ภายในกระโจม ลาถีเท่อกำลังใส่ยาให้เก๋อจือที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน โม่จ้านที่อยู่ด้านข้างกำลังลูบไล้ผลึกคริสตัลบันทึกเื่ราวด้วยความสนใจใคร่รู้
เมื่อเห็นว่าระดับความใสมินับว่าดีนัก ทว่าระดับความสว่างนับว่าคงที่มาก ในใจโม่จ้านอดอุทานมิได้ --- เ้าของสิ่งนี้มีประโยชน์กว่ากล้องวงจรปิดภาพสีกลางคืนเสียอีก
หลังเข้าไปในถ้ำ ลาถีเท่อเอาแต่คุกเข่าอยู่ในหลุมเว้าข้างผนังถ้ำตรงมุมหนึ่ง จุดมุ่งหมายคือเพื่อป้องกันมิให้คริสตัลบันทึกเื่ราวได้รับการกระทบกระเทือนจากการต่อสู้ ยามอินทรีสายฟ้าเข้ามาจะมองเห็นเพียงสัตว์ป่าที่ได้รับาเ็ท่ามกลางเงามืด มิมีทางเห็นเก๋อจือที่ขดกายอยู่ในอีกมุมหนึ่ง
ทุกสิ่งที่ตามมาล้วนแล้วอยู่ในแผนการของลาถีเท่อ เว้นเสียแต่ยามที่เก๋อจือมัวงงงันจนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง หากมิใช่เพราะลาถีเท่อมือไม้ว่องไว ทิ้งคริสตัลบันทึกเื่ราวอย่างมิใยดีเพื่อกระโจนเข้าไปช่วยโจมตีซ้ำ เกรงว่าภายหน้าเก๋อจือคงจะกลายเป็จอมเวทตาบอดผู้แรกของอาณาจักรเสียแล้ว
“ลาถีเท่อ เ้ามิมีอาวุธคู่กายหรือ?”
โม่จ้านย้อนดูยามลาถีเท่อใช้มือเปล่าต่อยอินทรีสายฟ้ากลับไปกลับมา รู้สึกว่าขาดอันใดไปสักอย่าง
“...เมื่อก่อนข้ามิเคยคิดจะเข้าร่วมการต่อสู้สักครั้ง จะเอาอาวุธมาจากที่ใดกัน? หากจะให้เอ่ยถึงก็คงเป็ไม้กระบองนั่น เ้าเองก็เคยเห็น”
ขณะเผชิญกับสีหน้ารังเกียจของเก๋อจือ ลาถีเท่อมัดผ้าพันเป็ปมรูปผีเสื้อแสนสวย
“เป็เช่นนี้เอง...” โม่จ้านลูบปลายคาง “รอกระทั่งออกไปแล้วก็เลือกอาวุธสักชิ้นเถิด ต้องหาอาวุธที่เหมาะสมกับเ้า”
ตนเคยเห็นไม้กระบองนั้น แต่มิอาจเรียกว่า “อาวุธ” ได้จริงๆ --- หนาเท่าข้อมือ สูงเท่าคนหนึ่งคน นอกจากนั้นยังเป็ไม้กระบองทำจากไม้โอ๊คที่ทั้งแข็งและหนัก หากนำมาใช้เป็ไม้กระบองก็มิเลว ทว่าหากจะใช้เป็อาวุธนั้นเลิกคิดไปเสีย
ลาถีเท่อเกาหัว สีหน้าฉายแววซับซ้อนอยู่บ้าง
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้แตะโล่กับกระบี่ยามอยู่ในกิลด์ ทว่าพอลองใช้พวกมันกลับมิถนัดอย่างมาก ภายหลังมีคนจากกิลด์นักรบมาหารือการค้า ส่งง้าวกับดาบมาจำนวนหนึ่ง กระนั้นข้าก็ยังรู้สึกว่าใช้ได้มิดีเท่าใด ผลสุดท้ายกระทั่งตัวข้าเองก็ยังมิรู้ว่าข้าถนัดอาวุธประเภทใด”
“อ่า มิต้องรีบร้อน ค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไป”
ด้วยสภาพร่างกายของลาถีเท่อและอายุ ภายหน้ายังต้องสูงขึ้นอีกแน่นอน พละกำลังก็จะมากขึ้นเช่นกัน หากใช้กระบี่กับโล่ที่เป็อาวุธขนาดเล็กกลับทำให้รูปร่างที่ดีเสียเปล่า
โม่จ้านกำคริสตัลและเล่นภาพการต่อสู้อีกครั้ง ทันใดนั้นพลันขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน
“ลาถีเท่อ เ้าไปเอาสัตว์ป่าตัวนี้มาจากที่ใด?”
