เขาเข้าไปในร่างของหลี่อวิ๋นเฉินได้อย่างไร คิดว่าคงเป็เพราะตราคำสาปนี้
่เวลานั้น เขาเพิ่งเสร็จสิ้น ‘งานใหญ่’ ของ ‘การเข่นฆ่าเมืองและทำลายประเทศ’ ที่อี้จื่ออีเคยกล่าวถึง แม้เจียงเฉิงเยว่จะรู้สึกไม่ยุติธรรมเล็กน้อยที่โดนบอกว่าตนเองทำลายซีเฉียน แต่ ‘วีรกรรม’ ที่เขาทำอย่างการสูญเสียการควบคุมในตอนนั้น หากมาคิดดูในภายหลังมันก็มากเกินไปจริง ดังนั้นจึงโดนริบพลัง รังเก่าโดนถอนรากถอนโคนจนหมด ถูกกดไว้ใต้หินว่อเจียว ทว่าเขาไม่มีข้อตำหนิใดมากนัก
เวลานั้นเขารู้สึกท้อแท้ต่อตนเอง จึงกักขังตนเองไว้ในทะเลแห่งความว่างเปล่า ดังนั้น...ภายหลังถูกอัญเชิญมา เขาจึงไม่กล้าเชื่อถือผู้ใด หากรู้ว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในเวลานั้นคือวิหารลำดับเก้าของสิบยมราช ทั้งยังมีตราประทับของตี้จวิน...การถ่ายทอดเคล็ดวิชาอัญเชิญมายังจิตสำนึกของเขาโดยตรงแล้วปลุกเขาผ่านชั้นเหล่านี้ทั้งหมดนั้น...ควรเป็การบ่มเพาะเช่นไรกัน?
เจียงเฉิงเยว่จึงขอยืนยันอีกครั้ง ขอยืนยันว่าอีกฝ่ายเรียกนามของก็ตนเองคือ ‘ฉิงชางจวิน’ ผู้นี้
เจียงเฉิงเยว่ไม่้าตอบรับ แต่ก็เอาชนะเคล็ดวิชาอัญเชิญซ้ำๆ ของอีกฝ่ายไม่ได้
ต้องกล่าวว่าการอัญเชิญหนึ่งครั้งสิ้นเปลืองพลังิญญาจำนวนมาก เคล็ดวิชาอัญเชิญครั้งแล้วครั้งเล่านี้ทำให้เขาสงสัยอยู่หลายส่วนว่าท้ายที่สุดแล้วการบ่มเพาะของผู้ร่ายอยู่ในระดับใด หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเคล็ดวิชาอัญเชิญของอีกฝ่ายนี้อยู่บนโลกมนุษย์ อีกทั้งยังไม่สามารถตรวจจับพลังเทพในเคล็ดวิชาอัญเชิญ เขาจึงค่อนข้างสงสัยว่าเป็เซียนจวินองค์ใดจากแดน์ซึ่ง้าค้นหาเขาอย่างร้อนใจเช่นนี้
มนุษย์ธรรมดา...อัญเชิญาาผีผู้ฉาวโฉ่อย่างเขาไปทำการใด?
เจียงเฉิงเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบรับการอัญเชิญของอีกฝ่าย
ทันทีที่เขาปรากฏตัวจึงเห็นว่าตนเองอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่โอ่อ่าอย่างยิ่ง คานแกะสลักลวดลายราวกับพระราชวัง เมื่อเห็นที่กลดประจำตำแหน่งด้านหลังของผู้อัญเชิญอย่างชัดเจน มีชุดคลุมของคนผู้นั้นวางไว้อยู่ จึงยืนยันได้ว่าที่นี่ไม่ใช่แค่เหมือนกับพระราชวัง แต่เป็พระราชวังจริง
ลวดลายัสี่หาง...หากเขาจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็ข้อกำหนดฉลองพระองค์ขององค์รัชทายาทโลกมนุษย์
“ฉิงชางจวิน”
ผู้อัญเชิญประสานมือพร้อมเรียกอย่างเคารพ
เจียงเฉิงเยว่จึงหันไปมองผู้อัญเชิญ กลับเห็นชายชราในชุดคลุมเต๋าอย่างสง่างาม มีเคราและผมสีขาว ใบหน้าสดใสมีเืฝาด ถือแส้หยกด้วยความรู้สึกสูงส่งราวกับเซียน
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว วางมาดถาม “ใครคือผู้ร่าย อัญเชิญข้ามาด้วยเหตุอันใด?”
