ขณะที่จางเจิ้นอันก้าวฝ่าม่านฝนออกไป อันซิ่วเอ๋อร์ก็รีบลุกตามไปส่งที่หน้าประตู จางเจิ้นอันโบกมือไล่ให้นางกลับเข้าบ้านไป พลางกำชับว่า “ข้างนอกฝนตกหนัก เ้าเข้าไปเถิด ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับ แต่สุดท้ายก็จำต้องถอยกลับเข้าไปในบ้านแต่โดยดี
นางยืนมองจนกระทั่งร่างของจางเจิ้นอันเลือนหายไปในสายฝนและความมืดมิด
อันซิ่วเอ๋อร์ทิ้งตัวลงบนที่นอนฟาง แม้จะมีผ้าห่มผืนบางปูทับไว้ แต่ความหยาบสากของฟางก็ยังคงระคายผิว ทว่านางคุ้นชินกับความรู้สึกนี้เสียแล้ว
เมื่อผ้าห่มที่มีอยู่ถูกนำไปใช้ปูรองนอน ในบ้านจึงไม่มีผ้าห่มผืนอื่นให้นางใช้คลายหนาว นางทำได้เพียงขดกายบนที่นอนฟาง รู้สึกถึงลมหนาวที่พัดแทรกเข้ามาเป็ระลอก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้
นางจึงลุกขึ้นจากที่นอน เดินวนไปเวียนมาอย่างไร้จุดหมายในห้องครัวที่ทั้งคับแคบและมืดสลัว แม้จะจุดเทียนไขแล้ว แสงสว่างก็ยังคงริบหรี่ อันซิ่วเอ๋อร์อยู่เพียงลำพังในห้องนี้ รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจเดินไปยังตู้เก็บของ คุ้ยหาแป้งสาลีออกมา เตรียมจะทำขนมเปี๊ยะชิ้นเล็กๆ ไว้สำหรับมื้อเช้า
นางเริ่มนวดแป้ง ใส่ผงฟูลงไปเล็กน้อย แล้วอาศัยไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในเตาหลังจากทำบะหมี่เมื่อตอนค่ำ เริ่มต้มน้ำ นางไม่ได้รีบร้อน เพียงค่อยๆ เติมฟืนไปพลาง นำเสื้อผ้าและรองเท้าที่เปียกชื้นมาอังไฟให้แห้งไปพลาง รอจนเสื้อผ้าเริ่มแห้งหมาดๆ น้ำในหม้อก็เริ่มเดือดปุดๆ
ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์ยังไม่ลงมือนวดแป้งต่อ นางกลับนำขี้เถ้ามากลบไฟในเตาให้เหลือเพียงถ่านแดงๆ วางก้อนแป้งที่นวดไว้ข้างๆ จากนั้นจึงสวมหมวกสาน คว้ากระป๋องเหล็กเก่าๆ ใบหนึ่ง จุดเทียนไข แล้วนำกระป๋องครอบเทียนไว้เพื่อกันลม ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าออกไปนอกบ้าน
นางนึกเป็ห่วงจางเจิ้นอันที่ออกไปนานแล้ว จึงอยากจะออกไปยืนรอเขาที่หน้าประตู สายฝนด้านนอกยังคงกระหน่ำหนัก ลมพัดแรงจนเปลวเทียนในมือนางสั่นไหวเกือบจะดับ นางต้องใช้กระป๋องเหล็กคอยบังลมไว้อย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็พอจะต้านทานแรงลมไว้ได้ จึงถือเทียนเดินไปยังหน้าประตูอย่างทุลักทุเล
นางยืนรออยู่หน้าประตูชั่วครู่ แต่ก็ยังไร้วี่แววของจางเจิ้นอัน ความกระวนกระวายเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ น้ำตาเทียนร้อนๆ หยดลงบนหลังมือซ้ายที่ถือเทียนอยู่ แสบร้อนจนนางเกือบจะเผลอร้องออกมา ทว่ามือขวายังคงประคองกระป๋องเหล็กไว้แน่น ไม่สามารถปล่อยมือมาปัดน้ำตาเทียนออกไปได้ ทำได้เพียงทนรอให้น้ำตาเทียนค่อยๆ เย็นลง จนจับตัวเป็ก้อนแข็งติดอยู่บนผิว
