ยามนี้คือ่ต้นฤดูใบไม้ผลิ สรรพสิ่งกำลังผลิบาน มองออกไปสุดลูกหูลูกตา ทั่วทุ่งนาล้วนเขียวขจี ช่างน่าเบิกบานใจ อันซิ่วเอ๋อร์หิ้วตะกร้า ก้าวย่างเบาๆ ไปตามคันนา จิตใจก็พลอยเบิกบานตามไปด้วย
เหล่าชาวนากำลังก้มหน้าก้มตาปักกล้าดำข้าวอยู่ในนา ตระกูลอันมีที่นาอยู่ห้าหมู่ เป็ที่นาที่ทำกินกันมานานหลายปี จึงมีฐานะเพียงปานกลาง ทุกปีพ่อเฒ่าอันกับพี่ชายรองต่างตรากตรำทำงานในนา แต่ผลผลิตที่ได้ก็ไม่มากนัก เมื่อหักจ่ายภาษีต่างๆ แล้ว ก็เหลือพอแค่ประทังชีวิตไปวันๆ
เบื้องหน้าไม่ไกลนักคือผืนนาของตระกูลตน อันซิ่วเอ๋อร์เร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด มองเห็นพ่อเฒ่าอันและอันเถี่ยมู่แต่ไกล นางจึงส่งเสียงเรียก "ท่านพ่อ พี่รอง พี่สะใภ้รอง ข้าเอาอาหารมาส่งเ้าค่ะ..."
น้ำเสียงของนางแจ่มใสไพเราะ อ่อนหวานละมุนละไม ราวกับเสียงนกหวงอิงขับขาน พ่อเฒ่าอันได้ยินก็รู้สึกเบิกบานใจ ทุกครั้งที่ได้เห็นบุตรีคนนี้ จิตใจของเขาก็พลอยชื่นบานไปด้วย การมีลูกสาวในวัยชรา ทำให้เขารักและทะนุถนอมอันซิ่วเอ๋อร์ประดุจแก้วตาดวงใจ
"ซิ่วเอ๋อร์มาส่งอาหารแล้ว พวกเ้าพักกันก่อนเถิด" กล่าวจบ เขาก็พยายามยืดตัวลุกขึ้นจากผืนนา
ด้วยอายุที่มากแล้ว การต้องก้มๆ เงยๆ อยู่ในนาครึ่งค่อนวัน ทำให้ตอนนี้เขายืดตัวตรงได้ยากลำบาก ยังดีที่อันเถี่ยมู่ผู้เป็บุตรชายรีบเข้ามาประคอง จึงลุกขึ้นยืนตรงได้โดยง่าย อันเถี่ยมู่ประคองบิดาไปยังริมคันนา
"ท่านพ่อ ท่านเป็อะไรหรือไม่เ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์รีบวางตะกร้าลง เดินเข้าไปช่วยประคองพ่อเฒ่าอันให้นั่งลง
พ่อเฒ่าอันออกไปทำงานั้แ่เช้าตรู่ อันซิ่วเอ๋อร์เพิ่งผ่านพ้นฝันร้ายนั้นมา ยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของคนในครอบครัว ยามนี้เมื่อได้เห็นสภาพของบิดา ทั้งเส้นผมที่ขาวโพลน ร่างกายที่งองุ้ม ดวงตาก็พลันร้อนผ่าว เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา
"เด็กโง่เอ๋ย ร้องไห้ทำไมกัน พ่อไม่เป็อะไร" เห็นอันซิ่วเอ๋อร์ดวงตาแดงก่ำ พ่อเฒ่าอันก็รู้สึกเ็ปในใจ รีบยื่นมือออกไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้ แต่พอเห็นว่ามือตนเปื้อนโคลน จึงต้องชักมือกลับอย่างจนใจ แล้วทำได้เพียงถูมือตนเองไปมา กล่าวว่า "ซิ่วเอ๋อร์ เ้าอย่าร้องไห้เลย"
"ข้าไม่ได้ร้องไห้เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า ใช้หลังมือเช็ดหยาดน้ำตา กล่าวว่า "เพียงแต่เห็นท่านพ่ออายุมากแล้วยังต้องทำงานในนา ข้าก็รู้สึกสงสารจับใจ"
"ใครว่าพ่ออายุมาก? พ่อยังหนุ่มแน่นอยู่เลย" พ่อเฒ่าอันแสร้งทำเสียงเข้ม กล่าวว่า "ตาจางข้างบ้านอายุตั้งเจ็ดสิบแล้ว ยังลงนาทำงานไหว พ่อของเ้าเพิ่งจะหกสิบกว่าเท่านั้นเอง"
หากพ่อเฒ่าอันไม่เอ่ยขึ้นมาก็แล้วไป แต่พอเขาพูดเช่นนี้ อันซิ่วเอ๋อร์กลับยิ่งรู้สึกเ็ปใจ เห็นชัดว่าเขาเพิ่งจะอายุหกสิบกว่าปี แต่ไม่ว่าใครเห็นก็คงคิดว่าเป็ชายชราวัยเจ็ดสิบ ทั้งหมดนี้เป็เพราะเขาตรากตรำทำงานหนักเพื่อครอบครัวมากเกินไป
ต่งซื่อผู้เป็พี่สะใภ้รองเดินกลับมาจากล้างมือที่ริมธารพอดี เห็นอันซิ่วเอ๋อร์กำลังน้ำตาคลอ จึงหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น "น้องหญิง มาส่งอาหารให้พวกเราไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงร้องไห้เสียล่ะ?"