ชายชรากล่าว “หนีเสวียนเฮ่อแห่งจงหลีซาน...ได้เชิญฉิงชางจวินมาที่นี่ด้วยความเคารพ”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ในใจคิดว่าเป็ผู้มีชื่อเสียงอย่างที่คาดไว้ เขารู้จักจงหลีซาน ความจริงแล้วนามของชายชราผู้นี้...เขาเคยได้ยินมาก่อน ไม่เพียงแต่เคยได้ยินมา ยังเคยข้องเกี่ยวกันอีกด้วย
เจียงเฉิงเยว่บิดเอวอย่างเกียจคร้านแล้วกล่าว “นักพรตหนีมีความสามารถยิ่ง...ไม่เสียทีที่จงหลีซานเป็ผู้นำในการขับไล่ผีและอัญเชิญเทพเ้า...” เขาเม้มมุมปากก่อนเยาะเย้ยเล็กน้อย “ในเมื่อข้าผู้นี้คือ ‘ผี’ เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเซียนซือ้าจะขับไล่อย่างไร? รีบร้อนและเจาะจงอย่างชัดเจนเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะ้าข้าสินะ?”
หนีเสวียนเฮ่อกล่าว “ข้าน้อย้าขอให้ฉิงชางจวินช่วยคนผู้หนึ่ง”
ไม่จำเป็ต้องบอก เจียงเฉิงเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงใครจึงมองไปที่คนบนเตียงด้านหลัง
หนีเสวียนเฮ่อมองตามสายตาของเขา เริ่มอธิบาย “ท่านผู้นี้คือองค์รัชทายาทแห่งประเทศจงซาน หลี่อวิ๋นเฉิน พระโอรสพระองค์โตของิจงแห่งจงซาน”
ขณะที่กำลังอธิบาย คนบนเตียงขยับตัว เจียงเฉิงเยว่มองอย่างเ็าในขณะที่อีกฝ่ายดิ้นรนจะลุกขึ้น แต่พยายามอยู่หลายครั้ง สุดท้ายเพราะอ่อนแอเกินไปจึงทรุดตัวลงบนเตียงอีกครา หนีเสวียนเฮ่อไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงเข้าไปประคอง
ใบหน้าของหลี่อวิ๋นเฉินซีดขาวราวกับกระดาษ ทว่ากลับดิ้นรนจากการประคองของหนีเสวียนเฮ่อเพื่อลุกขึ้น ร่างสั่นเทาแต่กลับคำนับให้เจียงเฉิงเยว่ที่พื้นอย่างหนักแน่น ขอร้องด้วยน้ำเสียงเว้าวอน “ได้โปรด...เซียนจวินโปรดช่วย” ขณะที่เขาพูดก็ใช้มือที่สั่นเทาเปิดคอเสื้อออก ที่กระดูกไหปลาร้ามีตราคำสาปดุร้ายอยู่
เจียงเฉิงเยว่เบิกตากว้างเล็กน้อย “นี่คือ...”
“คำสาป...ร้อยผีกลืนใจ” หลี่อวิ๋นเฉินยิ้มอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทซึ่งเป็มนุษย์ธรรมดาผู้นี้จะรู้แล้วว่าอะไรกำลังเฝ้ารอเขาอยู่ อีกฝ่ายกัดฟันกล่าวอย่างเ็า “เฉินนั้นป่วยมาั้แ่เด็ก ไม่ทะเยอทะยานกับบรรดาศักดิ์ยิ่งใหญ่ ในฐานะพระโอรสองค์โตของเสด็จพ่อ...ชีวิตนี้ข้าเลือกได้หรือ? เหล่าคนโลภที่อยู่เื้ั...ไม่คาดคิดว่าจะทำร้ายข้าเช่นนี้!” ยามที่พูด ชายหนุ่มซึ่งดูไม่เกินสิบห้าหรือสิบหกปีผู้นี้กลับมีดวงตาสีแดง เขาเช็ดที่หางตาของตนเอง
ร้อยผีกลืนใจ...โชคชะตากับิญญาของผู้ต้องคำสาปจะถูกแบ่งและกัดกิน แม้แต่โอกาสที่จะกลับชาติมาเกิดยังไม่มี
ขณะที่เขาพูด เจียงเฉิงเยว่เริ่มเข้าใจถึงความเป็ไปได้ องค์รัชทายาทผู้นี้เป็พระโอรสองค์โตของจักรพรรดินีองค์ก่อนกับิจง จักรพรรดินีองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว ดังนั้นจักรพรรดิอาจรู้สึกเสียพระทัยกับบุตรชายที่ไร้มารดานี้ จึงแต่งตั้งให้เขาเป็รัชทายาทยามอายุยังไม่ถึงห้าปี เหล่าคนที่จ้องมององค์ชายตาเป็มันมีอิทธิพลอยู่เื้ั เพราะอย่างนั้นองค์รัชทายาทผู้น่าสงสารจึงยากที่จะเอาชีวิตรอดจาก ‘อุบัติเหตุ’ ต่างๆ ที่น่าหวาดผวามาั้แ่เด็ก ด้วยร่างกายที่อ่อนแอโดยธรรมชาติ จนกระทั่งยามนี้เขาอายุสิบเก้าปีแล้ว ทว่ากลับดูเหมือนอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น
หลังจากประสบกับความยากลำบากหลายปีมานี้ หลี่อวิ๋นเฉินเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ดูเหมือนจะสูงส่งมีเกียรติ แต่ความจริงแล้วเดินอยู่แผ่นน้ำแข็งบางๆ ผลลัพธ์คือต่อให้หลบหนีอย่างไรก็ไม่อาจหลบตอไม้นี้ได้ กระทั่งต้องคำสาปอันชั่วร้ายเช่นนี้...
