จวินหยานเมื่อได้ยินคำพูดของนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าพูดกับตนเช่นนี้มาก่อน ความกล้าของหญิงสาวผู้นี้ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง แต่จากครั้งแรกที่นางเอ่ยปากพูด เขาก็รู้ในทันทีว่านางไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ด้วยง่ายๆ
ใช้เวลาไปครึ่งชั่วยาม[1]ก็ถึงจะได้เย็บแผลของเขา เทผงยาลงบนาแ จากนั้นค่อยหยิบผ้าขาวสะอาดจากในถุงผ้าใบไม่ใหญ่ไม่เล็กที่ตนเองพกติดตัวมาด้วยมาพันแผลให้เขา “พยายามอย่าให้แผลนี้โดนน้ำล่ะ”
นางยัดผงยาที่เหลืออีกครึ่งขวดใส่มืออีกข้างของเขา “นี่คือผงยา พรุ่งนี้ตอนเที่ยงค่อยเปลี่ยนผ้าอีกรอบ รอสิบวันแผลที่เย็บไว้ก็เอาด้ายออกได้แล้ว ถ้าคนของเ้าเอาด้ายออกจากแผลไม่เป็ ค่อยมาหาข้าหรือท่านพ่อข้าที่สำนักแพทย์อวิ๋นซาน แต่อย่าลืมพกเงินมาล่ะ ครั้งหน้าไม่รักษาให้เ้าเปล่าๆ แล้ว”
หลังจากกล่าวจบ นางก็ไม่คิดแม้แต่จะชายตามองใบหน้าซีดขาวแต่กลับงามสะดุดตาไม่เป็สองรองใครของจวินหยานอีก สำหรับอวิ๋นซีในตอนนี้แล้วนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเทียบได้กับความเกลียดชังในใจนางได้เลย นับประสาอะไรกับแค่คนที่เพิ่งพบเจอกับอย่างผิวเผิน
อวิ๋นซานที่เฝ้ามองบุตรสาวของตนเย็บแผลให้คนอื่นมาโดยตลอดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจเป็อย่างมาก ฝีมือการรักษาของบุตรสาวนั้นยึดถือได้ยิ่งนัก เขายืนขึ้นมาลูบผมของบุตรสาว ยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวว่า “อาซี ฝนหยุดแล้ว เรากลับบ้านกันเถิด”
อาซีพยักหน้า “อื้อ” กลับบ้าน แต่บ้านของนางอยู่ที่ใดกัน? ญาติพี่น้องของนางล้วนตายหมดแล้ว หรือก็คือถูกใส่ร้ายจนตาย จวนเฉียวกั๋วกงถูกทำลาย ความหวังทั้งหมดของนางเองก็พังทลายลงมาเช่นกัน
จวนไท่จื่อซึ่งเคยเป็บ้านของนาง เมื่อนึกถึงในใจนางก็แค่นหัวเราะเย็นๆ ตอนนี้ก็เป็เพียงที่ที่ศัตรูของนางอาศัยอยู่เท่านั้น
จวินหยานมองไปยังแผ่นหลังของสองพ่อลูกที่จากไป จากนั้นก็นึกถึงกลิ่นยาจางๆ จากกายของอวิ๋นซี มุมปากของเขายกขึ้น ริมฝีปากบางเผยให้เห็นเส้นโค้งอันงดงาม “สำนักแพทย์อวิ๋นซานงั้นหรือ”
อวิ๋นซีพินิจมอง ‘บ้าน’ ณ ตอนนี้ของตน ด้านหน้าเป็สำนักแพทย์ ลานบ้านเล็กๆ ตรงกลางเรือนเชื่อมไปยังด้านหลัง เรือนส่วนตัวของอวิ๋นซีอยู่ทางปีกตะวันออกของบ้าน การตกแต่งด้านในเรียบง่ายยิ่งนัก มีเตียงหนึ่งเตียง ริมหน้าต่างมีตั่งกุ้ยเฟย ข้างโต๊ะมีหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์วางอยู่หลายเล่ม ถัดมาก็เป็คันฉ่องทองแดง พื้นผิวฝั่งซ้ายปักเป็รูปต้นสนและทะเลสาบ และถัดมาอีกคืออ่างอาบน้ำอ่างใหญ่!