ได้ยินดังนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง นางรีบเช็ดน้ำตา ประคองพ่อเฒ่าอัน "ใช่แล้วเ้าค่ะ ท่านพ่อ พี่รอง พวกท่านรีบไปล้างมือเถิด วันนี้ข้ามาส่งอาหารช้าไป คงจะหิวกันแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?"
ลำธารอยู่ไม่ไกลจากผืนนาของตระกูลอันนัก เวลาทำงานเสร็จหรือพักผ่อน พวกเขามักจะไปล้างมือล้างเท้าให้สะอาด แล้วจึงปล่อยขากางเกงที่พับขึ้นไว้ลง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเย็นจนเป็หวัด
ขณะที่พ่อและพี่ชายกำลังเดินไปยังริมธาร อันซิ่วเอ๋อร์ก็เปิดกล่องอาหาร ตักอาหารใส่ชามให้พวกเขา ต่งซื่อเห็นว่าวันนี้มีทั้งปลาทั้งเนื้อ ก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เอ่ยถามว่า "ซิ่วเอ๋อร์ วันนี้เป็วันอะไรกัน เหตุใดอาหารจึงดีถึงเพียงนี้?"
"พอดีจางเจิ้นอันมาที่บ้านเรา เขาเป็คนเอามาฝาก ข้ากลัวทิ้งไว้นานจะไม่สด เลยให้ท่านแม่นำปลามาต้มตัวหนึ่ง แล้วก็นึกว่าพี่รองกับพี่สะใภ้ทำงานเหนื่อย เลยให้ท่านแม่หั่นเนื้อมานิดหน่อย นำไปนึ่งให้พวกท่านกิน" อันซิ่วเอ๋อร์อธิบาย พลางคีบเนื้อชิ้นหนึ่งจากจานกับข้าวใส่ลงในชามของต่งซื่อ ยิ้มแล้วกล่าวว่า "กินเถิด พี่สะใภ้"
"นี่..." คนในยุคสมัยนั้นมักไม่ค่อยใส่ใจลูกสะใภ้นัก ตระกูลอันเองก็ไม่ได้ร่ำรวย ั้แ่ต่งซื่อแต่งเข้ามา แทบจะนับครั้งได้ที่ได้กินเนื้อ ดังนั้นเมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์คีบเนื้อมาให้ นางจึงรู้สึกตื้นตันจนจุกอยู่ในอก
กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง อันซิ่วเอ๋อร์กลับหันไปโบกมือเรียกพ่อเฒ่าอันและอันเถี่ยมู่ "ท่านพ่อ พี่รอง พวกท่านรีบขึ้นมาเร็วเข้าเ้าค่ะ"
"มาแล้วๆ" ทั้งสองเดินขึ้นมาจากทางลาด อันซิ่วเอ๋อร์ก็ส่งชามข้าวที่ตักเตรียมไว้ให้ พ่อเฒ่าอันเห็นกับข้าวก็มองอันซิ่วเอ๋อร์อย่างสงสัยเช่นกัน กล่าวว่า "เหตุใดวันนี้จึงมีเนื้อด้วยเล่า?"
