“ลำบากเ้าแล้ว” ในดวงตาของเจียงชิงอวิ๋นเจือไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ไม่มีใครกระจ่างแจ้งไปกว่าเขาแล้วว่า การที่ต้องขายทรัพย์สินของบ้านออกไปในสถานการณ์เช่นนั้นเป็เื่ยากลำบากเพียงใด หากมิใช่เพราะลุงโจวมีความสามารถ หากมิใช่เพราะเยี่ยนอ๋องโจวปิงส่งองครักษ์มาคุ้มครอง ทรัพย์สินของตระกูลเจียงคงถูกคนเ่าั้แย่งชิงไปนานแล้ว กระทั่งเหรียญทองแดงก็คงไม่หลงเหลือมาถึงเขา
ลุงโจวรายงานตัวเลขด้วยน้ำเสียงแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน จากนั้นจึงคุกเข่าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “บ่าวไร้ความสามารถ บ่าวผิดไปแล้วขอรับ”
“ข้าเป็คนเขียนจดหมายบอกให้เ้านำไปขายเอง คิดว่าอย่างมากก็คงขายได้หลายหมื่นตำลึง ไม่นึกว่าเ้าจะขายได้มากเพียงนี้ เ้าทำได้ดีแล้ว จะมีความผิดได้อย่างไร” เจียงชิงอวิ๋นรีบใช้สองมือประคองลุงโจวแล้วบอกให้เขานั่งลงคุยกัน
“โชคดีที่มีแม่ทัพเติ้ง มิเช่นนั้นชีวิตของบ่าวคงจบสิ้นอยู่ภายใต้คมดาบของพวกโจรแล้ว ชีวิตต่ำต้อยของบ่าวหากจะตายก็แล้วไปเถิด แต่หากเงินของตระกูลตกไปอยู่ในมือของพวกโจร บ่าวคงผิดต่อตระกูลเป็อย่างยิ่ง แม้ตายอีกเก้าครั้งก็มิอาจชดใช้ความผิดนี้ได้” ลุงโจวรู้สึกะเืใจจนน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
ในใจเจียงชิงอวิ๋นรับรู้ถึงบุญคุณของเยี่ยนอ๋องแล้ว ทั้งยังรู้สึกขอบคุณแม่ทัพเติ้งอีกด้วย เขากล่าวขึ้นว่า “นอกจากนี้ข้ายังให้เ้าไปทำอีกเื่หนึ่งด้วย ข้าบอกให้เ้านำที่ดินไปบริจาคให้จวนขุนนางท้องที่เพื่อใช้เป็ทุนในการช่วยเหลือบัณฑิตให้ได้เรียนหนังสือ เ้าส่งจดหมายมาว่าทำแล้ว เ้าทำได้ดียิ่ง”
ได้ยินดังนั้นลุงโจวก็ย้อนนึกไปถึงเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่ตนได้อ่านจดหมายของเจียงชิงอวิ๋นว่าให้นำที่ดินไปบริจาค เขารู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ ต่อมาตอนที่ตนนำร้านค้าไปขายจึงค่อยทราบว่าตระกูลเจียงเจอภัยมนุษย์เข้าแล้ว จึงค่อยเข้าใจเจตนาที่้านำที่ดินไปบริจาค ตอนนั้นจึงรู้สึกนับถือเจียงชิงอวิ๋นเป็อย่างยิ่ง
เจียงชิงอวิ๋นเห็นลุงโจวเหม่อลอย จึงพูดขึ้นว่า “ลุงโจว เ้าเหนื่อยแล้ว ไปกินข้าวแล้วพักผ่อนเถิด”
“คุณชาย บ่าวมีเื่ใหญ่อีกเื่หนึ่ง้ารายงาน คุณชายโปรดโน้มตัวมาฟังบ่าวด้วยเถิด” ลุงโจวคุกเข่าลงบนพื้นท่าทางเคร่งขรึมจริงจังหาใดเปรียบ มือทั้งสองจับอยู่ที่ชายแขนเสื้อของเจียงชิงอวิ๋น
เจียงชิงอวิ๋นนั่งลงบนเก้าอี้ โน้มตัวไปด้านหน้าแล้วก้มลงเล็กน้อย เอียงหูเข้าใกล้ริมฝีปากของลุงโจว ได้ยินอีกฝ่ายพูดหลายประโยค เสียงเบาราวกับยุงบิน
ลุงโจวกล่าวพลางสังเกตสีหน้าของเจียงชิงอวิ๋น พบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีความรู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย นี่เป็เพราะเหตุใดกัน?
