ทั้งสองคนตื่นขึ้นเพราะเสียงะโของพนักงานขายตั๋ว
“ถึงแล้ว ถึงแล้ว ใครลงที่อำเภอชางเซิ่งรีบลงได้เลย!”
เมื่อสวี่ฮุ่ยตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของลู่ฉี่เสียน ส่วนลู่ฉี่เสียนยื่นแขนข้างหนึ่งออกมาโอบกอดเธอไว้
แค่นั้นยังไม่พอ เธอยังทิ้งรอยน้ำลายเล็ก ๆ ไว้บนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดของลู่ฉี่เสียนอีกด้วย
เธอรีบผละตัวออกจากอ้อมกอดของลู่ฉี่เสียน พลางพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ”
ลู่ฉี่เสียนก็ไม่คิดว่าตัวเองที่หลับไปจะกอดสวี่ฮุ่ยไว้ในอ้อมแขน
เขารู้สึกกระดากอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน “ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน” พูดจบแล้วลุกขึ้นลนลานลงจากรถเหมือนหลบหนีบางอย่าง
หลังลงจากรถ ลู่ฉี่เสียนก็ดูนาฬิกา ตอนนี้บ่ายสองโมงแล้ว ไม่รู้ว่าคุณย่าออกจากโรงพยาบาลหรือยัง
แต่เขาก็ยังไปโรงพยาบาลอยู่ดี
ห้องพักผู้ป่วยที่คุณย่าพักอยู่ว่างเปล่า มีเพียงพยาบาลสาวคนหนึ่งกำลังจัดเตียงอยู่
พยาบาลสาวเงยหน้าขึ้นมองลู่ฉี่เสียน ใบหน้าแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว “มารับคุณยายออกจากโรงพยาบาลใช่ไหมคะ คุณยายถูกคนกลุ่มใหญ่พากลับไปั้แ่ตอนเที่ยงแล้วค่ะ”
ในระหว่างที่คุณย่าลู่อยู่ในโรงพยาบาล พยาบาลสาวคนนี้มักจะเข้าออกห้องพักของคุณยายเพื่อฉีดยาและดูแลคุณยายลู่อยู่บ่อย ๆ
เธอเคยเจอลู่ฉี่เสียนหลายครั้งจึงจำเขาได้
ลู่ฉี่เสียนกล่าวขอบคุณแล้วออกจากโรงพยาบาลไปยังบ้านเก่าของสกุลลู่
เมื่อเขามาถึงบ้านเก่า ที่บ้านมีเพียงคุณย่ากับลู่ฉี่โหย่ว
คุณย่าลู่กำลังถักเสื้อไหมพรมอยู่ เมื่อเห็นเขาก็ถามว่า “ทำไมถึงมาช้าจัง แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง?”
“ยังครับ”
ป้าแม่บ้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดว่า “ฉันเก็บอาหารไว้ เดี๋ยวจะไปยกมาให้ค่ะ” พูดจบก็เดินไปทางห้องครัว
ลู่ฉี่โหย่วกางขายาว ๆ ออก ท่าทางเกียจคร้าน
เขาถามด้วยใบหน้าประหลาดใจ “พี่ใหญ่ พี่ไปเดทกับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงมาล่ะ?”
ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “พี่ขี้เหนียวขนาดนั้นเลยเหรอ แม้แต่ข้าวเที่ยงก็ไม่เลี้ยงผู้หญิงเขาเนี่ยนะ”
เมื่อคุณย่าลู่ได้ยินดังนั้น รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ถามลู่ฉี่โหย่วว่า “พี่ชายแกไปเดทกับผู้หญิงมาจริง ๆ เหรอ?”
ลู่ฉี่เสียนเห็นป้าแม่บ้านยกอาหารมาเสิร์ฟ จึงเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร หยิบตะเกียบขึ้นมากินพลางพูดเรียบเฉยว่า “คุณย่าครับ อย่าไปฟังนะ เ้าสามมันพูดไปเรื่อย”
ลู่ฉี่โหย่วพูดเสียงแข็ง “ผมไม่ได้พูดมั่ว เมื่อเช้าผมขับรถผ่านเขตที่พี่พักอยู่ ผมเห็นกับตาตัวเองเลย”
คุณย่าลู่ซักไซ้ต่อ “ผู้หญิงคนนั้นอายุเท่าไหร่ สวยไหม?”