"ก็ท่านแม่เป็ห่วงท่านเป็พิเศษน่ะสิเ้าคะ ถึงได้ทำให้ท่านทาน" อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้อธิบายยืดยาว เพียงตอบไปเช่นนั้น "ท่านกินเถิด นี่ ยังมีปลาอีก ท่านทำงานเหนื่อย กินเยอะๆ หน่อยนะเ้าคะ"
"แล้วซิ่วเอ๋อร์ เ้ากินข้าวมาแล้วรึยัง?" พ่อเฒ่าอันถามขึ้น
"ยังเ้าค่ะ เดี๋ยวข้ากลับไปกินพร้อมท่านแม่" อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ
"อืม" พ่อเฒ่าอันพยักหน้า แล้วก้มหน้าก้มตากินเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย พอกินข้าวกล้องหมดชาม เขาก็กวักมือเรียกอันซิ่วเอ๋อร์ที่ยืนมองอยู่ข้างๆ "มา มานี่ซิ่วเอ๋อร์ มานี่หน่อย"
"มีอะไรหรือเ้าคะ ท่านพ่อ?" อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าไปหา
พ่อเฒ่าอันคีบเนื้อชิ้นหนึ่งจากในชามของตน หวังจะป้อนให้อันซิ่วเอ๋อร์ เขากล่าวว่า "มา อ้าปาก"
"ข้าไม่กินเ้าค่ะ ในบ้านยังมีอีกเยอะ" อันซิ่วเอ๋อร์รีบส่ายหน้า "ท่านพ่อกินเถิด ท่านแม่ตั้งใจทำให้ท่าน ท่านวางใจเถอะ ท่านแม่ดีกับข้าขนาดนี้ ในบ้านต้องเหลือไว้ให้ข้าแน่นอน"
"ท่านแม่ก็ส่วนท่านแม่ นี่ของพ่อ" พ่อเฒ่าอันยังคงดึงดัน
"เช่นนั้นข้าขอกัดคำเล็กๆ นะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์เห็นความรักที่พ่อมีให้ ในใจก็ซาบซึ้งยิ่งนัก จึงยื่นหน้าเข้าไป อ้าปากเล็กๆ ใช้ฟันขาวสะอาดกัดเนื้อไปเพียงมุมเล็กๆ
"อร่อยหรือไม่?" พ่อเฒ่าอันเห็นลูกสาวกินแล้ว ก็ยิ้มถาม ราวกับกำลังหยอกล้อเด็กหญิงตัวน้อยในวันวาน แม้แต่รอยย่นบนใบหน้าก็ยังอบอวลไปด้วยความรัก
"อร่อยเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า ค่อยๆ เคี้ยวเนื้ออย่างละเอียด นางรู้สึกว่าอร่อยมากจริงๆ ชีวิตอันขมขื่นในห้วงฝันร้ายนั้นทำให้นางหวาดกลัวอย่างยิ่ง ยามนี้เมื่อได้ลิ้มรสเนื้อชิ้นนี้ กลับรู้สึกถึงความหอมหวานที่ติดตรึงอยู่ในปาก แม้แต่ในใจก็ยังรู้สึกอิ่มเอมเป็สุข
"เช่นนั้นกินอีกคำไหม?" พ่อเฒ่าอันคีบเนื้อขึ้นมาอีกชิ้น หวังจะป้อนให้ลูกสาว
อันซิ่วเอ๋อร์รีบปฏิเสธ "ข้าไม่กินแล้ว ท่านพ่อกินเถิด ท่านรีบกินให้หมด ข้าจะได้รีบกลับบ้านไปกินข้าวบ้าง"
เมื่อเห็นว่าอันซิ่วเอ๋อร์ปฏิเสธอย่างจริงใจ พ่อเฒ่าอันจึงกินเนื้อชิ้นนั้นเอง
อาหารมื้อนี้รสชาติดียิ่งนัก พ่อเฒ่าอันและคนอื่นๆ ต่างกินจนหมดเกลี้ยง อันซิ่วเอ๋อร์รินน้ำให้พวกเขาดื่ม รอจนทุกคนกินเสร็จ นางก็เก็บถ้วยชามใส่ตะกร้า เตรียมตัวกลับบ้าน
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ก็พบต้ายาและเอ้อร์ยา หลานสาวทั้งสองคน กำลังถือตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าประตู นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จึงเดินเข้าไปถาม "ต้ายา เอ้อร์ยา พวกเ้ามายืนทำอะไรกันอยู่หน้าประตู? ทำไมไม่รีบเข้าบ้านไปกินข้าว"
ได้ยินเสียงทักจากด้านหลัง ต้ายาและเอ้อร์ยาสะดุ้ง พลันหันกลับมา เห็นว่าเป็อันซิ่วเอ๋อร์ ก็รีบก้มหน้าลงทันที สีหน้าหวาดกลัว เรียกเสียงเบาๆ ว่า "ท่านอา"
หลานสาวทั้งสองผมเผ้ายุ่งเหยิงแห้งกรอบ ร่างกายผ่ายผอม อันซิ่วเอ๋อร์เห็นสภาพพวกนางแล้วก็ไม่กล้าตำหนิ ได้แต่กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน "ทำไมไม่เข้าบ้านกันล่ะ?"
