ตามตำนานเล่าขานกันว่าระหว่าง์และพื้นพิภพมีสิบโลกย่อยแต่ละโลกใช้ลำดับในการเชื่อมโยงกัน และต่างมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มกันรักษาไว้จักรวาลจึงเป็ดั่งวัฏจักรที่ก่อกำเนิดชีวิตมากมายอย่างไม่มีจบสิ้น
ณ มุมหนึ่งของ์และพิภพคือโลกหนึ่งซึ่งอยู่ในลำดับที่สามพันสูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงสว่างนั้นมีอีกพื้นดินอีกราวสามพันกำลังล่องลอยวนเวียนอยู่ในเอกภพ และด้วยโชคชะตาของ์ค้ำจุนจึงได้ประสบกับแก่นแท้ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีคำบอกเล่าที่กล่าวขานมาช้านานว่าที่แห่งนั้นเดิมเคยเป็ผืนแผ่นดินของเทพเ้าก่อนที่แตกกระจายออกสามพันชิ้นจากสิ่งเดิมก่อเกิดเป็สิ่งใหม่ เมื่อท่อนไม้กลับงอกงามเป็ผืนป่า และเกิดการเวียนว่ายตายเกิดจนได้ชื่อว่า โลกลำดับที่สามพัน
และลำดับถัดจากเศษย่อยทั้งสามพันชิ้นลงมามีโลกพลังที่เกิดจากการรวมตัวของแผ่นดินผืนบางโลกทั้งสองถูกกั้นอย่างเท่าเทียมด้วยตราเทพ ไร้ทางติดต่อซึ่งกันและกันหลังจากที่แตกออกเป็ชิ้นส่วนนับหมื่นปี แต่ละชิ้นส่วนของโลกต่างก็มีกฎเกณฑ์เป็ของตนเองเริ่มที่จะตัดขาดจากอีกนับหมื่นโลก อุปสรรคที่คอยปิดกั้นที่ไม่จางหายไปพันปี ณดินแดนห่างไกลที่ไร้ซึ่งความเจริญนี้มักจะมีนกเทพศักดิ์สิทธิ์บินชนแผ่นฟ้าอยู่เสมอสัตว์ป่าดุร้ายเหี้ยมโหดต่างสั่นคลอนไปทั่วทั้งหุบเขา
นับแต่ทายาทผู้ซึ่งสืบสายโลหิตโบราณอันแข็งแกร่งได้ขยายเผ่าพันธุ์ออกไปมนุษย์เริ่มทำการปกครองชิ้นส่วนโลกต่างๆ เ่าั้จนกลายเป็ประเทศมหาอำนาจยุคโบราณ ชนเผ่า และสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
และในมุมหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีชิ้นส่วนผืนดินโบราณล่องลอยอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวนับพันที่ตั้งตัวขึ้นมาและได้ชื่อว่า โลกั
เหนือโลกัมีประเทศมหาอำนาจโบราณที่มนุษย์เรียกว่าประเทศหลงหลิง สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็เมืองหลงหลิง อยู่ที่เมืองทางทิศเหนือที่ชื่อหยินเย่เฉิงเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา มีกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งและไพร่ฟ้าประชากรที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งเื่ราวก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้
...