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะ “การโจมตีของคำสาปร้อยผีกลืนใจจะเกิดขึ้นในทันที...ทำไมท่านถึง...” ก่อนที่เขาจะพูดจบกลับรับรู้ขึ้นมา เขาััได้ว่าพระราชวังแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลที่แข็งแกร่ง ธาตุไฟของอาวุธวิเศษที่กดทับค่ายกล เป็พลังหยางที่ทรงพลังยิ่ง อาจกล่าวได้ว่าเป็สิ่งที่เป็พิษต่อภูตผีมากที่สุด สำหรับอาวุธวิเศษที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ สิ่งที่เขาคิดได้มีเพียง “หยกคู่เพลิงสุวรรณ?”
หนีเสวียนเฮ่อพยักหน้าพร้อมกล่าว “ถูกต้อง”
สันนิษฐานว่าเป็องค์ชายใหญ่ผู้นี้สวมสมบัติล้ำค่าเช่นนี้มาตลอดหลายปีเนื่องจากอ่อนแอจนหยางเดิมในกายไม่พอ ถึงได้ช่วยชีวิตเขาไว้ได้โดยไม่คาดคิด
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเพียงอธิบายข้อเท็จจริง กล่าวอย่างราบเรียบ “คำสาปร้อยผีกลืนใจไม่มีทางแก้ได้”
หลี่อวิ๋นเฉินเหลือบมองหนีเสวียนเฮ่อ หนีเสวียนเฮ่อจึงกล่าว “แน่นอนว่าพวกเรารู้อยู่แล้ว”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยต่อ “เช่นนั้นพวกท่าน...้าให้ข้าช่วยอย่างไร?”
หนีเสวียนเฮ่อ “คำสาปไม่สามารถแก้ได้...แต่สามารถบรรเทาได้”
เจียงเฉิงเยว่ “โอ้?”
หลี่อวิ๋นเฉิน “เฉินรู้ดีว่ายามนี้ชีวิตถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย เมื่อออกไปจากค่ายกลหรือออกไปจากประตูนี้ ดวงิญญาจะแหลกสลาย...เฉินไม่ขออะไรอีกแล้ว...ขอเพียงฉิงชางจวินคุ้มครอง ปกป้องิญญาให้สมบูรณ์ ให้มีโอกาสได้เกิดใหม่”
เจียงเฉิงเยว่เข้าใจแล้วว่าแผนของพวกเขาคืออะไร นี่คือใช้าาผีเพื่อเอาชนะาาผี?
ตราแห่งคำสาปร้อยผีกลืนใจเหมือนเป็เครื่องหมาย ิญญาที่ถูกทำเครื่องหมายจะถูกสังเวยให้กับาาผีที่ทำสัญญากับผู้ใช้คำสาป และเหตุผลที่เรียกว่า ‘ร้อยผีกลืนใจ’ เป็เพราะิญญาที่มีจิติญญานั้นจะถูกผีนับร้อยของาาผีกลืนกิน หลังจากนั้นผีนับร้อยที่กลืนกินิญญาจะถ่ายโอนการบ่มเพาะไปยังเ้านายที่อยู่เื้ั ดูสิ แม้แต่บาปยังกระจัดกระจายไปให้ภูตผีที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาแบกรับ...ช่างสมบูรณ์แบบเสียนี่กระไร
สุดท้ายแล้วาาผีที่อยู่เื้ัต้องสั่งการเหล่าภูตผี แต่หากิญญาที่ถูกทำเครื่องหมายยังมีาาผีอีกคนอยู่เล่า?