"พวกเราทำงานที่ท่านย่าสั่งยังไม่เสร็จ ถ้ากลับเข้าไป ท่านย่าต้องด่าแน่ๆ เ้าค่ะ" หลานสาวทั้งสองตอบพลางยกตะกร้าขึ้นให้อันซิ่วเอ๋อร์ดู ในตะกร้าของแต่ละคนยังว่างเปล่า มีเพียงหญ้าเลี้ยงหมูสีเขียวอยู่ครึ่งตะกร้า
"ทำไม่เสร็จก็คือทำไม่เสร็จสิ จะเป็ไรไป กลับไปกินข้าวก่อนเถอะ" อันซิ่วเอ๋อร์ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทั้งยังยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กทั้งสอง กล่าวว่า "ไปเถิด กลับเข้าบ้านพร้อมอานะ เดี๋ยวอาจะช่วยพูดกับท่านย่าให้เอง"
หลานสาวทั้งสองได้ยินอันซิ่วเอ๋อร์กล่าวเช่นนั้น จึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองเห็นสีหน้าอ่อนโยนของนาง ในใจก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แล้วจึงเดินตามหลังอันซิ่วเอ๋อร์เข้าไปในบ้าน
พอเข้ามาในบ้าน เหลียงซื่อก็รีบเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีสนิทสนม รับตะกร้าจากมืออันซิ่วเอ๋อร์ไปถือไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ซิ่วเอ๋อร์ เ้าคงหิวแล้ว รีบไปล้างมือกินข้าวเถอะ"
รอจนอันซิ่วเอ๋อร์เดินพ้นไป นางก็หันมาจ้องมองหลานสาวทั้งสองอย่างดุดัน พอเห็นว่าตะกร้าในมือพวกนางยังไม่เต็ม ก็ตวาดว่า "เ้าเด็กพวกนี้ ไม่ได้เื่จริงๆ ออกไปข้างนอกตั้งครึ่งค่อนวัน เพิ่งจะเก็บหญ้าเลี้ยงหมูมาได้แค่นี้รึ? เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!"
"ท่านย่า ก็คนเก็บหญ้ามันเยอะนี่เ้าคะ พวกเรา..."
ยังไม่ทันที่พวกนางจะอธิบายจบ เหลียงซื่อก็ตวาดขัดขึ้นมา "ไม่ต้องมาแก้ตัว! พวกเ้าทำไม่ได้ แล้วทำไมคนอื่นเขาทำได้? ดูอย่างชุนฮวาบ้านข้างๆ สิ ขยันขันแข็งแค่ไหน พวกเ้าสองคนนี่ มีแต่ผลาญข้าวไปวันๆ!"