“นายน้อย ตื่นได้แล้วขอรับคุณชายซ้งเชียนมาถึงแล้ว วันนี้เป็วันสำคัญของท่านเลยนะขอรับ!” ในตอนรุ่งสางนอกจากเสียงนกเสียงกาในบ้านแล้วก็เป็เสียงของลุงฝูนี่แหละ ลุงฝูเป็คนรับใช้ของบ้านตระกูลปู้ที่คอยปรนนิบัติตระกูลปู้ของเรามาตลอดั้แ่รุ่นของท่านพ่อ
ข้ามีนามว่า ปู้อี้เชวียนเกิดในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่าหยินเย่เฉิงซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของสหพันธ์หลงหลิงนามของพ่อข้าก็คือ ปู้ปู้ผิง โดยท่านทำการค้าเปิดร้านตีเหล็กทซึ่งก็ถือว่าพอไปได้และนั่นทำให้ข้าได้เป็ชนชั้นปานกลางที่โน้มเอียงไปทางล่างๆ ในโลกนี้
แผ่นดินใหญ่หลงหลิงผู้คนสามารถใช้พลังจิติญญาที่อยู่ระหว่าง์และพื้นพิภพได้ทั้งยังเชิดชูเจ็ดเทพิญญาทั่วทั้งแผ่นดินโดยแผ่นดินแห่งนี้ก่อตั้งจากผู้ยิ่งใหญ่หลายด้าน ที่หลังจากผ่านามาหลายปีก็กลับมารวมเป็หนึ่งเดียวเพื่อตั้งสหพันธ์ที่ชื่อว่า ‘สหพันธ์หลงหลิง’ซึ่งเป็เหมือนสนธิสัญญาที่ควบคุมความเรียบร้อยและความสงบสุขของโลกใบนี้ไว้
และเพราะแบบนี้เองลุงฝูถึงได้บอกว่าวันนี้เป็วันสำคัญของข้า เนื่องจากวันนี้เป็ “วันปลุกพลัง”ของข้านั่นเอง
โดยผู้ฝึกฝนิญญาขั้นต้นนั้นจำเป็ต้องผ่านขั้นตอนใหญ่ๆ สามขั้นด้วยกัน ขั้นตอนที่หนึ่งคือ การปลุกปราณิญญาเมื่อปลุกปราณิญญาได้แล้ว ก็จะสามารถควบคุมพลังิญญาได้ ขั้นที่สองคือการปลุกอาวุธประจำกาย ซึ่งอาวุธประจำกายนั้นจะเกิดมาเพื่อตัวเราโดยเฉพาะ ทั้งยังเป็อาวุธที่สัมพันธ์กับร่างกายหรือเรียกอีกอย่างว่า อาวุธแห่งิญญาอาวุธประจำกายของบางคนอาจเป็อาวุธาในการต่อสู้ บ้างก็เป็เกราะป้องกันหรือเป็อาวุธได้หลากหลายประเภทยากที่จะอธิบายได้หมด
และขั้นตอนที่สามที่ถือเป็ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือการปลุกพลังพร์
ข้าถือเป็ผู้โชคดีคนหนึ่งเพราะเมื่ออายุได้เพียงหกขวบก็ปลุกปราณิญญา์ระดับสูงพอเก้าขวบก็ปลุกอาวุธประจำกายอย่างกระบี่คมจันทราจนกระทั่งสิบสี่ปีจึงบรรลุชีพจร์กลายเป็ผู้มีฝีมือในขั้นเซียนที่อายุน้อยที่สุดในแผ่นดินใหญ่ และเมื่อสามปีก่อนบนถนนแห่งความตายที่มีการฝึกฝนอันหนักหน่วงนั้นยิ่งทำให้ข้ารู้สึกเหมือนว่าได้เกิดใหม่อย่างก้าวะโและได้กลายเป็หนึ่งในผู้เก่งกล้าของหยินเย่เฉิงที่น้อยคนนักจะทำได้
ทว่าจนถึงอายุยี่สิบสามปีข้าก็ยังปลุกพลัง์ไม่ได้สักที ไม่ใช่เพียงความทุกข์ในใจของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นแต่ยังเป็ความทุกข์ใจของคนในบ้านด้วยเช่นกัน
นอกประตูลุงฝูที่ในมือถือถังน้ำเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและความอัธยาศัยดี “นายน้อยรีบหน่อยเถอะขอรับ คุณชายซ้งเชียนมารออยู่นานมากแล้ว”
“อืม ขอบคุณท่านมากนะลุงฝู”
ซ้งเชียน ถือเป็สหายรักที่อายุน้อยกว่าข้าเพียงปีเดียวเท่านั้นเรียกได้ว่าเป็เพื่อนที่เล่นด้วยกันั้แ่เล็กจนโตพ่อของเขาเป็พ่อค้าเร่ท่านหนึ่งที่บางครั้งก็ไม่กลับบ้านเป็เวลาหลายเดือนทำให้ซ้งเชียนต้องมาขลุกอยู่กับข้าที่บ้านทั้งวันและก็ทำให้เราสนิทกันราวกับพี่น้องแท้ๆ เลยทีเดียว
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จนอกประตูก็มีชายหนุ่มอายุยี่สิบปียืนรออยู่ก่อนแล้วถึงแม้เขาจะดูบอบบางแต่กลับแสดงสีหน้าท่าทางทำเป็แข็งแกร่งจนทำให้ข้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พี่เชวียน ท่านรีบออกมาได้แล้วข้าได้ยินมาว่าวันนี้คนที่มาทำพิธีปลุกพลังให้ท่านคือซูซีอวี๋หนึ่งในเทพศาสตราวุธสาวของสหพันธ์แถมข้ายังได้ยินมาอีกว่านางเป็หญิงที่รูปงามมากเลยนะ”
“ข้ารู้แต่อายุนางก็สามสิบกว่าแล้วนะ เ้าคิดมากไปหรือเปล่า?” ข้าพูดพร้อมกับยิ้ม
ซ้งเชียนลูบท้ายทอยแล้วยิ้มออกมา“ข้าก็นึกว่าท่านจะชอบซะอีก แต่ว่า...จะยังไงก็รีบไปกันเถอะจะให้เทพศาสตราวุธหญิงรอนานได้ยังไงกันเพราะขืนทำแบบนั้นมันจะเป็การเสียมารยาทเอาได้”
“อื้ม ไปกันเถอะ!”