โม่จ้านชี้ไปยังสัตว์ป่าที่ใช้ล่ออินทรีสายฟ้าในภาพฉาย
“ข้าจำได้ว่าตอนเช้าพวกเ้าออกไปเพียงมิกี่ชั่วยาม คงจะมิมีเวลาไปถึงชายป่ากระมัง?”
“ข้าเองก็แปลกใจมิน้อยเช่นกัน ตลอดทางพวกเรามิพบสัตว์ขนาดกลางแต่อย่างใด ข้าจึงคิดจะจับกระต่ายมิกี่ตัวหรือไก่ฟ้ามาแทน”
ลาถีเท่อปิดกล่องปฐมพยาบาลเข้าหากัน สีหน้าฉายแววฉงนเล็กน้อย
“ทว่าข้าเดินไปได้มินานกลับพบกวางลายด่างสองตัว ยามเข้าไปข้างหน้า เก๋อจือยังพบหมูป่า”
ยามนี้เปลี่ยนเป็โม่จ้านที่ประหลาดใจเสียแล้ว
หรือว่าบังเอิญจริงๆ? คงมิใช่เพราะตนมีฮาคิราชันย์[1]จนทำให้เหล่าสัตว์ป่าใวิ่งหนีไปกระมัง? หากเป็เช่นนั้นเหตุใดจึงมิส่งผลอันใดต่อกวางหุ้มเกราะน้ำแข็งกับอินทรีสายฟ้า?
“...กวางหุ้มเกราะน้ำแข็งย้ายถิ่นฐาน ดังนั้นพวกสัตว์จึงพากันมา นี่เป็เื่ที่เข้าใจยากงั้นหรือ?”
เก๋อจือมองคนทั้งสองด้วยสีหน้าตื่นตระหนกใ พร้อมกับโบกขนอินทรีสายฟ้าในมือ
ลาถีเท่อตั้งใจเลือกแล้วเผยรอยยิ้มเปล่งประกายออกมา --- หลังจากแยกขนหางที่เสียหายออก นึกถึงว่าจะยังมีขนที่สมบูรณ์ดีถึงเจ็ดเส้น
ขนอินทรีสายฟ้าเส้นเดียวมิค่อยมีราคา ทว่าขนที่ชุดลายเส้นเหมือนกันทั้งหมดกลับต่างออกไป อาจเป็เพราะมิมีความเป็ไปได้ที่จะปลอมแปลง เหล่าชนชั้นสูงและเหล่าอัศวินจึงชอบนำไปเสียบเป็ที่ระลึกบนหมวก สามารถขายได้ในราคาที่ดี
ลาถีเท่อยึดปลายขนหางเข้ากับแผ่นไม้ด้วยด้ายบางๆ จากนั้นนำแผ่นไม้ติดลงในกล่อง ก่อนส่งกล่องให้โม่จ้านอย่างเคร่งขรึม โม่จ้านรับกล่องมาใส่ลงในกระเป๋าสะพายอย่างมิใส่ใจ จากนั้นเอนกายนอนลงบนพื้น
“ข้าจะงีบสักประเดี๋ยว ยามบ่ายค่อยเรียกข้าเร่งเดินทาง” โม่จ้านขยี้ตา พลิกกายห่มผ้าห่ม
นี่คือนิสัยที่โม่จ้านทำจนเคยชิน ก่อนออกเดินทางไกลจะต้องงีบพักผ่อน เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นกะทันหันระหว่างทาง
“ได้ เ้านอนเถอะ พวกเราสองคนจะคอยดูเอง”
เก๋อจือกับลาถีเท่อสบตากัน จากนั้นเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ออกจากกระโจม
......
