ลั่วิจูได้ยินเช่นนี้ก็วางใจ ยอมปล่อยมือจากโม่เสวี่ยถง คลี่ริมฝีปากยิ้มอย่างตื่นเต้น นางรู้ว่าคำพูดของโม่เสวี่ยถงเกลี้ยกล่อมให้ท่านย่าเปิดโอกาสให้นางได้เห็นเขาสักครั้ง
“เหล่าไท่จวิน เทียบยาฉบับนี้แม้จะไม่ใช่ยาแรง แต่ก็มีอาหารบางอย่างที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะอาหารบางชนิดอาจต้านกับฤทธิ์ยา สมควรหลีกเลี่ยงจะดีที่สุด ข้าเขียนรายการอาหารต้องห้ามเอาไว้แล้ว เชิญเหล่าไท่จวินโปรดรับไว้”
ไป๋อี้เฮ่าหันกายมากล่าวกับเหล่าไท่จวินด้วยรอยยิ้ม แล้วหยิบกระดาษที่น้ำหมึกแห้งดีแล้ววางไว้ด้านข้าง น้ำเสียงของเขาใสกังวานประดุจท่วงทำนองของสายธารแห่งวสันตฤดู
“ขอบคุณคุณชายไป๋เป็อย่างมาก วันนี้รบกวนมากมายจริงๆ ไม่ทราบว่าคุณชายจะช่วยตรวจวินิจฉัยให้หลานสาวของข้าอีกสักคนได้หรือไม่ นางร่างกายอ่อนแอมาั้แ่เล็ก เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ กินยามาหลายขนานก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้น” เหล่าไท่จวินมองโม่เสวี่ยถงที่เดินมาจากหลังฉากกั้นด้วยความวิตกกังวล แล้วฉวยมือเรียวเล็กขาวผุดผ่องของนางขึ้นมากุมไว้ พลางเอ่ยกับไป๋อี้เฮ่าด้วยรอยยิ้ม
ครานี้ไป๋อี้เฮ่าจึงเหลือบตามองมายังหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง ความงดงามผุดผาดที่ดูเป็ธรรมชาติมิได้ถูกลดทอนลงด้วยอาภรณ์เก่าสีจืดชืดที่นางสวมอยู่แม้แต่น้อย กลับดูพริ้มเพราราวกับดอกฝูหรงที่พร่างพราวไปด้วยหยาดน้ำ มีเสน่ห์งดงามราวกับประติมากรรมแห่งธรรมชาติ แพขนตายาวกะพริบน้อยๆ ประกายหยาดน้ำระยิบระยับในดวงตาที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น มิได้มีความเอียงอายอยู่เลย
ร่างกายผอมบางที่ยังไม่เติบโตดูราวกับดอกบัวที่ท้าแรงลม แม้จะดูอ่อนแอแต่กลับทรหดอดทน ใบหน้าเล็กจ้อยขาวผุดผาดราวกับเนื้อหยก สีหน้าที่มองเขาก็เป็ความชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่กลับแฝงไปด้วยความเ็าห่างเหินอยู่รางๆ ั้แ่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยมีสตรีใดมองเขาด้วยสายตาเหมือนอย่างที่นางมองเขา เป็ความชมชื่นที่ไม่มีความรู้สึกของชายหญิงมาเกี่ยวข้องอย่างแท้จริงดังที่นางกล่าวไว้
“โปรดยื่นมือออกมาด้วย” ไป๋อี้เฮ่าคลี่ยิ้ม หมุนกายมาหาโม่เสวี่ยถงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน
โม่เสวี่ยถงยอบกายคารวะ ก้าวถอยไปนั่งแทนตำแหน่งที่เหล่าไท่จวินเพิ่งลุกออกไป แล้วยื่นมือเรียวเล็กขาวผุดผาดวางไว้บนโต๊ะ ไป๋อวี้เฮ่ายื่นมือออกไป ก้มศีรษะลงััจังหวะชีพจรของนางอย่างละเอียด หัวคิ้วมุ่นขมวดเล็กน้อย ที่แท้ชายหนุ่มผู้งดงามหล่อเหลา เพียงก้มหน้าลงต่อให้มองเป็หมื่นครั้งก็ยังไม่รู้สึกเบื่อ กลิ่นอายที่บริสุทธิ์ผุดผ่องให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้นางไม่อยากเชื่อว่า ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้อีกหลายปีถัดไปจะกลายเป็จักรพรรดิผู้เหี้ยมโหดที่สังหารคนไม่เว้น จนฉลองพระองค์อาบย้อมไปด้วยโลหิต
“มักจะรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่กลางคืนนอนไม่หลับ มีอาการปวดศีรษะเป็ครั้งคราว เวลาที่ร่างกายรู้สึกไม่สบาย แม้แต่อาหารอ่อนๆ ก็ยังรู้สึกพะอืดพะอมกลืนไม่ลงใช่หรือไม่” ทันใดนั้นน้ำเสียงทุ้มนุ่มราวกับเสียงน้ำพุทอดผ่านเข้าสู่ใบหู นางสะดุ้งเฮือก ช้อนตาขึ้นเห็นดวงตาคู่งามของเขากำลังจ้องมองตนเองอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากทอยิ้มละมุน หัวใจพลันสะดุดวูบ สองแก้มแดงซ่าน ความรู้สึกเหมือนคนผิดที่ถูกจับได้ นางเกิดร้อนตัวรีบเบือนหน้าหนี หลบเร้นจากสายตาของชายหนุ่มที่จ้องมองด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะลึกซึ้งและอ่อนโยน
“ใช่” นางก้มหน้าลงต่ำ ปกปิดความตื่นตระหนกในก้นบึ้งของดวงตา เมื่อครู่นี้ นางรู้สึกเหมือนว่าคนผู้นั้นมองทะลุผ่านเข้าไปจนเห็นความลับของนางเยี่ยงนั้น ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจถูกคนผ่านมาพบเข้า ทำให้นางเกิดความหวาดระแวงขึ้นอย่างฉับพลัน ไป๋อี้เฮ่าผู้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นจะเป็คนธรรมดาได้อย่างไร!
การกลับมาเกิดใหม่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ของนาง และเป็หลักยึดที่สำคัญที่สุด นางไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าจะมีใครมองถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง แต่เมื่อครู่กลับรู้สึกเหมือนถูกเขามองลึกเข้าไปถึงความรู้สึกนึกคิด ความกังวลอย่างน่าประหลาดทำให้นางไม่กล้าสบสายตาที่ดูเหมือนจะมีหลากหลายอารมณ์คู่นั้น นางรู้ว่าคนผู้นี้จะต้องมิได้เป็คนอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนดั่งท่าทางที่แสดงออกมาให้เห็นเป็แน่
มือของนางถูกวางลงอย่างนุ่มนวล ไป๋อี้เฮ่าหมุนตัวไปที่หน้าโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอย่างรวดเร็ว นางก็ได้เทียบยาฉบับหนึ่งและข้อพึงระวังอีกฉบับหนึ่งเหมือนกับเหล่าไท่จวิน
“ขอบคุณมากเ้าค่ะ คุณชายไป๋” หลังจากสั่งให้โม่อวี้เข้าไปรับเทียบยามาแล้ว โม่เสวี่ยถงก็กล่าวขอบคุณอย่างนุ่มนวลมีมารยาท ดวงตาพราวระยับประหนึ่งสายน้ำแห่งวสันตฤดูช้อนขึ้นมองเผยให้เห็นเสน่ห์ที่งดงามเป็ธรรมชาติ ก็เห็นไป๋อี้เฮ่ากลับมาสงบนิ่งดังเดิมแล้ว นางไม่เชื่อว่าเขาจะมองตนเองออก ต่อให้ไป๋อี้เฮ่าจะเก่งกล้าเหนือผู้ใดก็ไม่อาจเป็ไปได้
ไป๋อี้เฮ่าอำลากลับและเดินตามหลังลั่วเหวินโย่วออกไปพร้อมกัน