“ไม่ปิดบังเ้าแล้ว ก่อนข้าออกจากสู่ตี้ก็ทราบเื่นี้จากญาติผู้พี่แล้ว” เจียงชิงอวิ๋นยื่นมือออกไป ชี้ไปที่หลังคา “หากไม่ใช่เพราะเื่นี้ หากไม่ใช่เพราะเบื้องบนบีบคั้น ข้าคงไม่หนีจากสู่ตี้มาหาท่านน้าที่เมืองเยี่ยน มาประจบประแจงญาติผู้พี่เช่นนี้ และคงไม่ให้เ้านำทรัพย์สินไปขายทั้งยังต้องบริจาคที่ดินออกไปด้วย”
ลุงโจวรู้สึกหนักอึ้งหาใดเปรียบ ที่แท้คุณชายก็รู้มานานแล้ว เมื่อคิดว่าคุณชายต้องแบกรับความกดดันมากมายเพียงนี้ก็อดพึมพำออกมาไม่ได้ “คุณชาย… ท่านได้รับความลำบากแล้ว”
“โชคดีที่ข้ายังมีชีวิตอยู่และพวกเ้าก็กลับมาอยู่ข้างกายข้าได้อย่างปลอดภัย ขอเพียงพวกเราใช้ชีวิตอยู่ไปดีๆ ทุกอย่างย่อมผ่านไปได้” เจียงชิงอวิ๋นใช้มือทั้งสองประคองลุงโจวให้ลุกขึ้นอีกครั้ง เขาในตอนนี้มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ลุงโจวจ้องมองเจียงชิงอวิ๋นที่ยังไม่สวมกวาน กล่าวเน้นแต่ละคำว่า “ท่านมีวาสนาสูงและชะตาแข็ง จะต้องทำให้ตระกูลรุ่งเรืองได้แน่”
เจียงชิงอวิ๋นเงียบงันไม่กล่าววาจา
นางหลิวรอนานแล้วไม่เห็นลุงโจวเดินมาจึงกินข้าวไปก่อน จากนั้นก็ไปอาบน้ำ ขึ้นไปรอเขาที่ห้อง หลายปีมานี้พวกเขาสามีภรรยาทำสิ่งที่ตนเองคิดว่าสบายใจก็พอแล้ว ไม่จำเป็ต้องเกรงอกเกรงใจกันเพียงนั้น
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ลุงโจวจึงจะกลับมาที่ห้อง ในห้องจุดเทียนสองเล่ม เขามองไปรอบด้านก็ยังไม่พบกระถางไฟ หลายวันมานี้ภรรยาเหนื่อยแทบตาย โดยเฉพาะใน่ที่เขาเจ็บป่วย ภรรยาทั้งเหนื่อยและร้อนใจจนผอมลงไปหลายชั่ง คราวนี้ได้พบเจียงชิงอวิ๋นที่คิดถึงมาโดยตลอดจึงค่อยสงบใจลงได้ ไม่ต้องรอให้เขากลับถึงห้องนางก็นอนหลับไปแล้ว ทั้งยังกรนออกมาอีกด้วย เขาอยากรู้จริงๆ น้ำด้านนอกเย็นมาก ในห้องก็ไม่มีกระถางไฟ แต่เหตุใดจึงอบอุ่นเพียงนี้!?
ลุงโจวคิดใคร่ครวญจนกระทั่งทนไม่ไหว จึงเดินออกไปหาองครักษ์ที่เดินตรวจตราอยู่ที่ลานบ้าน “ข้าอยากถามพวกเ้าสักหน่อย ในห้องไม่มีกระถางไฟ เหตุใดจึงอบอุ่นเพียงนั้นได้”
องครักษ์ทั้งสองรู้จักลุงโจวดี อธิบายไปด้วยน้ำเสียงเป็กันเองว่า “เตียงเตา”
“เตียงเตา!?” ลุงโจวใ หากไฟไหม้จะทำอย่างไร
“ก่อนเข้าฤดูหนาว นายอำเภอฉางผิงส่งคนมาจัดการเื่เตียงเตาให้ที่จวนของพวกเรา ทุกห้องจะมีปล่องควันอยู่ ไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือฟ้ามืดล้วนอบอุ่นโดยไม่ต้องจุดกระถางไฟแล้ว”
ลุงโจวถามไปอีกหลายประโยคทั้งยังเดินไปดูจุดตั้งต้นของเตียงเตาและปล่องควันในห้องครัว สุดท้ายจึงค่อยกลับไปอย่างวางใจ
นางหลิวตื่นขึ้นมาถามด้วยเสียงที่เบากว่ายามปกติคล้ายกำลังละเมอ “ตาแก่ เ้าเพิ่งเข้ามาในห้องก็ออกไปแล้ว ไปทำอะไร”
ลุงโจวกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ยายแก่ เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้านอนอยู่บนเตียงเตาไม่ใช่เตียงธรรมดา”
“รู้นานแล้ว” นางหลิวพลิกตัวโดยไม่ลืมตา จากนั้นก็กรนออกมาอีกครั้ง
ลุงโจวนอนลงบนเตียงเตาอันอบอุ่นที่ปูด้วยผ้าปูเตียงที่ทำจากผ้าไหมชั้นยอด เพียงไม่นานก็หลับไป
วันต่อมา นางหลิวตื่นแต่เช้า เมื่ออายุเท่านางจะนอนหลับน้อยลง อีกทั้งยังมีเื่ในใจจึงยิ่งตื่นเช้า
เมื่อวานนางทราบจากลุงโจวแล้วว่า ต่อไปนางจะต้องเป็คนดูแลเื่งานครัว นางจะให้คนครัวทำอาหารอร่อยๆ ให้เจียงชิงอวิ๋นคุณชายคนดีของนางกินจนอ้วนท้วนให้ได้
คนครัวชี้ไปที่น้ำสีขาวที่กำลังต้มอยู่ในหม้อ อธิบายว่า “นี่คือน้ำเต้าหู้ที่พวกเราซื้อมาจากอำเภอฉางผิง จะใส่น้ำตาลหรือไม่ใส่ก็ได้ นายท่านจะดื่มทุกเช้าวันละหนึ่งถ้วยใหญ่”
นางหลิวไม่เคยได้ยินเื่น้ำเต้าหู้มาก่อนและไม่เคยดื่มด้วย นางลองดมดูแล้วก็ได้กลิ่นของถั่วจางๆ “น้ำเต้าหู้ทำจากอะไร”
“ได้ยินว่าทำมาจากการเอาถั่วเหลืองไปโม่” คนครัวเห็นน้ำเต้าหู้ต้มจนได้ที่แล้วจึงตักให้นางหลิวครึ่งถ้วย ให้นางลองชิมดู
“ใส่น้ำตาลด้วย” นางหลิวชอบกินหวานจึงให้คนครัวใส่น้ำตาลลงไปในน้ำเต้าหู้ถึงสองช้อนใหญ่ เมื่อดื่มน้ำเต้าหู้ร้อนรสหวานกลิ่นหอมเข้มข้นไปแล้วร่างกายก็มีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย รู้สึกรูขุมขนเปิดกว้าง สบายตัวยิ่งนัก “น้ำเต้าหู้เป็ของดี มิน่าเล่าคุณชายจึงชอบกิน”
“หากเ้าชอบกินน้ำเต้าหู้จะต้องชอบกินเต้าหู้ตระกูลหลี่ด้วยแน่นอน” คนครัวอธิบายต่อไป “นายท่านก็ชอบกินเต้าหู้ตระกูลหลี่ กินทุกวันเลยเชียว”
“คุณชายยังอายุน้อย ต่อไปเ้าและพวกเ้าห้ามเรียกเขาว่านายท่านอีก ต้องเรียกว่าคุณชาย” นางหลิวมองไปยังคนครัวทั้งหลาย
ชายหนุ่มหน้ายาวคนหนึ่งที่คอยทำงานเบ็ดเตล็ดในห้องครัวรวบรวมความกล้ากล่าวขึ้นว่า “นางหลิว ข้ามีเื่อยากพูด”
นางหลิวยิ้ม “มีเื่จะพูดก็พูด”
ชายหนุ่มหน้ายาวกล่าวว่า “หากต่อไปพวกเราเรียกเ้านายว่าคุณชาย คนนอกจวนจะคิดว่าเหนือคุณชายยังมีนายท่านและฮูหยิน…”
เ้านายของทุกจวนล้วนมีผู้ใหญ่และผู้น้อย ผู้ใหญ่เรียกนายท่านและฮูหยิน ผู้น้อยเรียกคุณชายและฮูหยินน้อย
แต่ที่จวนเจียงไม่เหมือนกัน เพราะมีเพียงเจียงชิงอวิ๋นผู้เดียว หากเรียกว่าคุณชาย คนนอกที่ไม่รู้เื่จะคิดว่าบิดามารดาของเจียงชิงอวิ๋นยังอยู่
นางหลิวชะงักไป นางไม่เคยนึกถึงเื่นี้มาก่อน หากมีคนถามเื่นี้กับเจียงชิงอวิ๋นจนทำให้เจียงชิงอวิ๋นคิดถึงบิดามารดาที่จากไปแล้วคงไม่ดีแน่ ทุกคนมองไปทางนางหลิว เห็นนางยิ้มรับ ทว่าใบหน้าทุกข์ตรม ดวงตาแดงระเรื่อคล้ายจะร้องไห้ พวกเขาจึงรีบก้มหน้าไม่มองนางอีก
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้