หนีเสวียนเฮ่อกล่าว “ฉิงชางจวินเพียงต้องผนึกิญญาของฝ่าาไว้ในส่วนลึกของจิตสำนึก เมื่อพระชนม์ชีพของฝ่าาสิ้นสุดลง จะมีผู้คุมิญญามาผนึกิญญาโดยธรรมชาติ ขอเพียงส่งมอบิญญาของฝ่าาในเวลานั้น...ย่อมรับประกันได้ว่าฝ่าาจะกลับชาติมาเกิดอย่างปลอดภัย กฎที่เกี่ยวข้องกับปรโลก...ฉิงชางจวินย่อมเข้าใจยิ่งกว่าข้าน้อยเป็แน่”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเป็เวลานานจึงกล่าว “ไม่เสียดายที่จะให้ข้าปกป้องิญญาของท่านไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ?” เขาปิดริมฝีปากก้มศีรษะยิ้มอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างเ็า “พวกท่านเลือกข้า...คิดว่าข้าจะไม่ปฏิเสธแน่หรือ?”
หนีเสวียนเฮ่อตอบกลับ “หากพูดถึงฉิงชางจวินแล้ว...นี่ก็เป็โอกาสไม่ใช่หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่มองไปที่อีกฝ่าย
หนีเสวียนเฮ่อสบตาของเขาอย่างไม่หลบหลีก พูดด้วยเสียงต่ำ “โอกาสที่จะหลบหนีจากปรโลก...”
ทันใดนั้น เจียงเฉิงเยว่พบว่าตนเองไม่สามารถพูดอะไรเพื่อโต้แย้งได้
หนีเสวียนเฮ่อกล่าวต่อ “ข้ายินดีที่จะใช้หยกคู่เพลิงสุวรรณเป็เครื่องบูชา เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์...ฉิงชางจวินจะมีหยกคู่เพลิงสุวรรณอยู่ในมือ จึงไม่จำเป็ต้องออกจากร่างของฝ่าาในทันที”
เจียงเฉิงเยว่มองไปที่อีกฝ่ายพลางยิ้มเยาะ
สิ่งที่จงหลีซานส่งออกคือข่าวสารของปรโลก ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวในปรโลกราวกับพลิกฝ่ามือ...ช่างเป็จิ้งจอกเฒ่าเสียจริง!!! ทำไมถึงต้องเลือกเขา? เพราะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเขาอย่างไรเล่า
ประการแรก หากเลือกาาผีองค์อื่นมารับหน้าที่นี้ อาจรับประกันไม่ได้ว่าาาผีผู้นั้น้าิญญาที่เปี่ยมไปด้วยสารอาหารของหลี่อวิ๋นเฉินสำหรับกลืนกิน…ซึ่งก่อนหน้านี้เจียงเฉิงเยว่ถูกผนึก พลังส่วนใหญ่ถูกาาฉินก่วงริบไปแล้ว แม้ว่าจะมีความโลภขึ้นมาย่อมทำได้เพียงมีความคิดแต่ไร้พลัง ดังนั้นจึงปลอดภัยและเชื่อถือได้มากกว่าาาผีใดๆ
ประการที่สอง แม้ว่าเจียงเฉิงเยว่จะสูญเสียพลังทั้งหมด แต่ิญญากลับฝึกฝนมานับร้อยนับพันครั้งในนรก จึงไม่ถูกกลืนกินโดยภูตผีตัวน้อยเ่าั้เพราะสูญเสียพลัง นับว่าเป็โล่ที่มีคุณสมบัติอย่างแท้จริง
ประการที่สามคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เจียงเฉิงเยว่ซึ่งถูกผนึกย่อม้าโอกาสนี้เพื่อหลบหนีจากปรโลกหลังจากบรรลุข้อตกลงมากกว่าาาผีใดๆ ฉะนั้นขอเพียงสมองของเขาไม่มีปัญหาย่อมไม่มีทางปฏิเสธ
ปัญหาเดียวคือิญญาของเจียงเฉิงเยว่เป็ิญญาที่ตายไปแล้ว จึงไม่มีทางของคนเป็ได้เป็เวลานาน...และิญญาคนเป็ของหลี่อวิ๋นเฉินนั้นง่ายต่อการได้รับาเ็จากพลังหยินชั่วร้ายจากร่างของเขา ดังนั้น พวกเขาจึงมีวิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือใช้สมบัติที่มาจากธาตุไฟ หยกคู่เพลิงสุวรรณ!