“ดูเหมือนจะยังเด็ก หน้าตาสวยมาก เป็เด็กสาวคนเดียวกับที่พี่ใหญ่ให้กินเกี๊ยวจีกวน ที่โรงพยาบาลครั้งที่แล้ว”
คุณย่าลู่ยิ้มหน้าบานทันที พูดกับลู่ฉี่เสียนว่า “ย่าอยากถามแกั้แ่คราวก่อนแล้วว่าแกสนใจเด็กสาวคนนั้นหรือเปล่า สรุปแกวิ่งหนีเร็วยิ่งกว่ากระต่ายอีก ย่าเลยไม่ทันได้ถาม ครั้งนี้น้องชายแกเห็นแกไปเดทกับเด็กสาวคนนั้น ไม่ต้องถามก็รู้ว่าต้องสนใจเธอแน่ ๆ”
คุณย่าลู่พูดเป็การเป็งานว่า “อาเสียน ผู้ชายสกุลลู่เราต้องมีคุณธรรม จะไปเอาเปรียบผู้หญิงเขาเพราะเห็นว่าเธอยังเด็กไม่ได้นะ ต้องพาเธอมาที่บ้าน เปิดเผยว่ากำลังคบหากันอยู่ ถึงจะเรียกว่าให้เกียรติ การที่ให้เด็กสาวไปเดทกับแกอย่างงง ๆ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? ถ้าพ่อแม่แกรู้เข้าได้โดนตีขาจนหักแน่!”
ลู่ฉี่เสียนรู้สึกจนใจ จำต้องเล่าเื่ที่เขาช่วยสวี่ฮุ่ยไว้ระหว่างทำคดีเมื่อวานให้ย่าฟัง
พูดต่อว่า “ที่เ้าสามเห็นผมอยู่กับสวี่ฮุ่ยั้แ่เช้า เพราะเมื่อคืนหลังจากให้ปากคำเสร็จ เธอไม่มีรถกลับบ้าน ผมเลยให้เธอพักที่บ้านผม บ้านเธออยู่ที่ตำบลเถาฮวา ทางเดียวกันพอดี วันนี้พวกเราเลยกลับมาด้วยกัน ไม่คิดว่าจะถูกเ้าสามเห็นเข้าแล้วเข้าใจผิดแบบนี้”
คุณย่าลู่ทำหน้าผิดหวัง “ย่านึกว่าจะได้เห็นแกแต่งงานก่อนตาย คงเป็ไปไม่ได้แล้ว! แบบนี้ก็ดีใจเก้อน่ะสิ”
ลู่ฉี่เสียนรู้สึกผิดในใจ แต่เื่ความรักเขาไม่สามารถฝืนใจตัวเองได้ เขาเองก็จนใจเหมือนกัน
ลู่ฉี่โหย่วมองลู่ฉี่เสียนด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่ไม่ได้ชอบเด็กสาวที่ชื่อสวี่ฮุ่ยคนนั้นจริง ๆ เหรอ?”
ลู่ฉี่เสียนนึกถึงภาพตอนประตูเปิดออกกะทันหัน ขายาว ๆ ของเด็กสาวคนนั้น ััที่นุ่มนิ่มก็แล่นเข้ามาในฝ่ามืออีกครั้ง
ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวเล็กน้อย “แน่สิ! ฉันอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว จะไปเหมาะกับเด็กสาวคนนั้นได้ยังไง?”
“ในเมื่อไม่ได้ชอบเธอ แล้วทำไมถึงให้เธอกินเกี๊ยวจีกวนล่ะ?”
ลู่ฉี่เสียนเล่าเื่ที่เขารู้เกี่ยวกับสวี่ฮุ่ยให้ย่ากับน้องชายฟังคร่าว ๆ “พ่อแม่เธอใจร้ายกับเธอมาก ทั้งที่น้องสาวเธอเป็คนวางแผนทำร้ายเธอ แต่แม่เธอกลับจะตีเธอ วันนั้นในห้องพักผู้ป่วยของคุณย่า ผมได้ยินว่าแม่ของสวี่ฮุ่ยไม่อยากให้เธอกินปาท่องโก๋ ผมสงสารเธอเลยให้เธอกินเกี๊ยวจีกวนครับ”
หลังจากฟังจบ คุณย่าลู่ก็ถอนหายใจยาว “เด็กสวี่ฮุ่ยคนนั้นน่าสงสารจริง ๆ ต่อไปถ้าเธอมีปัญหาอะไร แกก็ช่วยเหลือเธอด้วยนะ”
ลู่ฉี่เสียนไม่รู้ว่าเป็แผน จึงพยักหน้าตกลง
สักพักทั้งห้องก็เงียบไปพักหนึ่ง มีเพียงเสียงลู่ฉี่เสียนที่นั่งกินข้าว
ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณย่าลู่ก็พูดขึ้นว่า “อาเสียน ย่าขอเตือนอีกครั้ง ให้แกลืมเถาเถาซะ ถ้าเธอมีใจให้แก เมื่อหลายปีก่อนตอนที่แกเขียนจดหมายหาเธอ เธอคงไม่ตอบกลับมาน้อยลงเรื่อย ๆ หรอก ห้าปีก่อนเธอยิ่งทำร้ายจิตใจแกหนักกว่าเดิม ย้ายตามพ่อแม่กลับเซี่ยงไฮ้โดยไม่แม้แต่จะบอกที่อยู่ให้แก ตัดขาดการติดต่อกับแก เธอเป็คนทรยศแกก่อน แล้วทำไมแกต้องยึดมั่นในคำสัญญาจนไม่คิดเื่แต่งงานด้วยล่ะ? รักใครก็ต้องมีขอบเขตนะ แกตามหาเธอมานานขนาดนี้ ถือว่าทำเพื่อเธอมากพอแล้ว แกรู้ไหมว่าแกทำแบบนี้ย่าเสียใจมาก แกไม่อยากให้ย่าอุ้มเหลนก่อนตายหรือไง? ชีวิตย่าช่างน่าเศร้าจริง ๆ!”