“น้องหญิงถง เขาหล่อมากจริงๆ ด้วย ข้าได้เห็นคุณชายผู้เป็เลิศอันดับหนึ่งในปฐีด้วยตาตนเองจริงๆ แล้ว” รอจนกระทั่งไป๋อี้เฮ่าและลั่วเหวินโย่วจากไปแล้ว ลั่วิจูจึงค่อยๆ ได้สติคืนมาจากอาการเหม่อลอย นางจับมือของโม่เสวี่ยถงอย่างตื่นเต้นจนแทบะโตัวลอย ไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะสามารถเข้าไปยืนใกล้ชิดคนพิเศษแบบนั้นได้ ใกล้จนถึงขนาดมองเห็นขนตายาวๆ ของเขา กับดวงตาที่งดงามโดดเด่นคู่นั้น
“ใช่แล้วเ้าค่ะ พี่หญิงรองได้พบเขาแล้ว นั่งลงก่อนเถิด ดูสิท่านยายหัวเราะใหญ่แล้ว พี่หญิงเป็ถึงคุณหนูของจวนฝู่กั๋วกงเชียวนะเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงพูดทีเล่นทีจริงด้วยรอยยิ้ม พลางดึงนางให้ลงมานั่งด้วยกันที่ด้านข้างเหล่าไท่จวิน
“น้องหญิงถงไม่ตื่นเต้นเลยหรือ” คำกล่าวของนางทำให้ลั่วิจูได้สติคืนมา จ้องโม่เสวี่ยถงอย่างไม่อยากเชื่อ ราวกับเห็นนางเป็ครั้งแรก
“แล้วทำไมต้องตื่นเต้นด้วยเล่า” ดวงตาใสแจ๋วของโม่เสวี่ยถงกลิ้งไปรอบหนึ่ง ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“นั่นคือคุณชายไป๋ที่ได้ชื่อว่าคุณชายอันดับหนึ่งเชียวนะ ทั่วทั้งต้าฉินก็มีเพียงเขาผู้นี้ที่กล่าวได้ว่าเป็บุคคลที่โดดเด่นล้ำเลิศที่สุด นอกเหนือจากองค์ชายแปดที่ได้ยินว่าเพิ่งปรากฏตัวออกมาไม่นาน ก็นับว่าเขาเป็ชายงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า น้องหญิงถงเห็นแล้วจะไม่มีความรู้สึกอะไรเลยได้อย่างไรเล่า” ลั่วิจูมีท่าทางตื่นเต้นยิ่งกว่านางเสียอีก หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากถามอย่างตกตะลึง ราวกับว่าที่นางไม่รู้สึกตื่นเต้นเป็ความผิดบาปร้ายแรงเช่นนั้น
“เ้าเด็กคนนี้!” เหล่าไท่จวินเห็นโม่เสวี่ยถงมีท่าทางสงบนิ่ง ก็พยักหน้าอยู่เงียบๆ แล้วเอื้อมมือไปเคาะที่มือของลั่วิจูทีหนึ่ง ก่อนกล่าวตำหนิอย่างเอ็นดูรักใคร่ “เมื่อรู้ว่าเขาเป็บุคคลที่เหมือนดังเทพบุตร น้องสาวของเ้าย่อมจะวางตัวเหมือนเทพธิดา การชื่นชมย่อมมี แต่กลับไม่แสดงความรู้สึกออกมา ส่วนเ้าน่ะ จงเรียนรู้จากน้องสาวให้ดีๆ เถิด มีตรงไหนที่คนเป็พี่สาวเขาทำอย่างนี้กันบ้าง”
ลั่วิจูเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของเหล่าไท่จวิน ทั้งเป็หลานสาวเพียงคนเดียว ย่อมเป็ที่รักยิ่งดั่งแก้วตาดวงใจ ปรกติก็ไม่ค่อยถูกดุ ยามนี้จึงก้มหน้าน้ำตาคลอมองเหล่าไท่จวินพลางกล่าวอย่างน้อยใจ “ท่านย่ามีหลานสาวที่เฉลียวฉลาดอย่างน้องหญิง จึงไม่้าหลานสาวโง่งมอย่างข้าอีกแล้ว”
กล่าวจบ ริมฝีปากน้อยๆ ก็มุ่ยยื่นออกมาด้วยท่าทางเสียใจ
โม่เสวี่ยถงคลี่ยิ้มยื่นมือมาลูบหน้าผากให้ สำหรับพี่สาวลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ ตนเองมีความรู้สึกที่ดีด้วย ธรรมชาติของนางเป็คนน่ารัก แต่เป็คนตรงไปตรงมา พูดจาเหมือนขวานผ่าซาก เหล่าไท่จวินเห็นหลานสาวทั้งสองคนเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน ก็ปลื้มใจจนยิ้มไม่หุบ