เมื่อจะออกจากประตูก็เห็นรถม้าจอดอยู่บริเวณลานหน้าบ้านที่ไกลออกไปคนขับก็เตรียมพร้อมอยู่แล้วเช่นกัน
สำหรับเื่ของพิธีปลุกพลังที่ว่า จริงๆแล้วก็คือพิธีที่ใช้น้ำยาปลุกบังคับให้พลังตื่นขึ้นมานั่นเองถึงแม้จะมีการเล่าขานถึงความอัศจรรย์ของมัน แต่พอใช้ความรู้ที่ข้ามีมาคิดๆ ดูแล้วก็เป็เพียงฤทธิ์ของน้ำยาเท่านั้นเองและข้าที่อายุเกือบจะยี่สิบปีแต่ยังปลุกพลัง์ไม่สำเร็จวันนี้จึงเป็โอกาสสุดท้ายที่ข้าจะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง
ขอเพียงแค่ข้าปลุกพลัง์ขึ้นมาได้แล้วบวกกับชีพจร์ระดับสูงที่มีแต่กำเนิดของข้าแล้วละก็อนาคตก็จะก้าวไกลใช้เวลาอีกสักหน่อยก็มีความเป็ไปได้ที่จะสามารถพัฒนาเติบโตเป็ผู้ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนหรือถึงขั้นยึดอำนาจของแผ่นดินใหญ่หลงหลิงหรือแม้แต่เป็เทพศาสตราวุธขั้นสูงสุดก็ย่อมได้ แต่ถ้าเกิดว่าปลุกพลังไม่ได้ชั่วชีวิตก็คงจะต้องหยุดอยู่เพียงแค่นี้ หมดหนทางที่จะพัฒนาต่อไป
ก็อย่างที่ซ้งเชียนบอกเอาไว้ว่าขอเพียงแค่ปลุกพลัง์ได้ข้าก็จะมีหญิงงามให้เชยชมไม่ขาดรวมถึงเงินที่ใช้อย่างไม่มีวันหมด!
...
“เ้าใช่ไหม ที่ชื่อปู้อี้เชวียน?!”
ก่อนจะก้าวขาออกจากประตูก็มีเสียงแหลมเล็กที่บ่งบอกถึงความเย้ยหยันจนทำให้คนฟังรู้สึกเอือมระอาดังมาจากข้างๆ
“หืม?”
ข้าชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น“นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนอยู่ที่นี่”
ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของแท่นหินพอได้ยินข้าพูดประโยคนี้ออกมาสีหน้าก็บ่งบอกถึงความโกรธ และอารมณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คู่ชายอ้วนผอมที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้นใบหน้าแสดงอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนักทั้งสองมีพลังิญญาที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างกาย และดูเหมือนจะมีพลังอยู่บ้างพอจะคาดเดาได้ว่าจุดประสงค์ครั้งนี้ก็เพื่อท้าประลองกับข้าผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองหยินเย่เฉิง
“พวกเ้าเป็ใคร?”
ร่างผอมตวัดมือเบาเพียงพักเดียวแสงแห่งพลังิญญาก็รวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็กระบี่อันแหลมคมที่สว่างไสวเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เ็า “ข้าคือฉางฟางแห่งสำนักหยินเย่หวู่เมืองหยินเย่เฉิงมาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่านโดยเฉพาะ!”