นางเพ่งมองฝ่าความมืดไปรอบๆ แต่แสงเทียนอันน้อยนิดส่องไปได้ไม่ไกลนัก สายฝนสาดซัดเฉียงเข้ามาปะทะร่างกาย เสียงฝนดังเซ็งแซ่ก้องอยู่ในหูจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด อันซิ่วเอ๋อร์ยืนรออยู่เช่นนั้นอีกครู่ใหญ่ พลันร่างเงาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน
จางเจิ้นอันมองเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ยืนถือเทียนอยู่หน้าประตูแต่ไกล ท่ามกลางสายฝนพร่างพรม แสงเทียนริบหรี่ส่องสว่าง ก่อเกิดเป็ม่านแสงเรืองรองรอบกาย นางสวมหมวกสานใบใหญ่จนแทบบดบังใบหน้า เผยให้เห็นเพียงปลายคางเรียวเล็ก ร่างทั้งร่างดูบอบบางราวกับดอกไม้ ที่กำลังต้องลมฝน ช่างเป็ภาพสาวงามบอบบางที่ยืนหยัดท้าลมฝนอย่างน่าทะนุถนอม
เมื่อเห็นนางยืนตัวสั่นด้วยความหนาว เขาก็ไม่คิดสิ่งใดอีก รีบสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาง
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกถึงเงาคนตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็จางเจิ้นอัน ดวงตาที่ฉายแววกังวลก็พลันโค้งลงเป็รูปจันทร์เสี้ยว “ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเ้าคะ ข้านึกขึ้นได้ว่าตอนท่านออกไป ไม่ได้ถือคบไฟไปด้วย ข้ากลัวท่านมองทางไม่เห็น จึงออกมารอรับเ้าค่ะ”
“รอนานแล้วสินะ?” จางเจิ้นอันเอื้อมมือไปกุมมือนาง พลางเหลือบมองกระป๋องเหล็กในมืออีกข้างของนาง ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ เขาหยิบกระป๋องเหล็กจากมือนางมาถือไว้เอง ใช้มือข้างหนึ่งป้องลมให้เทียน อีกมือหนึ่งกุมมือนางไว้แน่น เดินนำกลับเข้าบ้าน
เมื่อกลับมาถึงห้องครัว เขาวางเทียนไขไว้บนขอบเตา พอเห็นว่าเสื้อผ้าของอันซิ่วเอ๋อร์เปียกชื้นไปทั้งตัว เขาก็ขมวดคิ้วทันที “บอกให้เ้าพักผ่อนอยู่ในบ้านไม่ใช่หรือ? ฝนตกหนักเช่นนี้ ไยจึงดื้อดึงออกมาตากฝนรอข้าเล่า ดูสิ มือเ้าเย็นเฉียบไปหมด เสื้อผ้าก็เปียกปอนไปทั้งตัวแล้ว”
เขาพานางไปนั่งบนม้านั่งตัวเล็กข้างเตา คว้ากระบอกไม้ไผ่มาเป่าลมไล่ขี้เถ้า ก่อไฟในเตาให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง จางเจิ้นอันดึงมือนางมาอังไฟ พลางใช้ฝ่ามือใหญ่ของตนกอบกุมมือนางไว้ ถูเบาๆ เป่าลมหายใจอุ่นๆ รด แล้วคลึงเคล้นเพื่อคลายความหนาว
อันซิ่วเอ๋อร์นั่งฟังเสียงบ่นที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยดังอยู่ข้างหู เงยหน้ามองการกระทำของเขา ความอบอุ่นพลันเอ่อล้นขึ้นมาในใจ จางเจิ้นอันรู้สึกถึงสายตาของนาง ก็เกิดอาการเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย จึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่นนิดๆ เอ่ยถามแก้เก้อว่า “เ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม?”
