มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวอวี่เดินออกจากห้องทรงพระอักษรที่แสนวุ่นวาย
ด้านนอกรถม้าสุดหรูที่พวกเขานั่งมาหายไปแล้ว
ยามนี้มีเพียงม้าเปินเหลยกับม้าเมฆาสองตัวที่ยืนอยู่เงียบๆ ในที่ของมัน พวกมันโดดเด่นยิ่งขึ้นภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น
ม้าเมฆาสีขาวนวลมีชื่อเสียงพอๆ กับม้าเปินเหลย อีกทั้งความเร็วในการวิ่งยังเทียบได้กับม้าเปินเหลย ซึ่งถือได้ว่าเป็ม้าที่ไม่อาจหาที่เปรียบได้
มู่จื่อหลิงทราบเื่หลังจากสอบถามหลงเซี่ยวอวี่ นางพบว่าหลังจากที่กุ่ยหยิ่งกับกุ่ยเม่ยขนของลงจากรถม้าไปพร้อมกับล่วมยาของนาง พวกเขาก็ติดตามเล่อเทียนไปเมืองหลงอันก่อนแล้ว
ยามนี้รถม้าถูกขนของออกไปหมดแล้ว มู่จื่อหลิงจึงรู้ว่าพวกเขากำลังจะเดินทางตรงไปยังเมืองหลงอัน
แต่...ม้าสองตัว? นี่นับเป็การปรับแต่งชุดตามความ้า [1] อย่างแท้จริง
แสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นในดวงตาของมู่จื่อหลิง
เนื่องจากเมื่อครั้งที่แล้วนางมีความคิดที่จะเรียนรู้วิธีขี่ม้า ทุกวันนี้นางจึงอ่านหนังสือและศึกษาด้วยตนเองในยามว่าง บางครั้งก็ยังถามฝูหลินกับกุ่ยเม่ยอีกด้วย จากนั้นนางก็เรียนรู้ที่จะขี่ม้าด้วยตนเองจากการวาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า [2]
กล่าวได้ว่า มู่จื่อหลิงมีพร์ที่หาตัวจับยากในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในเวลาเพียงไม่กี่วันนางก็สามารถเรียนรู้วิธีขี่ม้าได้โดยไม่ต้องมีผู้สอน
เมื่อครั้งที่นางกำลังเรียนรู้ ม้าที่นางขี่ล้วนเป็ม้าธรรมดา แต่ยามนี้มันเป็ม้าของฉีอ๋อง ซึ่งเป็ม้าที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่ปกติ หากนางขี่มัน...แค่คิดถึงมันทำให้นางรู้สึกว่าตนช่างมีบารมี น่าตื่นเต้นเป็อย่างยิ่ง
ม้าเมฆาไม่ธรรมดา ทั้งเย่อหยิ่งและน่าเกรงขาม ดูเหมือนว่าจะควบคุมได้ยาก แต่มู่จื่อหลิงมีความมั่นใจมากในการควบคุมม้าเมฆา ไม่ต้องพูดถึงว่ามีหลงเซี่ยวอวี่อยู่ด้วย นางยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า?
แม้ว่าทักษะการขี่ม้าในยามนี้ของนางจะยังไม่อยู่ในระดับทั่วไป ครั้งแรกอาจยังเก้ๆ กังๆ ครั้งที่สองจะชำนาญขึ้นเอง [3] เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะควบม้าไปยังเมืองหลงอันด้วยตัวนางเอง
หลงเซี่ยวอวี่มองดวงตาใสกระจ่างของมู่จื่อหลิงที่เฝ้ามองม้าเมฆา แล้วหันกลับมาทางตน ดวงตาของนางเป็ประกายด้วยความตื่นเต้น เขาจะไม่รู้ความคิดเล็กน้อยของนางได้อย่างไร
เขารู้ว่าหญิงตัวเล็กแสนฉลาดได้เรียนรู้ที่จะขี่ด้วยตนเองแล้ว
เดิมทีเขาตั้งใจจะให้หญิงตัวเล็กขี่ม้าเมฆา แต่ในกรณีเช่นนี้ เขาจะไม่สามารถขี่ม้าร่วมกับนางได้
ไม่อาจขี่ร่วมกันได้เช่นนั้นหรือ? เช่นนี้คุ้มไหม?