“ข้ายังนึกว่าโม่เจ๋อเอ่อร์มิรู้จักเหนื่อยด้วยซ้ำ”
ลาถีเท่อเงี่ยหูฟังเสียงกรนในกระโจมของโม่จ้าน
“ทุกๆ คืนเขาเป็ผู้เฝ้ายามมากกว่าพวกเราสองคน นึกมิถึงว่าจะยังมีชีวิตชีวาถึงเพียงนั้น”
“เขามิได้บอกว่า ‘พวกเ้ายังต้องเติบโต’ หรอกหรือ?”
สีหน้าของเก๋อจือฉายแววพูดยาก อยากหัวเราะแต่ก็หัวเราะมิออก
“...พูดราวกับเขาแก่เพียงนั้นเชียว”
“ถ้าเช่นนั้น ยามนี้เ้าจะบอกประวัติความเป็มาที่แท้จริงของเขากับข้าได้แล้วหรือไม่?”
ลาถีเท่อจดจ้องดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นของเก๋อจือ ทำเอาเด็กหนุ่มผมแดงอดประหม่ามิได้
“นักฆ่าตระกูลใหญ่เช่นนั้น คนกันเองยังรู้สึกว่าเหลวไหล เ้ายังคิดจะใช้ตบตาข้าอีกหรือ?”
เก๋อจือลังเลอยู่ครึ่งค่อนวัน ท้ายที่สุดยังคงบอกเื่ที่รู้ทั้งหมดออกไปมิต่างกับเทถั่วจากกระบอกไม้ไผ่[2]
“ข้าเชื่อว่าเขามิมีจุดมุ่งหมายอันใดต่อพวกเรา ท่านอาหวาเอ่อร์มองคนถูกมาตลอด”
เก๋อจือมองลาถีเท่อที่นิ่งเงียบ พยายามอธิบายแทนโม่จ้าน ลาถีเท่อหัวเราะอย่างไร้สิ่งใดจะเอ่ยพลางตบหัวเก๋อจืออย่างแรง “ที่แท้ในสายตาของเ้าข้าเป็คนเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? ผู้อื่นสอนวิชาต่อสู้ให้ข้าแล้ว ข้ามิมีเหตุผลอันใดที่จะมิเชื่อเขา”
“เช่นนั้นเ้า...” เก๋อจือรู้สึกเจ็บพลางลูบผม้าศีรษะที่ฟูขึ้นมา
“ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดมีเพียงในกิลด์นักรบเท่านั้น โม่เจ๋อเอ่อร์อาจเป็บุตรชายผู้เดียวของครอบครัวนักรบที่ตกต่ำ”
ลาถีเท่อถอนหายใจ สายตาฉายแววเป็กังวลอย่างอดมิได้
“คนในกิลด์นักรบล้วนแต่เป็พวกขี้หวง หากถูกพบเข้า เกรงว่าคงจะมีปัญหามิน้อย”
เก๋อจือค่อนข้างสองจิตสองใจ ปักธงที่หากเ้าตัวอยู่ในเหตุการณ์จะต้องลากไปล้างปากอย่างแน่นอน
“ถึงแม้สถาบันเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกกับกิลด์นักรบจะอยู่ในเมืองเดียวกัน ทว่าห่างกันมิน้อย เพียงส่งภารกิจสำเร็จการศึกษาเท่านั้น คงจะมิบังเอิญถึงเพียงนั้นกระมัง...”