หญิงชราผู้สง่างามร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา
ลู่ฉี่โหย่วรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้คุณย่า พลางส่งสายตาเตือนว่าพี่ใหญ่ยังไม่ทันได้แต่งงานเลย ก็พูดถึงเื่อุ้มเหลนแล้ว คุณย่าคิดก้าวะโไปหน่อยไหมครับเนี่ย?
ลู่ฉี่เสียนกินอิ่มแล้ววางตะเกียบลง พูดกับคุณย่าว่า “น้องรองกำลังจะแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอครับ ย่าก็จะได้อุ้มเหลนแล้วไง”
คุณย่าคิดถึงสัญญาณเตือนของหลานชายคนที่สามเมื่อกี้ จึงเอ่ยว่า “ย่าไม่ได้หวังจะให้แกมีเหลนให้ย่าก่อนตายหรอกนะ แต่เื่แต่งงานนี่แกควรที่จะจัดการให้เรียบร้อยได้แล้ว”
คุณย่าทุบอกตบเท้าด้วยความคับข้องใจ “ถ้ายังไม่ได้เห็นแกแต่งงานตอนมีชีวิตอยู่ ย่าจะเอาหน้าไปพบปู่แกได้ยังไงกัน? ฮือ ๆ ๆ ”
ลู่ฉี่โหย่วปลอบคุณย่าอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับมองพี่ชายด้วยสายตาตำหนิเป็ระยะ
ลู่ฉี่เสียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ผมกลัวว่าเถาเถาจะไม่ได้ทรยศหักหลัง แต่เธออาจประสบอุบัติเหตุ เธอเติบโตมาในครอบครัวแบบนั้น…”
คุณย่าหยุดร้องไห้ทันที “ถ้าเถาเถาเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริง ๆ แกจะอยู่เป็โสดไปตลอดชีวิตเพื่อเธอเลยเหรอ?”
ลู่ฉี่เสียนเงียบลงอีกครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ผมอยากตามหาเถาเถา ถ้าอีกสามปียังไม่มีข่าวคราวของเธออีก ไม่ว่าเธอจะมีความลำบากอะไร หรือตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ผมก็จะตัดใจจากเธอ ผมจะฟังคำพูดของย่า หาผู้หญิงดี ๆ มาใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข”
คุณย่าจ้องมองลู่ฉี่เสียนอย่างพิจารณา “แกพูดจริงนะ?”
ลู่ฉี่เสียนพยักหน้าหนักแน่น “จริงครับ”
คุณย่าค่อยยิ้มออกทั้งน้ำตา “ถ้าแกไม่รักษาคำพูด ย่าจะให้พ่อแกตีจนขาหักเลย!”
คุณย่าตบบนโซฟาข้างตัวเบา ๆ ให้ลู่ฉี่เสียนมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะถามว่า “เื่ที่ให้แกไปสืบว่าใครเป็คนช่วยย่า แกสืบได้หรือยัง?”
“สืบได้แค่ว่าหญิงสาวที่ช่วยคุณย่าแซ่สวี่ อาศัยอยู่ในบ้านพักพนักงานโรงงานผลิตอาหารตำบลเถาฮวาครับ”
หลังจากพูดจบ ลู่ฉี่เสียนก็สะดุดใจ
สวี่ฮุ่ยแซ่สวี่เหมือนกัน และก็อาศัยอยู่ที่ตำบลเถาฮวาด้วย หรือว่าเด็กสาวสกุลสวี่ที่ช่วยคุณย่าจะเป็คนเดียวกันกับสวี่ฮุ่ยนะ?
แต่เด็กสาวสกุลสวี่ที่ช่วยคุณย่ามีความรู้ด้านการแพทย์ ส่วนสวี่ฮุ่ยไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ทั้งสองจะเป็คนเดียวกันได้ยังไง?
ลู่ฉี่เสียนรู้สึกว่าตัวเองเหลวไหลที่เอาคนสองคนนี้มาโยงเข้าด้วยกัน จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
คุณย่าลู่กล่าวว่า “สืบได้เท่านี้ก็พอแล้ว อีกไม่กี่วันย่าจะไปขอบคุณคุณหนูคนนั้นด้วยตัวเอง”