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หลงเซี่ยวอวี่ก็ยกเลิกความคิดที่จะให้มู่จื่อหลิงขี่ม้าด้วยตนเองในทันที
นั่นเป็เพราะคนเช่นเขา หลงเซี่ยวอวี่ผู้นี้จะไม่ลงแรงไปกับสิ่งที่เปล่าประโยชน์ หรือสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสีย
ความคิดในใจของหลงเซี่ยวอวี่ยังไม่สิ้นสุด จู่ๆ มู่จื่อหลิงซึ่งเดิมอยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ผละตัวออกจากเขา พูดอย่างตื่นเต้นว่า “หลงเซี่ยวอวี่ ม้าเมฆาเตรียมไว้ให้ข้าขี่ ใช่หรือไม่?”
แม้จะน่าสงสัย แต่มู่จื่อหลิงก็ยืนยันในใจของตนแล้ว
ดังนั้น ก่อนที่หลงเซี่ยวอวี่จะตอบ มู่จื่อหลิงก็วิ่งไปอยู่ข้างม้าเมฆาแล้ว นางถกกระโปรงขึ้น ก้าวไปบนโกลนม้า [4] แ่เบา การเคลื่อนไหวรวดเร็วเสร็จสิ้นในครั้งเดียว
ในยามนี้ นางกำลังเตรียมขึ้นม้าด้วยท่วงท่าน่ามอง...แต่ใครจะคาดคิด ในเวลาเดียวกัน ได้มีลมกระโชกแรงพัดผ่านหูของมู่จื่อหลิงในทันที นางรู้สึกถึงแรงที่โอบรัดเอว หลังจากนั้นนางก็อยู่บนหลังม้าแล้ว
แต่นี่กลับไม่ใช่ม้าเมฆา และไม่ใช่นางเพียงคนเดียว
ความเร็วของหลงเซี่ยวอวี่นั้นเร็วกว่าของมู่จื่อหลิง ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์พุ่งเข้าอุ้มมู่จื่อหลิงที่กำลังจะปีนขึ้นหลังม้าเมฆา พานางเคลื่อนไหวกลางอากาศ ก่อนขึ้นไปบนหลังม้าเปินเหลยโดยไม่พูดอะไร
“ข้าขี่ม้าเองได้ ปล่อยข้า ข้าอยากขี่เอง” เมื่อคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่ไม่รู้ว่านางสามารถขี่ม้าได้ มู่จื่อหลิงจึงรีบร้อนอธิบายในขณะที่พยายามดิ้นรน ด้วย้าหลุดพ้น
แต่มู่จื่อหลิงกลับไม่อาจขยับได้เลยแม้แต่น้อย...แขนเรียวแข็งแรงของหลงเซี่ยวอวี่โอบรอบเอวเรียวของนางไว้แ่า ตรึงนางไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่นจนไม่อาจเคลื่อนไหว
หลงเซี่ยวอวี่สามารถควบม้าออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ยามเผชิญหน้ากับหญิงตัวเล็กๆ ที่กระสับกระส่ายในอ้อมแขนของตน ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดเล็กยิ่งกว่าเล็บมือ ในยามนี้กลับขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
ในใต้หล้านี้มีเพียงมู่จื่อหลิงเท่านั้นที่สามารถทำให้ฉีอ๋องมีความอดทนได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เห็นเพียงหลงเซี่ยวอวี่ก้มหน้าลงอย่างอารมณ์ดี ลูบศีรษะของนางด้วยความเสน่หา จากนั้นจึงพยักหน้าจนชนเข้ากับจมูกสวยของนาง ค่อยๆ โน้มน้าว “เด็กดี วันนี้ม้าตัวนั้นอารมณ์ไม่ดี ไม่เหมาะต่อการขี่”
วันนี้ม้าอารมณ์ไม่ดีหรือ?
นี่มันเื่ไร้สาระอะไร? มู่จื่อหลิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็กลับมาตอบสนองทันที จากนั้นดวงตาของนางก็กะพริบโดยไม่รู้ตัว เงยหน้าขึ้นมองหลงเซี่ยวอวี่ ถามตามคำบอกเล่าของเขา “ท่านแน่ใจหรือว่าม้าอารมณ์ไม่ดี?”
