนัก"
เฉียวเยว่แลบลิ้น
"ยามนั้นองค์หญิงมีบุรุษมาหลงรักมากมาย แต่ถึงมีมากแล้วมีประโยชน์อันใด คนเราต้องยอมรับชะตากรรม"
เฉียวเยว่คิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าการที่ตนเองถูกลักพาตัวไปครานั้นต้องมีผู้อยู่เื้ั เพียงแต่คนผู้นี้เป็ใครก็บอกไม่ได้แล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็เพียงอนุในจวนคนหนึ่ง จะติดต่อกับพวกมู่หรงจิ่วได้อย่างไร
บัดนี้พอได้ยินว่าท่านลุงใหญ่และท่านลุงรองของนางต่างมี "พันธะทางใจ" กับองค์หญิง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสงสัย แม้ว่าการเคลือบแคลงคนในครอบครัวจะเป็สิ่งที่ไม่ดี แต่นางควบคุมความคิดฟุ้งซ่านของตนเองไม่ได้จริงๆ
แต่แม้จะนึกสงสัยอยู่ในใจ เฉียวเยว่ก็ไม่กล้ารนหาที่ตายเพียงเพราะข่าวลือเล็กน้อยเหล่านี้
ได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ ไม่ว่าเื่ราวจะเป็เช่นไร เวลาผ่านไปนานแล้วก็ต้องมีช่องโหว่หลุดออกมาบ้าง นางไม่จำเป็ต้องคิดมาก
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เฉียวเยว่ก็ได้ยินว่าแม่ทัพิ่เข้าเมืองหลวงมาแล้ว ข่าวสารของตนเองล่าช้าจริงๆ แต่ทุกคนดูเหมือนจะตื่นเต้นกัน เฉียวเยว่ออกจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง
พอเห็นเฉียวเยว่เหม่อลอย โม่หลันก็บ่นพึมพำ "ความฉลาดของเ้าเอาไปใช้แต่กับเื่เรียนหมด เ้าไม่รู้เลยหรือว่าทุกคนคิดกันอย่างไร?"
"คิดอย่างไร?" เฉียวเยว่งุนงง
พี่จื้อรุ่ยไม่ค่อยได้รับความนิยมชมชอบ จุดนี้เฉียวเยว่รู้มานานแล้ว เพราะฮูหยินแม่ทัพิ่เป็คนต่างเผ่าพันธุ์ พี่จื้อรุ่ยอยู่คนเดียวมาั้แ่เล็ก ทั้งโดดเดี่ยว และมีสหายน้อยมาก
ที่พอจะนับว่าเป็สหาย เห็นมีแต่เสด็จพี่รัชทายาทกับพวกนางสองพี่น้องเท่านั้น
แต่พอเห็นทุกคนเพิ่งมาตื่นเต้นเอาตอนนี้ เฉียวเยว่ย่อมจะไม่เข้าใจ
โม่หลันรู้สึกจนปัญญาจริงๆ นางจิ้มดวงหน้าน้อยของเฉียวเยว่ "ั้แ่เล็กจนโต เ้าไม่เคยััถึงความหล่อเหลาของคุณชายิ่บ้างเลยหรือ แท้จริงแล้วมีคนหลงรักเขามากมายเชียวนะ"
โม่หลันมีสีหน้าลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนเข้าไปกระซิบข้างหูของเฉียวเยว่ "เข้ารู้สึกว่าเมื่อก่อนหรงฉางเกอก็ชอบคุณชายิ่ แต่พักหลังดูเหมือนจะไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไรแล้ว"
เฉียวเยว่เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ก่อนถามให้แน่ชัดอีกครั้ง "นางชอบพี่จื้อรุ่ยหรือ?"
นางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองครานั้นก็ตระหนักได้ในฉับพลัน เอ้อ... ที่แท้เป็เพราะความริษยาเองหรือ?