เ้าอ้วนเองเพียงกระทืบเท้าก็มีกลุ่มพลังสีดำทะมึนลอยขึ้นมาเหนือฝ่ามือข้างขวาก่อนจะกลายเป็ค้อนิญญาก่อนจะแยกเขี้ยวยิ้มออกมา “ตู้หงเหลยแห่งสำนักหยินเย่หวู่ข้ามาเพื่อให้ท่านแสดงวรยุทธสั่งสอนข้าโดยเฉพาะ!”
บรรยากาศเปลี่ยนเป็หน้าสิ่วหน้าขวานขึ้นมาทว่า ลุงฝูกับซ้งเชียนกลับทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะพวกเขาเองเจอกับสถานการณ์แบบนี้มามากแล้ว ซ้งเชียนถึงขนาดเอ่ยปากพูดขึ้นว่า“พี่เชวียน ท่านรีบจัดการให้จบๆ ไป พวกเรามีเวลาไม่มาก”
“อย่ามัวเสียเวลาเลยพวกเ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก” ข้ายิ้มขึ้นพร้อมกับพูดออกไป
“อย่าพูดมาก จงเตรียมรับมือให้ดี!”เ้าอ้วนร้องะโด้วยความโมโหกวัดแกว่งค้อนั์จนเกิดแรงสั่นะเืและเริ่มปะทุพลังออกมา
“งั้นข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ!”
ร่างกายที่ยืดตรงงอตัวเล็กน้อยทั่วทั้งร่างรัดแน่นตึงราวกับคันศรในสนามรบพลังิญญารวมกลุ่มแผ่ซ่านจากเท้าทั้งสองก่อนจะพุ่งขึ้นมา เพียงชั่วขณะเดียวก็กลายเป็พลังมหาศาลที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายพริบตาเดียวก็ไหววูบไปอยู่ด้านหน้าของคนทั้งสองเมื่อลากเท้าซ้ายถอยหลังเพียงครึ่งก้าวแล้วรวมพลังเป็จุดกลางให้หนักแน่นเปลวแห่งพลังิญญาสีเขียวได้พุ่งขึ้นมาราวกับเถาวัลย์รวมนิ้วทั้งห้าไว้แน่นจนทำให้พลังแผ่ซ่านออกมาทางแขนทั้งสองคิ้วหนาขมวดเข้าก่อนจะพูดออกไปพร้อมกับยิ้ม “พวกเ้าเข้ามาพร้อมกันทั้งสองเลย!”
“เ้าไม่ใช้อาวุธิญญา?!”
ร่างผอมกล่าวออกมาด้วยความโกรธ“เ้าอย่าทะนงตนให้มันมาก!”
“สู้กับพวกเ้าสองคนข้าไม่จำเป็ต้องใช้กระบี่คมจันทรา”ข้ายิ้มกว้างก่อนจะบอกไป “เข้ามา รีบสู้ให้มันจบๆ ไป”
“รนหาที่ตาย!”
เ้าอ้วนคำรามเสียงดังก่อนจะย้ำเท้าเข้ามาถึงแม้ว่าร่างจะใหญ่ั์หนักเอาการแต่ก็ใช่ว่าจะช้าอืดอาดค้อนรบิญญากวัดแกว่งไปบนฟ้าราวกับว่ากำลังพัดพาเอาสายลมที่เหมือนแฝงไปด้วยหนามแหลมคมขึ้นมา
แต่น่าเสียดาย เพราะถึงแม้ว่าพลังและความเร็วจะมีพร้อมแต่ว่าแสดงจุดหมายออกมาชัดเจนเกินไป
ขณะที่ค้อนรบของมันกำลังจะเข้ามาใกล้จนเกินไปนั้นเองร่างกายและสองเท้าของข้าก็ขยับออกด้านข้างก่อนจะกางเล็บออกราวกับกรงเล็บของอินทรีคว้าเข้าไปที่ปกเสื้อก่อนจะออกแรงโยนออกไปตามแนวแรงที่พุ่งเข้ามา
ปัง!
เม็ดฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณเมื่อร่างของเ้าอ้วนปะทะเข้ากับกำแพงบ้านของข้าเข้าอย่างจังค้อนรบิญญาก็แตกซ่านกลายเป็แสงระยิบระยับ ร่างที่อ่อนปวกเปียกนอนสลบอยู่บนพื้น
“บังอาจ!”
ร่างผอมร้องด้วยความโมโหกระบี่แสงพลังิญญาในมือพุ่งทะลุอากาศเข้ามาจนเกิดเสียง
ฉึบ!