"ท่านแม่เ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์ถือชามข้าวเดินออกมา วางลงบนโต๊ะ กล่าวพลางยิ้ม "ใครว่าต้ายากับเอ้อร์ยาบ้านเราไม่เก่งเท่าชุนฮวา ต้ายา เอ้อร์ยาบ้านเราก็เก่งออกนะเ้าคะ ท่านดูสิ อายุแค่นี้ก็ช่วยท่านทำงานได้แล้ว ต่อไปภายหน้า ท่านจะไม่ยิ่งสบายหรอกหรือเ้าคะ"
พอได้ฟังน้ำเสียงอ่อนโยนของอันซิ่วเอ๋อร์ อารมณ์ฉุนเฉียวของเหลียงซื่อก็พลันสงบลง นางถอนหายใจ กล่าวว่า "ข้าจะมีวาสนาได้พึ่งพาพวกนางได้อย่างไร ขอแค่ให้พวกนางเชื่อฟัง ในภายหน้าได้แต่งงานมีบ้านช่องดีๆ ข้าก็พอใจแล้ว"
พูดถึงตรงนี้ อารมณ์ของนางก็หม่นลงอีก เมื่อนึกถึงอันซิ่วเอ๋อร์ ทั้งรูปร่างหน้าตางดงามปานดอกไม้ ทั้งอุปนิสัยก็แสนอ่อนโยน จิตใจดีมีเมตตา เหตุใดวาสนาของนางจึงเป็เช่นนี้หนอ
ดวงตาเริ่มแดงก่ำเล็กน้อย เหลียงซื่อจึงแสร้งทำเป็จะไปตักข้าว ลุกขึ้นยืน เดินเลี่ยงไปยังห้องครัวด้านหลัง
รอจนนางเดินลับไป อันซิ่วเอ๋อร์ก็หันมายิ้มให้ต้ายาเอ้อร์ยา กล่าวว่า "ท่านย่าของพวกเ้าน่ะรักพวกเ้ามากนะ เพียงแต่ท่านอายุมากแล้ว ทุกวันยังต้องทำงานเหนื่อย พวกเ้าสองคนก็ต้องเห็นใจท่านหน่อย รู้หรือไม่?"
"รู้แล้วเ้าค่ะ" เด็กหญิงทั้งสองพยักหน้ารับคำ
อันซิ่วเอ๋อร์จึงยิ้มออกมาเช่นกัน ที่จริงแล้ว ในบ้านหลังนี้ เหลียงซื่อดีต่อนางมากที่สุดจริงๆ แม้แต่อันหรงเหอ หลานชายเพียงคนเดียว ก็ยังเทียบไม่ได้ ส่วนหลานสาวทั้งสองคนนี้ เหลียงซื่อก็แค่เลี้ยงดูไปตามหน้าที่ การถูกดุด่าว่ากล่าวจึงเป็เื่ปกติ ทว่าคนในหมู่บ้านสมัยนั้น มักจะเข้มงวดกับลูกสะใภ้และหลานสาวเป็ธรรมดา เมื่อเทียบกันแล้ว เหลียงซื่อก็นับว่าดีกว่าหลายๆ คนแล้ว
ไม่นานนัก เหลียงซื่อก็ยกข้าวมา อันซิ่วเอ๋อร์มองดูข้าวกล้องในชามของตนที่พูนสูงขึ้นมา ขณะที่ชามของหลานสาวทั้งสองคนและของเหลียงซื่อเองกลับมีเพียงครึ่งชาม แถม้ายังมีมันเทศแดงหัวใหญ่วางโปะอยู่
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ จึงรีบตักข้าวจากชามของตนไปใส่ในชามของเหลียงซื่อ กล่าวว่า "ท่านแม่ ข้ากินไม่หมดหรอก ท่านกินเยอะๆ หน่อยเถอะเ้าค่ะ"
"จะกินน้อยแค่นี้ได้อย่างไร?" เหลียงซื่อรีบใช้มือป้องชามของตนไว้ ไม่ยอมให้อันซิ่วเอ๋อร์ตักข้าวไปอีก กล่าวว่า "เ้ากินเยอะๆ นั่นแหละดีแล้ว แต่งกับเ้าจางเจิ้นอันนั่นไป ก็ไม่รู้ว่าคนรูปร่างใหญ่โตกำยำแบบนั้น จะดีกับเ้าหรือไม่"
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ฟังก็ยิ้ม ก็กล่าวว่า "ต้องดีสิเ้าคะ น้ำใจคนเราย่อมตอบแทนกัน หากข้าดีต่อเขา เขาก็ย่อมต้องดีต่อข้าเป็ธรรมดา"
"ก็ถูกของเ้า" เหลียงซื่อพยักหน้า แต่ในใจก็ยังคงเป็กังวล ลูกสาวคนนี้ช่างเชื่อฟังเกินไปนัก ต้องให้นางแต่งกับชายร่างใหญ่อย่างนั้น นางก็ไม่ปริปากบ่นสักคำ แถมยังคอยปลอบใจนางซ้ำๆ หากลูกสาวคนนี้ลองอาละวาดโวยวายขึ้นมาบ้าง บางทีนางอาจจะรู้สึกดีเสียกว่า แต่พอมองดูท่าทีที่ยอมตามทุกอย่าง ว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ จิตใจของนางกลับยิ่งรู้สึกขมขื่น