ลาถีเท่อส่ายหน้า
หากเป็เพียงการส่งภารกิจสำเร็จการศึกษา แน่นอนว่ามิมีปัญหาอันใด โม่เจ๋อเอ่อร์เคยบอกสิ่งที่ท่านอาหวาเอ่อร์เคยกำชับกับตนแล้ว หากเป็เื่จริง เกรงว่าทันทีที่เก๋อจือเข้าประตูโรงเรียนคงถูกคนจับตามอง ในสถานการณ์เช่นนี้ เก๋อจือตัดสินใจแล้วว่าจะมิเผยตัว ตนก็เช่นกัน
เช่นนั้นหน้าที่ส่งภารกิจสำเร็จการศึกษา...ยังคงต้องตกเป็หน้าที่ของโม่จ้านที่มิทราบฐานะชัดเจน
ท้ายที่สุดยังต้องรบกวนผู้อื่น
ลาถีเท่อทอดมองไกลออกไปอย่างมิเป็สุข คิดอยากจะให้ตนจบการฝึกฝนจากอาจารย์เสียประเดี๋ยวนี้
“โม่เจ๋อเอ่อร์เคยเอ่ยกับข้าว่าเขาเคยไปที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมิมีเวทมนตร์ และทักษะการต่อสู้คล้ายจะกึ่งเปิดกว้าง ดังนั้นทุกคนสามารถเรียนรู้ แต่ทว่าคนส่วนมากกลับเลือกที่จะหมางเมิน”
เก๋อจือนั่งลงขัดสมาธิ มิได้สนใจสีหน้าตกตะลึงของลาถีเท่อ
“ข้าคิดว่าคงเป็เพียงเื่ล้อเล่น...จะมีผู้มิอยากเรียนได้อย่างไร? หากทุกคนต่างก็เป็หัวหน้าอัศวินรักษาการณ์กันหมด ยามต้านศัตรูภายนอกยังต้องใช้กองกำลังทหารใดอีก”
ลาถีเท่อหัวเราะอย่างจนปัญญา ลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงทั้งหัวของเก๋อจือ
“มิใช่ทุกคนจะมีใจอยากก้าวหน้า นอกจากนั้นสาเหตุที่มิเรียนก็ใช่ความเกียจคร้านเสมอไป ยังเป็ไปได้ว่ามิจำเป็ เมืองหลวงมีขุนนางบรรดาศักดิ์มากมายเพียงนั้น มีบุตรหญิงชายกี่คนที่กลายเป็อัศวินกับจอมเวท? พวกเขามีชีวิตที่ดีกว่าประชาชนส่วนมากเสียด้วยซ้ำ”
ดังนั้นอา เก๋อจือผู้เป็ที่รักของข้า เ้ายอดเยี่ยมมากแล้วจริงๆ
ลาถีเท่อโอบกอดเก๋อจือจากด้านหลัง วางศีรษะลงบนไหล่ของเก๋อจือและเริ่มมองคนรักของตนอย่างละเอียด เก๋อจือที่ถูกหมีโอบกะทันหันเผยสีหน้ายากอธิบาย เมื่อหันกลับไปมองสายตาอบอุ่นของลาถีเท่อพลันอดหน้าแดงมิได้
ทว่าในขณะที่ความรู้สึกกำลังลึกซึ้ง เสียงฝีเท้าที่มิได้จังหวะดังมาจากด้านหลังคนทั้งสอง ทำลายบรรยากาศรอบกายคนทั้งสองเสียจนหมดสิ้น
เก๋อจือกับลาถีเท่อรับรู้ได้ถึงหนึ่งปัญหาพร้อมกัน --- โม่เจ๋อเอ่อร์กำลังนอน เช่นนั้นผู้มาเยือนคือผู้ใด?
เชิงอรรถ
[1] ฮาคิราชันย์ 霸王色霸氣 คือหนึ่งในสามความสามารถฮาคิที่แข็งแกร่ง รุนแรงและหายากมากที่สุดที่ปรากฏในเื่วันพีช เป็พลังในการข่มขวัญศัตรูให้ยอมสยบ
[2] เทเม็ดถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่竹筒倒豆子เป็สำนวนแปลว่า พูดตรงๆ ชัดเจน ไม่กั๊กเอาไว้