หลังมื้ออาหาร โม่เสวี่ยถงคุยกับเหล่าไท่จวินเื่มามาผู้อบรมสั่งสอน เหล่าไท่จวินตกปากรับคำ อีกสองสามวันให้โม่เสวี่ยถงย้ายมาอยู่กับสกุลลั่วชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทางหนึ่งเพื่อรับการอบรมสั่งสอนคุณธรรมจริยธรรมและกฎระเบียบต่างๆ อีกทางหนึ่งเพื่อแนะนำให้นางรู้จักตระกูลสูงศักดิ์ต่างๆ เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ก็จำเป็ต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำทุกฝีก้าว เพื่อมิให้กลายเป็ที่ขบขันในสายตาผู้อื่น
ต่อมาอีกครู่หนึ่งเหล่าไท่จวินรู้สึกอ่อนเพลีย ้านอนกลางวัน ลั่วิจูถูกมารดาเรียกไปพบ โม่เสวี่ยถงจึงทิ้งโม่อวี้ไว้อยู่ปรนนิบัติเหล่าไท่จวิน ส่วนตนเองก็พาโม่เหอเดินลัดผ่านทางสายเล็กไปยังสวนดอกไม้ สวนบ้านสกุลลั่วไม่ใช่สถานที่แปลกถิ่นสำหรับนาง เมื่อชาติภพก่อนนางเคยมาเดินเล่นอยู่หลายครา
นางเดินตามทางแคบคดเคี้ยวไปยังสระบัวที่มีศาลากลางน้ำสร้างไว้หลังหนึ่ง ย่ำปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ใบบัวล้วนเหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว เหลือเพียงกิ่งไม้เน่าเปื่อยที่ทิ้งลำต้นไว้ในสระน้ำใสแจ๋ว สายลมแห่งสารทฤดูพัดโชยมา ทำให้นางหนาวสะท้านโดยไม่รู้สึกตัว
โม่เหอเห็นเ้านายของตนตัวสั่นระริกก็รีบเดินเข้ามาหา “คุณหนูสวมเสื้อผ้าบางไปหน่อย บ่าวจะไปหยิบเสื้อคลุมที่เหล่าไท่จวินมอบให้เมื่อครู่มาสวมให้นะเ้าคะ มิเช่นนั้นอาจต้องลมหนาวไม่สบายได้”
โม่เสวี่ยถงพยักหน้า ทอดมองไปยังศาลากลางน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลหลังนั้น สีตาเข้มลึกขึ้นหลายส่วน
“คุณหนูคอยบ่าวตรงนี้นะเ้าคะ อย่าเดินไปไกลนัก บ่าวจะรีบไปรีบกลับเ้าค่ะ” โม่เหอหันไปมองศาลากลางน้ำหลังนั้น ก็กล่าวกำชับเสียงต่ำก่อนหมุนตัวผละจากไปอย่างเร่งรีบ
โม่เสวี่ยถงย่างเท้าเหยียบลงไปบนระเบียงไม้ที่ทอดไปสู่ศาลากลางน้ำอย่างนุ่มนวล ได้ยินเสียงลมปัดผ่านใบหู อาภรณ์สีขาวของนางพลิ้วสะบัดอยู่กลางสายลม ความรู้สึกเศร้าสลดเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจ ก้มศีรษะลงสดับเสียงเท้าแต่ละก้าวย่างของตนเองกับเสียงลมกระพือพัด รู้สึกคล้ายได้ย้อนกลับไปในห้วงอารมณ์ในอดีต ริมฝีปากคลี่ยิ้มขื่นขม นางเป็ิญญาที่กลับมาเกิดใหม่ ยามได้ยินเสียงลมไหวใบไม้ร่วง ก็นำพาความรู้สึกเ็ปเศร้าโศกหวนมาสู่ใจ
ชาติภพก่อน นางตายอย่างน่าอนาถเพียงนั้น ทุกครั้งที่หลับฝันยังสะดุ้งตื่นด้วยความหวาดผวา
ชาตินี้นางจะต้องให้คนที่ห่วงใยนางได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ก้าวเดินออกจากเส้นทางสายโลหิตแห่งการแก้แค้น
เสียงพิณแว่วมาตามสายลม ในความเรียบง่ายกลับให้ความรู้สึกไกลห่างจากโลกียวิสัย เสียงพิณล่องลอยราวกับเสียงน้ำพุกลางหุบเขา เมฆาเคลื่อนคล้อยในท้องนภา ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเป็อิสระอย่างบอกไม่ถูก