หยกคู่เพลิงสุวรรณเป็สมบัติประจำตระกูลจิ้งจอกเพลิง ไฟจิ้งจอกคือไฟปีศาจ จึงไม่ใช่ไฟที่แท้จริง ิญญาของเจียงเฉิงเยว่ที่เคยฝึกฝนในนรก หนึ่งในนั้นคือไฟนรก เพราะอย่างนั้น ไฟจิ้งจอกจึงไม่สามารถทำร้ายเขาได้ แต่สามารถแยกเขาออกมาได้ นอกจากนี้ พลังหยางยังสามารถปกป้องิญญาของหลี่อวิ๋นเฉินจากการถูกทำร้ายโดยพลังหยิน กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเขาร่างของหลี่อวิ๋นเฉิน ขอเพียงเขาสวมหยกคู่เพลิงสุวรรณไว้ไม่ห่างกาย ย่อมสามารถกดิญญาไว้ในร่าง ทั้งยังปกป้องหลี่อวิ๋นเฉินจากภายในไม่ให้ได้รับาเ็
เจียงเฉิงเยว่บีบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ที่จริงแล้วข้อตกลงนี้...ไม่ขาดทุนเลยจริงเชียว! ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเขาได้รับกำไรมากมาย เพียงแค่ปกป้องหลี่อวิ๋นเฉินเป็เวลาหลายทศวรรษ อายุขัยของมนุษย์นั้นอย่างมากที่สุดก็หลายทศวรรษเท่านั้น ท้ายที่สุดเขาเข้าสู่ร่างมนุษย์ ได้รับอาวุธเทพที่ล้ำค่าที่สุดของตระกูลจิ้งจอกเพลิง และยังถือโอกาสหลบหนีจากปรโลกได้
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เขาจงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า “หากเป็เช่นนี้...ข้าจะฝืนใจเป็คนดีก็แล้วกัน”
.............................
วิหารหลิงเซียว บนเขาฉีหวน
เจียงเฉิงเยว่รับประทานอาหารเย็นที่ศาลาในสวนด้านหลัง ฤดูร้อนเป็ฤดูแห่งความหุนหันพลันแล่น หลี่อวิ๋นเฉินที่เจ็บป่วยควรจะต้องเบื่ออาหาร เสวยเพียงไม่กี่คำก็วางตะเกียบถึงจะถูก ฉะนั้น ยามนี้เหล่าข้าราชบริพารจึงเบิกตากว้างมองไปที่องค์รัชทายาทผู้เคยสง่างาม ยามนี้กลับกวาดสำรับอาหารรสเลิศบนโต๊ะเข้าไปในท้องราวกับพายุหอบ ทั้งยังััท้องอย่างจริงจัง วิจารณ์ว่าขนมนี้อร่อย เครื่องเคียงนั้นเค็ม เมื่อสำเร็จกิจกลับเรอออกมาอย่างพึงพอใจ
ข้าราชบริพารตกตะลึงเป็เวลานาน ขันทีชุดสีม่วงในหมู่พวกเขาที่รับใช้หลี่อวิ๋นเฉินมาั้แ่ยังเยาว์วัยเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้มเหยเก “เขาฉีหวนนั้นไม่เสียทีที่เป็ูเาิญญาซึ่งควบแน่นไปด้วยพลังิญญาของฟ้าดิน เมื่อฝ่าาทรงประทับอยู่ที่นี่ อาการประชวรพลันดีขึ้นมาก...”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะแห้งๆ สองสามครั้งแล้วตอบ “ใช่แล้วๆ หากข้ารู้เร็วกว่านี้คงย้ายออกจากวังมาพักฟื้นนานแล้ว...”