วันนี้ม้าตัวไหนอารมณ์ไม่ดีหรือ? นอกจากนี้นางก็อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน มู่จื่อหลิงหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองหลงเซี่ยวอวี่โดยไม่กะพริบตา
ดวงตาเล็กมีแววโกรธเกรี้ยว มีคำถามและความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
ยามเผชิญกับดวงตาเล็กที่กะพริบถี่เช่นนี้ สีหน้าของหลงเซี่ยวอวี่กลับยังคงนิ่งสงบ ต่อให้เขาไท่ซานทรุดลงต่อหน้า แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนอยู่เช่นเดิม
เขายื่นมือออกมาบีบแก้มป่องของนางด้วยความรัก ดวงตาที่ในยามปกติมักจะเฉยชาเสมอถูกย้อมด้วยแสงนุ่มนวล เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็ส่งเสียงขึ้นจมูกเบาๆ หนึ่งครั้งว่า “อืม”
ฮะ? อืม อืมบ้าอืมบออะไรกัน มู่จื่อหลิงสบถในใจอย่างไม่พอใจ
ชายผู้นี้จะไม่ปล่อยให้นางขี่ม้าเพียงลำพัง จะมองเหตุผลทั้งที เหตุใดเขาถึงไม่คิดหาเหตุผลที่เหมาะสมกว่านี้สักหน่อย เห็นนางเป็เด็กอายุสามขวบหรือ? จริงๆ เลย!
ในตอนท้าย หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงท่าทางจริงจังเพื่อนำผลประโยชน์เข้าหาตนเอง น้ำเสียงดูอดทนมาก “วันนี้ม้าตัวนั้นอารมณ์ไม่ดีมาก หากเ้าอยากขี่ม้า การที่เราขี่ม้าตัวนี้ก็ไม่ต่างกันนัก”
ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็หยิบบังเหียนขึ้นมาแล้ว ทั้งยังส่งมันใส่มือของมู่จื่อหลิงอย่างเป็ธรรมชาติ ความหมายนั้นชัดเจนมาก
ฉีอ๋องทรงยืนกรานว่าฉีหวางเฟยสามารถขี่ม้าได้หากนาง้า แต่นางต้องขี่ม้าร่วมกับเขา ไม่เช่นนั้นก็สามารถกล่าวได้เพียงว่า ไม่มีสิทธิ์พูด!
มู่จื่อหลิงแอบกลอกตา ชายผู้นี้ช่างน่าสนใจ ดูท่าทางจริงจังของเขาสิ คนที่ไม่รู้ย่อมคิดว่าเขาเป็พยาธิตัวกลมในท้อง [5]
ในยามนี้แดดเปรี้ยงแต่ไม่ร้อนเลย แสงแดดสาดส่องลงมาบนใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ทำให้ใบหน้างดงามไร้ที่ติของเขาเต็มไปด้วยแสงที่พร่างพราวและน่าหลงใหล
ดวงตาใสของมู่จื่อหลิงกลอกไปมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้ว่าชายผู้นี้กำลังพูดเื่ไร้สาระด้วยท่าทีจริงจัง แต่ยามมองดวงตาสีเข้มของเขาที่เปล่งประกายด้วยแสงที่นุ่มนวล...เพียงชั่วพริบตา ยังคงเป็นางที่ต้องพ่ายแพ้
มู่จื่อหลิงตบมือใหญ่ที่ยังคงวางอยู่บนแก้มของนางโดยไม่รู้ตัว กล่าวออกมาด้วยความโกรธ ก่อนพยักหน้ายอมรับ จากนั้นจึงก้มหน้าลง พึมพำอีกครั้งเบาๆ “ครั้งนี้ช่างมันเถอะ ครั้งหน้าข้าจะขี่เอง”
ครั้งหน้า? หลงเซี่ยวอวี่ไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงยกมุมปากอย่างเงียบๆ มีรอยยิ้มจางๆ ในดวงตาสีหมึกของเขา แต่ความหมายในรอยยิ้มนั้นชัดเจน
ในยามนี้มู่จื่อหลิงจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อมีฉีอ๋องอยู่ข้างกาย ในครั้งต่อไปนางจะไม่มีโอกาสขี่ม้าด้วยตนเองเป็แน่
หลงเซี่ยวอวี่ทำให้ท่าทางของมู่จื่อหลิงมั่นคงอีกครั้ง มือใหญ่อบอุ่นของเขาจับมือเล็กของมู่จื่อหลิงที่กุมบังเหียนอยู่ แล้วดึงเบาๆ
ม้าเปินเหลยเงยหน้าขึ้น ร้องคำราม กางกีบเท้าทั้งสี่ออกทันที เคลื่อนตัวรวดเร็วดั่งกางปีกโผบิน กลายเป็ภาพติดตาในทันที......