นางเดินตามเสียงพิณไปบนระเบียงคด มองเห็นศาลากลางน้ำที่อยู่ปลายสุดของทางเดิน ตัวอาคารเปิดโล่ง ชายหนุ่มรูปงามผู้สวมอาภรณ์สีขาวนั่งอยู่หน้าพิณโบราณ ขยับมืออย่างเป็ธรรมชาติ เสียงพิณกระจ่างใสแผ่ซ่านออกจากปลายนิ้วที่พลิ้วสะบัดไปตามห้วงอารมณ์ เห็นนางเดินเข้ามาก็ยังไม่หยุดบรรเลง เส้นผมปอยหนึ่งทิ้งตัวลงมาเคลียข้างแก้มงดงามของชายหนุ่ม สายลมเอื่อยโชยมาอีกหลายครา
ดวงตาของโม่เสวี่ยถงมองผ่านใบหน้าไปสู่ปลายนิ้วที่โลดแล่นอยู่บนสายพิณ มือทั้งคู่พลิ้วไหวอย่างคล่องแคล่ว เสียงพิณดั่งกระแสน้ำพรั่งพรู ราวกับมีความคิดคะนึงนับหมื่นพันไหลบ่า ทว่าไร้ถ้อยวาจามาพรรณนาความคิด
เบื้องหน้าสายตาของนางราวกับเห็นเปลวเพลิงร้อนแรงตามท่วงทำนองพิณ เสียงหัวเราะของนางท่ามกลางกองไฟที่แผดเผาเต็มไปด้วยความโศกศัลย์ ไฟแค้นลุกโชนไปถึงเก้า์ชั้นฟ้า ซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่ยืนหัวเราะเยาะอยู่นอกเปลวเพลิง ชั่วเวลานี้ ความเกลียดชังพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ผลาญหัวใจจนแทบแหลกลาญจนมิอาจควบคุมใต้ฝ่าเท้าของตนเอง ดวงตาพลันค้างนิ่งอยู่บนมืองามซึ่งบรรเลงอยู่บนสายพิณ ทว่าแววตากลับว่างเปล่าเหมือนไม่เห็นสิ่งใด
แล้วจู่ๆ เสียงพิณเกรี้ยวกราดก็หยุดลง เสียงหัวเราะเริงใจดังทอดมาแทนที่ “ในใจคิดคะนึงถึงสิ่งใด เหตุไฉนจึงดูเคียดแค้นผูกพยาบาทถึงเพียงนี้”
โม่เสวี่ยถงยืนอยู่เบื้องหน้าเขา มองมือที่หยุดอยู่เหนือสายพิณคู่นั้นอย่างนิ่งงัน นิ้วมือเรียวยาวขาวกระจ่าง ข้อนิ้วสม่ำเสมองามล้ำประดุจหยก นางสูดหายใจลึกก่อนจะเงยหน้าขึ้น มองลึกเข้าไปในดวงตาอ่อนโยนบนใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันสูงส่ง ริมฝีปากทอยิ้มอ่อนๆ “หัวใจใครบ้างที่ไร้จิตคิดคะนึง หัวใจใครบ้างที่ไร้ความเจ็บแค้น คุณชายไม่มีสิ่งใดให้ครุ่นคิดจริงๆ หรือ”
คำพูดนี้มิใช่ประโยคย้อนถาม ทว่าเป็การยืนยันอย่างหนักแน่น จักรพรรดิที่สังหารไม่เว้นเยี่ยงนั้นจะเป็ผู้ถือสันโดษ เลื่อนลอยไร้กฎเกณฑ์ เป็อิสระไร้ทุกข์ร้อนเช่นนี้ได้อย่างไร
“อ้อ... แล้วเ้าเห็นสิ่งใดเล่า” เสียงหัวเราะของไป๋อี้เฮ่ายิ่งใสกังวาน ดวงตาคมหล่อเหลาคลับคล้ายว่ามีใจ แต่ก็ดูเหมือนไร้ความรู้สึก
“เมฆาลอยเลื่อยวารีไหลแม้นสง่างามสุขสงบ ทว่าไร้ซึ่งจิติญญา คุณชายเป็ผู้สูงส่ง ย่อมมองเห็นสิ่งที่แตกต่างจากผู้อื่น ข้าเป็เพียงใบไม้ร่วงที่บอบบางยิ่งภายใต้แผ่นฟ้า ขอเพียงมุมเล็กๆ ที่ปลอดภัยได้พักพิง หวังว่าคุณชายจะเมตตาช่วยเหลือ” โม่เสวี่ยถงสูดหายใจลึก เงยศีรษะขึ้นอย่างมั่นคง กลางฝ่ามือที่กำแน่นอยู่ภายใต้ชายเสื้อเปียกรื้นไปด้วยเหงื่อเย็น
การนัดพบไป๋อี้เฮ่าเป็การส่วนตัวไม่ใช่เพื่อคุยเื่พิณ นางไม่มีเวลามากมายนัก ต้องสู้ให้รู้แพ้ชนะในคราเดียว นางจะยอมถอยไม่ได้เด็ดขาด