เหล่าข้าราชบริพารไม่มีทางเลือกจึงทำเพียงคล้อยตาม “ฝ่าาตรัสได้ถูกต้อง”
“แม้ว่าในพระราชวังจะหรูหรา แต่ท้ายที่สุดมีเสียงดังรบกวน จึงเทียบไม่ได้กับความเงียบสงบบนูเา...ช่างเหมาะแก่การพักฟื้น”
“ข้าคิดว่าฝ่าาจะทรงหายจากอาการประชวรในไม่ช้า”
“ยินดีด้วยฝ่าา ยินดีด้วยฝ่าา”
หลังจากเจียงเฉิงเยว่ได้ฟังคำเยินยอจากฝูงชนก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เวลานี้มีคนในวังมาจากด้านนอก ด้านหลังตามด้วยศิษย์น้อยที่แต่งกายคล้ายนักพรต ในมือของศิษย์น้อยผู้นั้นถือจานเคลือบที่ดูประณีต ภายในจานมีผลซิ่งจื่อสีทองอร่ามวางไว้อยู่
ข้าราชบริพารก้าวไปข้างหน้า หยุดยืนห่างจากเจียงเฉิงเยว่สองสามก้าว ก่อนประสานมือด้วยความเคารพพร้อมกล่าวอย่างชัดเจน “ฝ่าา องค์ชายห้าทรงส่งผลซิ่งจื่อมาถวาย ได้ยินว่าองค์ชายห้าทรงเลือกมันด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”
“อา!” เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ยืดหลังให้ตรงพร้อมเอ่ยอย่างตื่นเต้น “เอามาเถิด ข้ารู้สึกเลี่ยนนิดหน่อยกับมื้อค่ำอยู่พอดี จึงอยากทานผลไม้สักหน่อย”
เมื่อเห็นว่าข้าราชบริพารหยิบจานผลไม้จากในมือของศิษย์น้อยส่งมาด้านหน้าเจียงเฉิงเยว่ ขันทีชุดสีม่วงกลับก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ในทันใด เข้ามาขวางระหว่างเจียงเฉิงเยว่กับข้าราชบริพารอย่างแเี อีกฝ่ายขวางย่างก้าวของข้าราชบริพารผู้นั้นอย่างแข็งกร้าว หลังจากนั้นประสานมือให้เจียงเฉิงเยว่พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าา...ฝ่าาเพิ่งจะเสวยพระกระยาหารเย็น ไม่เหมาะที่จะเสวยมากเกินไปในยามนี้ ทรงรออีกสักประเดี๋ยว รอให้พระกระยาหารย่อยค่อยเสวยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงหลังเห็นว่าท่าทีของขันทีชุดสีม่วงผู้นั้นมั่นคง ไม่ปล่อยไปเพียงสักนิด โดยปกติแล้วข้าราชบริพารที่อยู่ด้านหลังไม่กล้าทำเกินหน้าที่จึงหยุดยืนนิ่ง เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้คิดมาก หากไม่ให้เขากินเขาก็ไม่กิน ตอนนี้จึงทำได้แค่เบะปาก ทว่ากลับเห็นเงาร่างเล็กเงาหนึ่งที่ซ่อนอยู่ไม่ไกลภายใต้เงาของต้นไม้ในสวนยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
เจียงเฉิงเยว่เห็นว่าอาภรณ์นั้นแม้จะดูเรียบง่าย แต่วัสดุที่ใช้กลับไม่เหมือนกับศิษย์น้อยผู้ฝึกฝนธรรมดาข้างกาย ควรจะเป็ผู้ที่มีสถานะสูงกว่า หากตัดสินจากความสูงและอายุ เขาเดาได้ทันทีว่าคนผู้นั้นเป็ใคร ดังนั้นจึงยิ้มต้อนรับ “อาหังก็มาด้วยหรือ?”
ศิษย์น้อยผู้นั้นตกตะลึง “ขอรับ องค์ชายห้าทรงไม่ได้รับเชิญจากฝ่าา จึงไม่ดีหากรบกวน ดังนั้น...พระองค์ทรงรออยู่ที่นั่น”
เจียงเฉิงเยว่ลุกขึ้น หันไปมองรอบกลุ่มคน ไม่สนใจความประหลาดใจ เขาส่งเสียงะโบอกผู้ที่อยู่ด้านหลัง รีบไปหาเงาร่างนั้นที่ดูโดดเดี่ยวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องห้ามาได้เวลาพอดี!”
ท่วงท่าการเดินสง่างาม เขามาถึงตรงหน้าของคนตัวเล็ก กลับเห็นว่าคนตัวเล็กที่สูงไม่ถึงหน้าอกเขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย จ้องมองเขาอย่างเหม่อลอย
หลังจากเจียงเฉิงเยว่ได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจนกลับนิ่งไปไม่แสดงออก มีเพียงความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาในศีรษะ ์ ช่างเป็เด็กที่งดงามจริงเชียว!
------------------------