"ตอนแรกดูเหมือนจะใช่ แต่หนึ่งปีมานี้ข้ากลับไม่รู้สึกอีกเลย" เด็กผู้หญิงอยู่ด้วยกันมักคุยเื่ที่ปรกติพูดไม่ได้ เฉียวเยว่อยากรู้อยากเห็น แต่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง โม่หลันจึงรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จเมื่อสนทนากับนาง
"เ้าไตร่ตรองดูดีๆ สกุลิ่มีภูมิหลังแบบไหน แม้ราชวงศ์นี้จะให้ความสำคัญกับวิชาความรู้มากกว่าการทหาร แต่สกุลิ่ก็ชื่อว่าเป็ตระกูลที่ปกปักรักษาแว่นแคว้นมาหลายชั่วอายุคน ทั้งยังเก่งกล้าสามารถ เหล่าคุณชายสุภาพเรียบร้อยแต่ไร้ประโยชน์ในเมืองหลวงเ่าั้เทียบได้ที่ไหน ขนาดองค์หญิงใหญ่ยังอยากแต่งเข้าสกุลิ่ นับประสาอันใดกับคนอื่นๆ เล่า? ใครบ้างไม่รู้ พ้นปีใหม่นี้ไปิ่จื้อรุ่ยก็อายุสิบแปดแล้ว อายุขนาดนั้นยังไม่มีกำหนดหมั้นหมาย แล้วจะรอไปถึงเมื่อไร ทุกคนต่างลือกันว่าแม่ทัพิ่กับฮูหยินสองสามีภรรยากลับมาเมืองหลวงเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มิเช่นนั้นจะกลับมาก่อนปีใหม่นานขนาดนี้ได้อย่างไร? ปรกติพวกเขามักจะมา่วันท้ายๆ เพียงไม่กี่วันก็กลับแล้ว"
โม่หลันมองเฉียวเยว่ั้แ่หัวจรดเท้าอย่างพินิจ "จะว่าไป พวกเ้าก็นับว่าเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ไม่รู้ว่าครานี้จะพิจารณาเ้าด้วยหรือเปล่า"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา แล้วกล่าวว่า "ล้อเล่นอะไรกันนี่ พวกเราสองคนจะเป็ไปได้อย่างไร พี่จื้อรุ่ยเป็เหมือนพี่ชายของข้า อีกอย่างข้าเพิ่งสิบสองเองนะ จะหมั้นหมายเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร บิดามารดาข้าไม่ยอมหรอก"
เฉียวเยว่หัวเราะจนเผยให้เห็นฟันทั้งปากประหนึ่งเด็กน้อยก็ไม่ปาน "พวกเขาทำใจให้ข้าแต่งออกไปไม่ลงหรอก"
โม่หลันทำปากยื่น "หมั้นหมายไว้ก่อน แต่งช้าหน่อยก็ได้นี่ อีกอย่างหากหมั้นหมายช้า คนดีๆ ก็ถูกเลือกไปหมดแล้ว"
นางเข้ามากระซิบข้างหูเฉียวเยว่ "บิดามารดาข้าก็เริ่มมองหาคนดีๆ ให้ข้าแล้ว"
เฉียวเยว่แบมือสองข้างอย่างไม่ยี่หระ "ข้าเองไม่อยากหมั้นหมายเร็วขนาดนั้น อย่างไรเสียก็ยังไม่เป็ผู้ใหญ่ หากคนที่เลือกไม่ดีจะทำเช่นไร อีกอย่างพี่สาวข้าก็ออกเรือนแล้ว ข้าต้องอยู่เป็เพื่อนบิดามารดาอีกสองปี หากคู่หมายไม่ยินดีรอเล่า ข้าคิดว่าถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็ไร"
โม่หลันรำพึง "ครอบครัวเ้าใจเย็นกันมากจริงๆ"
แต่เมื่อคิดดูดีๆ ก็รู้สึกว่าบิดามารดาของเฉียวเยว่ช่างดียิ่ง ไม่ว่าเื่ใดล้วนตามใจบุตรสาว หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า "แต่เ้าไม่ต้องรีบหรอก หากมีคนที่ชอบเ้าจริง ไม่ว่าเมื่อไรเขาย่อมรอได้ เ้าเป็ถึงน้องสาวของชายารัชทายาทเชียวนะ"
เฉียวเยว่หัวเราะอีกคราแต่ไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
"แม่ทัพิ่กลับมาครานี้เชิญพวกเราไปเป็แขก บิดามารดาข้ารับปากและจะให้ข้าไปด้วย แท้จริงแล้วพวกเขาก็คาดหวังให้ข้าแต่งเข้าสกุลิ่ เ้าก็รู้ ตระกูลเราก็เป็ทหาร บิดาข้าเลื่อมใสแม่ทัพิ่อย่างยิ่ง"
โม่หลันพูดไปเรื่อยๆ แต่กลางหว่างคิ้วดูไม่มีความสุขนัก
เฉียวเยว่พิจารณาสีหน้าของนางแล้ว ก็ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เ้า... ไม่ยินดีหรือ?"