“ไม่มีอะไรเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าฝ่ามือหยาบกร้านของเขากำลังเสียดสีจนหลังมือของนางรู้สึกเจ็บระคาย นางเพียงรู้สึกว่าััจากมือที่อบอุ่นคู่นั้นมอบความรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด
“เมื่อครู่นี้ เ้ากำลังอังผ้าอยู่หรือ?” จางเจิ้นอันเหลือบมองโครงไม้ไผ่ข้างๆ เตา พยายามหาเื่อื่นคุย
กระด้งไม้ไผ่นี่เป็ของใช้เฉพาะในบ้านชาวนา สำหรับอบผ้าโดยเฉพาะ ในฤดูใบไม้ผลิที่ฝนพรำไม่ขาด ผ้ามักจะแห้งไม่สนิท หากนำกระด้งไม้ไผ่นี้วางครอบบนเตาถ่าน แล้ววางผ้าไว้้า ไม่เพียงป้องกันผ้าตกลงไปในถ่านไฟ แต่ยังช่วยให้ผ้าแห้งได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็ของจำเป็ในทุกครัวเรือนเลยทีเดียว
“อืม” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า “ข้าไม่อยากเปลืองถ่าน เลยใช้ฟืนแทน จุดไฟแล้วก็ถือโอกาสต้มน้ำไปด้วย ท่านเพิ่งกลับมาจากข้างนอก อยากจะอาบน้ำล้างตัวสักหน่อยหรือไม่เ้าคะ?”
“ก็ดีเหมือนกัน” จางเจิ้นอันพยักหน้าเห็นด้วย ลุกขึ้นไปตักน้ำจากในหม้อ บังเอิญเหลือบไปเห็นก้อนแป้งสาลีที่อันซิ่วเอ๋อร์นวดทิ้งไว้ข้างๆ จึงเอ่ยถาม “พรุ่งนี้เช้าจะกินขนมเปี๊ยะรึ?”
อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง “ข้าว่าจะทำเผื่อไว้เยอะหน่อย หากท่านพ่อท่านแม่มา แม้พวกเขาจะไม่ยอมกินข้าวที่บ้านเรา อย่างน้อยให้กินขนมเปี๊ยะสักชิ้นสองชิ้น พวกเขาก็คงไม่ปฏิเสธกระมัง ไม่เช่นนั้น ปล่อยให้พวกเขามาช่วยงานเราเปล่าๆ ข้ารู้สึกผิดเหลือเกินเ้าค่ะ”
“ข้าเองก็รู้สึกผิดเช่นกัน ที่ต้องรบกวนพ่อตาแม่ยายมาช่วยงานอยู่เรื่อย” มือที่กำลังตักน้ำของจางเจิ้นอันชะงักไปครู่หนึ่ง “ทำเยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน ว่าแต่ แป้งสาลีที่บ้านเราจะพอหรือ?”
“พอเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารีบตอบ “น่าจะยังเหลืออีกหลายชั่งอยู่”
จางเจิ้นอันรู้ดีว่าอันซิ่วเอ๋อร์เป็คนประหยัดจนติดเป็นิสัย จึงกล่าวเสริมว่า “ไม่เป็ไร เ้าใช้ไปเถิด เื่อาหารการกิน ไม่ต้องมัธยัสถ์จนเกินไปนัก”
“ข้ารู้แล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จางเจิ้นอันมองนางอย่างงุนงง “เ้าหัวเราะเื่อันใด?”