คมกระบี่เปล่งแสงออกมายาวหลายเมตรก่อนจะรวมกันเป็ลำยาวราวกับลูกศรคมกริบที่พุ่งทะลุอากาศเข้ามาด้วยเปลวร้อนที่พร้อมจะแผดเผา
เพลงกระบี่พายุเคล็ดวิชาอย่างหนึ่งที่ใช้กันทั่วไปในแผ่นดินใหญ่
คนในสำนักหยินเย่หวู่ที่สามารถใช้เพลงกระบี่พายุได้มีไม่เกินห้าสิบคนเ้าผอมนี่ถือว่าเป็คนมีฝีมือคนหนึ่งเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เชื่องช้าเกินไป
และในตอนที่เพลงกระบี่พายุเข้ามาใกล้มากพอที่จะทะลุกล้ามเนื้อเขาในตอนนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนแสงแห่งพลังิญญาจะพุ่งขึ้นมาเผยให้เห็นกระบี่ยาวที่เยือกเย็นดุจจันทร์ในคืนแรมโผล่ขึ้นกลางฝ่ามือกระบี่คมจันทราของข้า!
แกร็ง...
ลำแสงสีเหลืองอ่อนแผ่ซ่านออกจากลำแขนทั้งสองข้างการต่อสู้กลับเงียบสงบลงภายใต้การดำเนินไปของพลังก็มีเสียงคำรามของัและเสียงขู่คำรามของเสือดังแทรกขึ้นมาและนั่นคือพลังรบไร้เสียงขั้นที่สามของเขา ‘พลังพยัคฆ์หมอบัคำราม’พลังของมันอัดแน่นอยู่ในกระบี่คมจันทรา เพียงแค่การปะทะเบาๆก็ทำเอากระบี่ของอีกฝั่งแตกเป็ชิ้นๆหมัดซ้ายถือโอกาสพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าที่ทะลุผ่านอากาศหมัดสายฟ้าฟาด!
ตูม!
เสียงดังสนั่นกึกก้องชายร่างผอมยืนนิ่งสนิทเืสีแดงสดไหลทะลักออกทางจมูกพร้อมกับใบหน้าที่บ่งบอกถึงความปวดร้าวก่อนจะล้มกระแทกลงบนพื้นเสียงดังสนั่นและสลบไม่ได้สติไป
ซ้งเชียนถ่มน้ำลายใส่ร่างที่สลบไม่ได้สติ“นี่หรือหนึ่งในสิบผู้มีฝีมือสูงส่งในหยินเย่หวู่ ถุ้ย!”
ปู้อี้เชวียนตบบ่าเขาสองสามที “ป่ะไปโถงศักดิ์สิทธิ์กันเถอะ!”
“ได้เลยพี่เชวียน!”
รถม้าวิ่งฝุ่นตลบตรงไปยังใจกลางเมืองหยินเย่เฉิง
...
ณ ห้องโถงศักดิ์สิทธิ์เป็วิหารที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวโดยด้านในเป็ที่สำหรับเซ่นไหว้บูชาเจ็ดเทพิญญา เปรียบเสมือนวิหารโลกันตร์ที่วังเจ็ดเทพได้สร้างเป็องค์กรแยกย่อยไว้ในแต่ละเมืองและเป็เหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกฝนิญญาทั้งหมดในเมืองหยินเย่เฉิงแห่งนี้
จากตรงนี้สามารถมองเห็นรถม้าที่โอ่อ่าจอดอยู่บริเวณหน้าประตูห้องโถงนอกจากรถม้านั่นแล้วยังมีทหารม้าที่ถือยอดอาวุธไว้ในมือรถม้าของพวกเรายังไม่ทันได้หยุดจอด ทหารป้องกันก็เดินเข้ามาหาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า“คุณชายปู้ ขบวนรถม้าของท่านเทพศาสตราเพิ่งมาถึงเชิญท่านขึ้นไปเพื่อรอให้ท่านเทพทำพิธีขอรับ”
“อืม ขอบใจท่านมาก”
หลังจากที่ลงจากรถม้าข้าก็มุ่งตรงไปยังชั้นบนสุดของห้องโถง ระหว่างทางมีสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาเนื่องด้วยพิธีปลุกพลังในครั้งนี้เป็เครื่องบ่งชี้ว่าจะมีระดับเทพศาสตราเกิดขึ้นมาในเมืองหยินเย่เฉิงหรือไม่เพราะยังไงตัวข้าเองที่มีปราณิญญา์ขั้นสูงก็เป็สิ่งที่หาได้น้อยมากในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้เมื่อทำการปลุกพลังในครั้งนี้แล้ว หนทางข้างหน้าย่อมก้าวหน้าอย่างแน่นอน!