โม่หลันแกว่งผ้าเช็ดหน้าไปมา "ก็มิใช่ไม่ยินดี เพียงแต่รู้สึกตะขิดตะขวงแปลกๆ หากต้องแต่งงานกับเขา"
เฉียวเยว่รู้จักกับโม่หลันมาสองสามปี นับว่าเข้าใจนางพอสมควร นางไม่เคยนึกมาก่อนว่าโม่หลันจะสามารถเกี่ยวดองกับจื้อรุ่ยถึงขั้นอยู่ด้วยกัน พูดตามตรง นางรู้สึกว่าพวกเขาไม่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง อุปนิสัยของโม่หลันคู่ควรกับบุรุษที่มีความสดใสดุจดวงตะวันมากกว่า
แต่มิได้หมายความว่าพี่จื้อรุ่ยของนางจะไม่เจิดจรัสดั่งตะวันทอแสง เพียงแต่เขาพูดน้อยเกินไป โม่หลันไม่น่าจะรับได้ แต่เวลานี้เฉียวเยว่ไม่กล้าพูดส่งเดช เื่ของภายภาคหน้าไม่อาจซี้ซั้วพูด เพราะหากเป็จริงขึ้นมา คำพูดของนางวันนี้ก็จะกลายเป็ความกระอักกระอ่วนทันที
มือน้อยๆ ของเฉียวเยว่กุมมือของโม่หลันไว้ "เื่ยังไม่เกิด เ้าจะคิดล่วงหน้าไปไยเล่า"
โม่หลันมานึกดูก็จริงดังว่า นางหัวเราะออกมา "พูดมาก็จริง ผู้อื่นอาจจะไม่มองข้าก็ได้"
โม่หลันมองเฉียวเยว่อีกครั้ง เห็นนางยิ้มจนดวงตาโค้งเป็รูปจันทร์เสี้ยว น่ารักเป็พิเศษ
ไม่รู้เพราะเหตุใดนางมักรู้สึกว่าิ่จื้อรุ่ยปฏิบัติต่อเฉียวเยว่พิเศษกว่าคนอื่นๆ หากถามว่าใครที่น่าจะเป็ไปได้ที่สุด ก็ย่อมจะเป็เฉียวเยว่ แต่เื่ราวกลับไม่เป็เช่นนี้ ดูแล้ว เฉียวเยว่ไม่มีความคิดนี้แม้แต่น้อย
นึกแล้วก็รู้สึกเสียดายแทน
"เ้าไม่ชอบพี่จื้อรุ่ยบ้างเลยหรือ?" นางถาม
เฉียวเยว่อมยิ้ม "ไม่ชอบที่ไหน เป็ไปไม่ได้ พวกเราเป็เหมือนพี่น้องกันเลยเชียวนะ"
เฉียวเยว่ตบๆ บ่าของโม่หลัน "สนิทกันเหมือนพี่น้อง ไม่มีทางเป็อย่างอื่น อีกอย่างพี่จื้อรุ่ยก็เห็นข้าเหมือนน้องสาวแท้ๆ แต่เ้าบอกว่าราชบุตรเขยของราชวงศ์นี้ไม่อาจเป็ขุนนาง แล้วเหตุใดแม่ทัพผู้เฒ่าิ่ถึงเป็ข้อยกเว้นเล่า?"
เฉียวเยว่เพิ่งนึกถึงจุดนี้ได้
ท่านย่าของจื้อรุ่ยเป็ถึงจ่างกงจู่ [1] เชียวนะ
โม่หลันหัวเราะพรืดออกมา "ถึงว่าเ้าไม่เคยรู้อะไรสักอย่าง ตอนนั้นจ่างกงจู่ทรงสละฐานันดรศักดิ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว หากไปดูในบันทึกการสืบลำดับเชื้อสายของราชวงศ์ พระนางเป็เพียงธิดาของรุ่ยชินอ๋อง
เฉียวเยว่จุปาก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก "เพื่อแต่งงานกับแม่ทัพิ่ ถึงขั้นยอมตัดขาดจากบิดามารดาของตนเองเลยหรือ?"
จุดนี้นางมิอาจเข้าใจได้
โม่หลันพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง "ดังนั้นจ่างกงจู่ถึงเป็ที่รักของทุกคน พระนางมีความรักต่อแม่ทัพผู้เฒ่าิ่อย่างลึกซึ้ง กลายเป็ตำนานเล่าขานสืบต่อมารุ่นสู่รุ่น แต่น่าเสียดาย... แม่ทัพผู้เฒ่าิ่จากไปเร็วเกินไป ชีวิตคนเรามักมีหลายอย่างที่ไม่อาจได้สมดังใจ"
"ข้าก็หวังเป็อย่างยิ่งว่าจะมีใครสักคนที่รักข้าโดยไม่มีข้อแม้เหมือนกัน" เฉียวเยว่เงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยเสียงเบา "แต่ในใจข้า บิดามารดา และคนในครอบครัวสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด"
ชาติก่อนนางเป็ลูกกำพร้า ดังนั้นสิ่งที่นางหวงแหนที่สุดก็คือครอบครัวของตนเอง
"แต่ข้าก็จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองจะรักใครสักคนได้โดยไม่มีข้อแม้"
โม่หลันหน้าแดง "รักไม่รักอะไรกัน"
เฉียวเยว่แลบลิ้น "นี่เ้าเป็คนเริ่มหัวข้อนี้เองนะ"
โม่หลัน "แต่ข้ามิได้เอ่ยว่ารักสักหน่อยนี่ ถึงแม้ว่า... ถึงแม้ว่าข้าจะหมายความว่าอย่างนั้นก็เถอะ"
เฉียวเยว่ขำพรืด "เ้านี่มันปลอมมาก"
ทั้งสองยืนคุยกันอยู่ภายในสำนักศึกษา ดวงหน้าต้องความเย็นจนแดงก่ำ แต่ขณะที่พวกนางคุยกันอย่างครึกครื้นสนุกสนาน กลับมิได้สังเกตว่าหรงจ้านอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น...
...
[1] จ่างกงจู่ เป็บรรดาศักดิ์สูงสุดของเชื้อพระวงศ์หญิง โดยมากมักเป็พระปิตุจฉาหรือพระขนิษฐภคินีของฮ่องเต้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้