“ไม่มีอะไรเ้าค่ะ แค่นึกถึงที่คนในหมู่บ้านชอบนินทาลับหลังว่าข้าเป็ฮูหยินน้อยผลาญทรัพย์ แต่ท่านกลับยังบอกว่าข้าประหยัด ที่จริงแล้ว ในหมู่บ้านนี้คงไม่มีแม่บ้านคนไหนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปกว่าข้าอีกแล้วกระมัง”
อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยอธิบาย ทว่าสีหน้าของนางกลับไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอันใดเลย เห็นได้ชัดว่าคำพูดเ่าั้ของชาวบ้านทำอะไรนางไม่ได้ นางเพียงแต่เก็บมาเล่าเป็เื่ขบขันเท่านั้น
ทว่าจางเจิ้นอันกลับมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา เขาเอ่ยหนักแน่นว่า “เ้าอย่าไปฟังคำพูดของพวกเขา เ้าเป็ภรรยาของจางเจิ้นอัน อยากจะใช้จ่ายอย่างไรก็ตามแต่ใจ ไม่ต้องเก็บคำพูดไร้สาระของคนพวกนั้นมาใส่ใจ”
“ข้ารู้แล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า พอได้ยินจางเจิ้นอันกล่าวเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ บอกตามตรง จนถึงตอนนี้ นางก็ยังคงแอบกังวลอยู่ลึกๆ ว่าจางเจิ้นอันจะตำหนิเื่ที่นางใช้จ่ายค่อนข้างมาก ทว่าโชคดีที่ท่าทีของเขาเสมอต้นเสมอปลาย บ่งบอกว่าเขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้น
จางเจิ้นอันตักน้ำร้อนมาครึ่งถัง ผสมกับน้ำเย็น แล้วจึงยกถังน้ำออกไปล้างหน้าล้างตัวข้างนอก อันที่จริง ปกติแล้วพวกเขาจะอาบน้ำล้างตัวกันในห้องครัวนี่เอง แต่เขาไม่อยากทำพื้นห้องครัวที่เพิ่งจะดูดีขึ้นมาหน่อยต้องเปียกแฉะ จึงยอมออกไปทนหนาวรับลมอยู่ด้านนอก
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาเดินออกไป ก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วหยิบเสื้อผ้าของเขาขึ้นมาอังไฟต่อ รอไม่นานนัก เสียงเรียกของเขาก็ดังมาจากข้างนอก “ซิ่วเอ๋อร์ ช่วยเอาเสื้อผ้ามาให้ข้าที”
“อืม” อันซิ่วเอ๋อร์ขานรับ ลุกขึ้นยืน ถือเสื้อผ้าที่อังจนอุ่นแล้วเดินไปยังหน้าประตู ยื่นมือส่งเสื้อผ้าออกไปในความมืด นางยัดเสื้อผ้าใส่มือเขา พลางเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่านรีบหน่อยนะเ้าคะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
นางเพิ่งกล่าวจบ จางเจิ้นอันก็ก้าวพรวดเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านาง เขาเพียงนุ่งกางเกงขาสั้นหลวมๆ ตัวเดียวเท่านั้น เมื่อเห็นท่อนบนเปลือยเปล่าของเขา อันซิ่วเอ๋อร์ก็อดหน้าแดงวาบไม่ได้
จางเจิ้นอันเห็นท่าทีเขินอายของอันซิ่วเอ๋อร์ ก็รู้สึกพึงพอใจอยู่ลึกๆ อันซิ่วเอ๋อร์รีบก้มหน้าลง ทว่าสายตาก็ยังเผลอชำเลืองมองร่างกายของเขาอยู่ดี ภายใต้แสงเทียนริบหรี่ ผิวของเขาดูมีน้ำมีนวลขึ้น หลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ผิวกายยังคงแดงเรื่อจางๆ ซึ่งปกติจะมองไม่เห็น แต่เมื่ออยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเช่นนี้ กลับมองเห็นมัดกล้ามเนื้อและแผงอกกำยำได้อย่างชัดเจน
“เป็อันใดไป มองจนตะลึงแล้วรึ?” จางเจิ้นอันโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยหยอกเย้า