ผนังทั้งสองข้างทางเดินเต็มไปด้วยข้อความจารึกที่คอยปกปักรักษาวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไว้ข้าเดินขึ้นไปและยืนอยู่บริเวณที่รอเพื่อทำพิธียังชั้นบนสุดของโถงอย่างเงียบสงบรอบข้างไร้ซึ่งผู้คนเพราะพิธีปลุกพลังจะต้องมีเพียงแค่คนสองคนที่อยู่ในพิธีคนหนึ่งคือผู้ทำพิธีและอีกคนก็คือผู้รับพิธี
ยืนรอราวนาทีคนที่เข้ามากลับเป็ซ้งเชียนที่ใบหน้าแสดงถึงความตื่นเต้นดีใจ!
“พี่เชวียนข้าเจอท่านเทพศาสตราวุธซูซีอวี๋แล้วล่ะ!”
“เป็อย่างไรบ้าง?”
“นางช่างสวยงามตามคำร่ำลือจริงๆ!”ซ้งเชียนแทบจะหยุดหายใจ ใบหน้าแดงก่ำเหมือนเพิ่งกลืนปลากะพงลงไปทั้งตัว
มือหนาตบลงบนบ่าก่อนจะพูดแล้วยิ้ม“ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ พูดออกมา”
“เอาเป็ว่า...ข้าไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้วถ้าเกิดจะให้พรรณนาละก็ก็คงจะเป็...ข้าไม่เคยเจอหญิงสาวที่เพียบพร้อมขนาดนี้มาก่อนเดี๋ยวท่านก็ดูเองละกัน เขาคงจะมาแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อนล่ะ!”
ว่าแล้วเขาวิ่งออกไปฝุ่นตลบ
ปู้อี้เชวียนขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่าจะรูปงามสักแค่ไหนกันเชียวเ้าเด็กนี่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ทำเหมือนกับว่าเจอนางฟ้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น
และในเวลานี้เองก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาภาพของบุคคลคนหนึ่งเดินผ่านผ้าม่านที่เปิดออกและใกล้เข้ามาในระยะการมองเห็นเพียงพริบตาเดียว่เวลานั้นราวกับได้หยุดนิ่งไป
หญิงงามผู้มีใบหน้าทรงไข่ดวงตาสีครามเข้มที่งดงามและใสสะอาดสวมชุดคลุมทหารหญิงคอปกชั้นสูงและรองเท้าที่ทำอย่างประณีตงดงามผมเส้นสีทองสยายยาวราวกับสายน้ำปล่อยลงมาประบ่า เสื้อด้านในสีขาวห่อหุ้มส่วนนูนเด่นเป็เส้นโค้งที่เหมือนจะล้นทะลักออกมานั้นทำให้คนดูแทบหยุดหายใจ บริเวณหน้าอกของชุดเกาะทหารมีดาวสามดวงติดอยู่ท่อนล่างเป็กระโปรงรัดรูปเข้าเรือนร่างทำให้เห็นร่างกายที่สวยงามได้สัดส่วนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ด้านหลังเป็ผ้าคลุมสีแดงสด เสริมให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างที่สุด
อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างห้ามไม่ได้หญิงคนนี้สวยสดงดงามจนเกินบรรยาย นี่นางคือซูซีอวี๋ที่เป็เทพศาสตราหญิงจริงๆอย่างนั้นหรือ?
ได้ยินมานานเกี่ยวกับความงามของหญิงผู้นี้แถมยังเป็ขุนพลของทหารนับสามแสนนายอีกด้วยแต่ทั้งสวยทั้งดูอ่อนเยาว์ขนาดนี้มันก็ดูเหมือนจะเกินความเป็จริงไปซะหน่อยอีกอย่างไม่ว่าจะมองอย่างไรนางก็ไม่น่าจะอายุเกินยี่สิบนางใช่ซูซีอวี๋ที่อายุสามสิบผู้นั้นจริงๆ หรือ?