-
ไทเฮาที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เนื่องจากการล้มก่อนหน้านี้ เกิดจาก ‘อุบัติเหตุ’ จนทำให้เก้าอี้หักอย่างกะทันหัน
ถูกต้อง ทุกคนในยามนี้คิดว่าไทเฮาทรงทำเก้าอี้พังลงด้วยพระนางเอง ส่วนต้นตอย่อมไม่มีใครกล้าตรวจสอบ
ทันทีที่ความโกลาหลนี้ปะทุขึ้น ห้องทรงพระอักษรอันเคร่งขรึมที่ซึ่งฮ่องเต้ใช้ในการทรงงานก็กลายเป็ความยุ่งเหยิง
นางกำนัลไม่กี่คนที่แต่เดิมคิดว่าฉีอ๋องจากไปแล้ว จึงเริ่มรู้สึกโล่งใจอย่างลับๆ จู่ๆ ก็ต้องใกลัวอีกครั้งเพราะไทเฮาทรงทำเก้าอี้พัง
คลื่นลมครั้งแล้วครั้งเล่าพัดผ่านในเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ
์ทรงทราบดีว่าสตรีบอบบางเช่นไทเฮาผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในวังหลวงอันลึกล้ำมาตลอดชีวิต นิ้วทั้งสิบของนางไม่เคยััน้ำในยามหนาว [6] สิ่งที่กลัวที่สุดคือความเจ็บป่วยและความเ็ปแม้เพียงเล็กน้อย
อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงเล็กน้อยนั้นไม่เป็อันตราย แต่ยามนี้บั้นท้ายของไทเฮาถูกเศษไม้แหลมคมขีดข่วนหลายรอย เืกระเซ็นบนชุดคลุมหงส์
ดังนั้นาแเพียงไม่กี่แผลเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ไทเฮาทรงเ็ปและกรีดร้องอย่างเจ็บเจียนตาย
เนื่องจากจุดที่ไทเฮาได้รับาเ็อยู่ในจุดลับที่น่าอับอาย ดังนั้นนอกจากไทเฮาแล้ว หมอหลวงหลินผู้มีสถานะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจึงไม่อาจลงมือทำสิ่งใดได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
ในท้ายที่สุด เขาทำได้เพียงสั่งให้ทหารองครักษ์สองสามคนหาเปลหาม เพื่อนำมาหามไทเฮาผู้กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้นร้องลั่นด้วยความเ็ป พาพระนางที่อยู่ในสภาพน่าอับอายกลับไปยังตำหนักโซ่วอัน
หลังจากค่ำคืนแห่งการทรมานทางจิตใจ ประกอบกับความทรมานทางร่างกายและจิตใจในยามเช้าตรู่ ในครั้งนี้ไทเฮาทรงเสด็จมาที่นี่ด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมเบิกบาน ก่อนจะเสด็จกลับมาราวกับคนกำลังจะสิ้นใจ
ไทเฮาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและโกรธแค้น ด้วยมีเพียงนางที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
เมื่อกลับมาถึงตำหนักโซ่วอัน ไทเฮารับสั่งให้คนเรียกหาองค์หญิงอันหย่าในทันที แต่กว่าองค์หญิงอันหย่าจะเสด็จมา หลังจากที่หมอหญิงใส่ยาให้ไทเฮาแล้ว ไทเฮาก็ทรงทนทรมานไม่ได้จนสลบไปเสียก่อน
หลังจากองค์หญิงอันหย่าทรงทราบเื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้นจากนางกำนัลที่ติดตามไทเฮา
แม้ว่าองค์หญิงอันหย่าจะทรงกังวลเื่ที่ไทเฮาพิโรธ แต่นางกลับสนใจทุกคำที่หลงเซี่ยวอวี่กล่าวในวันนั้นมากกว่า
ยามรู้ว่าไทเฮาทรงเสด็จไปหามู่จื่อหลิงและคนอื่นๆ องค์หญิงอันหย่าก็ทรงเสียใจที่ไม่ได้ติดตามไป ในขณะเดียวกันนางก็ดีใจมากที่ไม่ได้ตามไปด้วย