แม้ปกติจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันอยู่แล้ว แต่การต้องมาเผชิญหน้า มองเขาในสภาพกึ่งเปลือยเช่นนี้ตรงๆ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าอยู่ดี นางรีบหมุนตัวหนี ก้มหน้างุด เอ่ยแก้เกี้ยวเสียงอ้อมแอ้มว่า “พูดจาเหลวไหล รีบใส่เสื้อผ้าเสียเถิดเ้าค่ะ”
เมื่อรู้ว่าภรรยาน้อยของตนขี้อาย จางเจิ้นอันก็ไม่ได้แกล้งนางต่อ เขาสวมชั้นในทับลงไปอย่างไม่ใส่ใจนัก อันซิ่วเอ๋อร์รอจนเห็นว่าเขาแต่งกายเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยหันหน้ากลับมา เหลือบมองค้อนเขาเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วเดินกลับไปนั่งข้างเตาไฟ
“วันนี้เ้าก็โดนฝนมาเหมือนกัน ไปอาบน้ำเสียเถิด ข้าว่าน้ำร้อนยังเหลืออยู่อีกมาก” จางเจิ้นอันเอ่ยแนะนำ
“ไม่อาบเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้าทันควัน จะให้นางถอดเสื้อผ้าอาบน้ำต่อหน้าจางเจิ้นอัน นางก็ยังคงทำใจไม่ได้อยู่ดี ปกติแม้จะเคยเปิดเผยร่างกายต่อกัน ก็ล้วนแต่อยู่ใต้ผ้าห่มทั้งสิ้น
“เ้ายังจะอายอะไรอีก?” จางเจิ้นอันมองนางอย่างนึกขัน “เดี๋ยวข้าหันหลังให้ ไม่แอบมองเ้าแน่นอน เ้าอาบไปเถิด”
“ข้าไม่เชื่อท่านหรอก” อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อน
“เ้าไม่ไว้ใจข้ารึ?” จางเจิ้นอันเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “วางใจเถิด อย่างไรเสียเ้าก็เป็คนของข้าแล้ว ข้าจะมองเ้าบ้าง ก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน เ้าไม่ได้เสียเปรียบเสียหน่อย”
ยามที่เขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ไม่ได้มีท่าทีเ้าเล่ห์หรือทะเล้นเหมือนบุรุษอื่น กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมเป็ปกติ น้ำเสียงก็ราบเรียบยิ่งนัก ทว่ายิ่งทำให้แก้มของอันซิ่วเอ๋อร์ร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม นางเอ่ยประชดเบาๆ “อย่างไรเสีย ถ้าบ้านยังซ่อมไม่เสร็จ ข้าก็จะไม่ยอมอาบน้ำเด็ดขาด ต่อให้ตัวเหม็นตายก็ช่าง!”
“เช่นนั้นได้อย่างไร ภรรยาของข้าต้องตัวหอมกรุ่นสิ” จางเจิ้นอันกล่าวกลั้วหัวเราะ พลางลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นข้าออกไปนั่งรอที่ห้องโถงก่อนก็แล้วกัน เ้าปิดประตูแล้วค่อยอาบ อย่างนี้เ้าคงสบายใจแล้วกระมัง”
เขาเองก็ไม่เข้าใจนักว่าความขี้อายของสตรีนั้นมาจากไหน ร่างกายก็เป็ของสามีแล้ว ให้มองเสียหน่อยจะเป็ไรไป? ทว่าเขาก็ไม่อยากทำให้อันซิ่วเอ๋อร์ต้องลำบากใจ จึงทำได้เพียงยอมถอยให้นางแต่โดยดี
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาเดินออกไป ก็รู้สึกผ่อนคลายลง นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตักน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ พอเปิดประตูเตรียมจะเรียกเขาเข้ามา ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อพบว่าเขายืนรออยู่หน้าประตูพอดี