ขณะที่ในสมองข้ากำลังประมวลผลพลางคิดไปเรื่อยเปื่อยดวงตาสีครามคู่นั้นก็มองมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวาและน่าฟัง
“หลับตาลง ข้าจะเริ่มพิธีแล้ว!”
นางว่าพลางล้วงเอาขวดแก้วเล็กๆซึ่งน่าจะเป็ยาปลุกพลังนั่นออกมา แล้วสาดมาทางข้าจนมีหยดน้ำเกาะอยู่เต็มหัว
ยานั่นมีกลิ่นแปลกเล็กน้อยนี่มันกลิ่นของดอกโลหิต จะต้องไม่ผิดแน่ข้าเคยเห็นดอกแบบนี้อยู่หลายครั้งตอนอยู่ในสนามรบ
ร่างกายสะท้านโดยทันทีทั้งร่างราวกับโดนพลังบางอย่างกดเอาไว้จนเกิดเป็ความร้อนที่แผ่ขึ้นมาภายในอย่างต่อเนื่องก่อนที่ลำแสงจะพุ่งออกมาจากลำตัวราวกับว่ามันจะแตกะเิออกมาให้ได้ ไม่ใช่ความรู้สึกแบบนี้มันไม่ปกติ!
ขณะที่เปลือกตาถูกเปิดออกเพื่อมองไปข้างหน้านั้นกลับพบว่ามีแสงสีส้มกำลังโชติ่สาดส่องลงบนใบหน้าราวกับว่ามีอะไรสักอย่างกำลังจ้องมองและจับจ้องดวงจิตของข้าเอาไว้
ร่างกายที่กำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางแสงสว่างไร้ซึ่งพลังใดๆภายในกลุ่มแสงนั่นคล้ายมีอะไรสักอย่างที่กำลังจ้องมองมายังข้าที่ทำได้เพียงมองอยู่เท่านั้นและในที่สุดเมื่อสูดลมหายใจเข้าออกกว่าสิบครั้ง ข้าก็เห็นบางอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ภายใต้คลื่นแสงที่สูงใหญ่และแข็งแรงนั้นมีร่างของคนคนหนึ่งที่ถูกมัดไว้ด้วยโซ่สีทองแดงอยู่บนเสาหินแต่มันจะต้องไม่ใช่ทองแดงอย่างแน่นอนเพราะถ้าเป็เช่นนั้นร่างกายกล้ามเนื้อและิัเหี่ยวเฉานั่นจะต้องหลอมเหลวไปแล้วอย่างแน่นอนร่างที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกหลับตาอยู่และแผ่ซ่านกลิ่นอายของความน่าเกรงขามและหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
่เวลานั้นเองเขาก็ลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลันราวกับรู้ว่าข้าพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพลังนั้น ก่อนจะยิ้มอย่างน่าขยะแขยง
“อ๊ากกก!”
ร่างกายร้อนรุ่มราวกับโดนไฟโหมไหม้ไปทั่วร่างราวกับว่ามันพร้อมที่จะะเิออกมาอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น!”
ข้าลืมตาขึ้นกลับพบว่าเทพศาสตราวุธสาวตรงหน้าก็กำลังตื่นตระหนกจนมือไม้อ่อนเปลวไฟลุกโชนไปทั่วร่างเผยให้เห็นผิวเนื้อภายใต้เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางที่ตอนนี้โดนแผดเผาจนหมดสิ้น
“เอ่อ...”
ข้าชะงักไปชั่วขณะช่างเป็สัดส่วนที่กินใจยิ่งนัก
เป็ไปไม่ได้นี่จะต้องไม่ใช่ผู้หญิงที่อายุสามสิบอย่างแน่นอน!
“ห้ามมองเด็ดขาด!”
นางพูดพลางยกมือซ้ายปิดบังหน้าอกของตัวเองใบหน้ารูปไข่เต็มไปด้วยอาการโมโหและเขินอายระคนกัน ร่างบางเปล่งแสงราวกับเปลวไฟก่อนจะกลายเป็ชุดเกราะเช่นเดิม ร่างบางเดินเข้ามาหมัดขวาที่เร็วปานลมพุ่งซัดเข้าที่เบ้าตาก่อนมันจะแดงเรื่อเป็รอยใหญ่
“ปัง!”
สมองขาวโพลนและสลบล้มไปอย่างไม่ได้สติทันที