เพราะแม้ว่านางจะไม่ได้ยินกับหู แต่เพียงแค่นางได้ฟังนางกำนัลสองสามคนที่กำลังคุยกัน กล่าวได้ว่า ทุกคำพูดที่หลงเซี่ยวอวี่ใช้เพื่อปกป้องมู่จื่อหลิง แม้แต่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายกับไทเฮาของมู่จื่อหลิง สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้นางอิจฉาอย่างมาก
องค์หญิงอันหย่าไม่กล้าคิดฝันว่าหากอยู่ตรงนั้น นางจะถูกปลุกเร้าจนเจ็บป่วยอีกหรือไม่ นางเพิ่งรอดพ้นจากประตูนรก ซึ่งสิ่งนี้ทำให้นางยิ่งหวงแหนชีวิตมากขึ้นไปอีก
ฉีหวางเฟยเช่นนั้นหรือ? องค์หญิงอันหย่าประทับอยู่ข้างพระแท่นบรรทม ทอดพระเนตรไทเฮาที่ยังสลบไสลอยู่บนแท่นด้วยพระเนตรใสกระจ่าง ความสุขแปลกๆ ฉายแววในพระเนตรที่เหมือนกำลังแย้มพระสรวล
ยามนี้พระทัยของไทเฮาได้รับการกระตุ้นอย่างมากแล้ว การกระตุ้นนี้ย่อมเป็แรงหนุนให้ไทเฮาทรงเพิ่มพูนความเกลียดชังต่อมู่จื่อหลิงอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งนี้จึงไม่ได้ไร้ประโยชน์สำหรับอันหย่า ครั้งนี้ สิ่งที่นางตั้งตารอมานานหลายปีในที่สุดก็สามารถเป็จริงได้
ขณะที่องค์หญิงอันหย่ากำลังวางแผนอยู่ จู่ๆ ไทเฮาที่อยู่บนแท่นบรรทมก็ตื่นขึ้น...
“อูย…” หลังจากตื่นขึ้น ไทเฮาก็ทรงส่งเสียงร้องอย่างเ็ปออกจากพระโอษฐ์
ไทเฮาทรงประคองพระวรกายอ่อนแรงของนางไว้โดยไม่รู้ตัว ทรงเบิกพระเนตรแดงก่ำด้วยความกลัวที่ยังคงคั่งค้างอยู่ภายใน พระนางหอบหนักด้วยความใ...น่ากลัวมาก มันน่ากลัวจริงๆ......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ปรับแต่งชุดตามความ้า (量身定做) เป็สำนวน มีความหมายว่า การปรับแต่งผลิตภัณฑ์ตามความ้าของผู้บริโภค หรือการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ตามใจตนโดยไม่สนสิ่งใด
[2] วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า (依葫芦画瓢) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ลอกแบบ เลียนแบบหรือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
[3] ครั้งแรกอาจยังเก้ๆ กังๆ ครั้งที่สองจะชำนาญขึ้นเอง (一回生二回熟) เป็สำนวน มีความหมายว่า เวลาที่เจอหน้าใครครั้งแรกจะรู้สึกแปลกหน้า แต่พอเจอกันครั้งที่สองก็จะเกิดความคุ้นเคย หรือเวลาที่ทำอะไรเป็ครั้งแรกจะรู้สึกเก้ๆ กังๆ แต่พอทำเป็ครั้งที่สองก็จะชำนาญมากขึ้น
[4] โกลนม้า (马镫) เป็ห่วงที่ห้อยลงมาจากอานม้า ทั้งสองด้าน สำหรับสอดเท้ายันในเวลาขึ้นหรือขี่ม้า
[5] พยาธิตัวกลมในท้อง (肚子里的蛔虫) เป็สำนวน มีความหมายว่า รู้จักเป็อย่างดีจนเข้าใจได้ถึงความคิดและการกระทำของอีกฝ่าย หรือรู้เื่ภายในของผู้อื่นอย่างชัดเจนจนเกินไป
[6] นิ้วทั้งสิบไม่เคยััน้ำในยามหนาว (十指不沾阳春水) เป็วลี มีความหมายว่า คนที่มีชาติตระกูลดีไม่ต้องซักผ้าหรือทำงานบ้านเอง เป็ผู้ที่มีแต่คนคอยเอาอกเอาใจ นิยมใช้เรียกสตรีจากตระกูลที่มีอันจะกิน