ถึงแม้ว่าในห้องจะเรียบง่ายยิ่งนัก แต่ก็เก็บกวาดได้สะอาดสะอ้าน การตกแต่งในห้องล้วนเน้นไปทางสีม่วงอ่อน แม้กระทั่งผ้าม่านที่ใช้คลุมรอบเตียงก็ยังเป็สีม่วงอ่อน จะเห็นได้ว่าเ้าของเดิมเป็หญิงที่ชื่นชอบสีม่วงมากนางหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่นางชื่นชอบก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
หลังจากที่นางให้สาวใช้นำน้ำอุ่นๆ เข้ามาล้างหน้าล้างตารอบหนึ่งแล้ว จึงค่อยรักษาาแที่ขาของตนอย่างระมัดระวัง เมื่อตอนที่นางอยู่ที่หัวเซี่ย[2] นางเองก็เป็ศัลยแพทย์าุโเฉพาะทางแล้ว ดังนั้นสำหรับนางแล้วาแเล็กๆ เช่นนี้จึงไม่ใช่เื่ยากเลย
รอจนรักษาแผลเสร็จแล้ว นางถึงจะมีเวลาส่องคันฉ่อง หากไม่มองดูก็คงไม่รู้ แต่เมื่อมองดูแล้วก็พลันสะดุ้งโหยง ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ใบหน้าของอวิ๋นซี ณ ตอนนี้จึงคล้ายกับใบหน้าของเฉียวอวิ๋นซีที่ตายไปแล้วเสียห้าส่วน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ช่างคล้ายกันมากยิ่งนัก
หรือว่าที่นางได้เกิดใหม่ในร่างของอวิ๋นซีจะมีเหตุผลบางประการ? เดิมนางมีนามว่าเฉียวอวิ๋นซี และเ้าของร่างนี้ก็มีนามว่าอวิ๋นซี ช่างบังเอิญมากอะไรขนาดนี้ หรือจริงๆ แล้วในโลกนี้มีเื่บางเื่ที่ลิขิตเอาไว้อยู่แล้วกันนะ?
นางใช้เวลาหนึ่งวันกว่าจะรู้ว่าตอนนี้คือปีเซี่ยวเหวินที่ยี่สิบสอง เดือนสี่ ห่างกับ่เวลาที่เฉียวอวิ๋นซีให้กำเนิดบุตรสาวและตกเืจนสิ้นชีพไปเพียงสองปีเท่านั้น
นางนั่งลงบนพื้นและอ่านหนังสือในมือ ก่อนจะหัวเราะคิกคัก ผ่านไปสองปีดื้อๆ เช่นนี้เชียวหรือ? เกรงว่าตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทของโอวหยางเทียนหัวท่าจะยิ่งมั่นคงกว่าเดิมเสียแล้วกระมัง
นางยืนขึ้นและมองดูดอกไม้ผลิบานนอกหน้าต่าง ความเบิกบานบนใบหน้านางเมื่อครู่เหือดหายไปแล้ว เหลือเพียงความเ็า นางพึมพำเสียงเบาว่า “ไม่เป็ไร ต่อให้ตำแหน่งของท่านยากที่จะสั่นคลอน ข้าก็จะค่อยๆ คว่ำให้ท่านจมลงทีละเล็กทีละน้อย ให้ท่านมีชีวิตอยู่ก็ไม่สู้ตายจะดีกว่า”
สาวใช้นามว่าเตี๋ยชุ่ยเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า “คุณหนูเ้าคะ แม่นางซือถูมาถึงแล้วเ้าค่ะ”
อวิ๋นซีตอบรับอืมในลำคอ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” สิ่งที่อยู่ในความคิดของอวิ๋นซีเยอะที่สุดล้วนเกี่ยวกับบิดาของตัวนางเองและซือถูเวยท่านนี้ ซือถูเวยเป็บุตรสาวของเ้าของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหานโจว ตนสนิทชิดเชื้อกับนาง แถมยังเป็หญิงสาวที่เกิดในวันเดือนปีเดียวกันอีกต่างหาก
“ในที่สุดก็ได้เจอเ้าเสียที” เมื่อซือถูเวยเห็นนาง ก็รีบเดินปรี่เข้ามาจับมือนาง
อวิ๋นซีมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของซือถูเวย ก่อนจะชักมือของตนเองกลับอย่างผิดวิสัย ลู่หลิงฉิงสอนบทเรียนนองเืให้นางแล้ว เป็การบอกนางว่าตลอดชีวิตนี้อย่าไว้ใจสหายคนสนิทคนใดอีก สำหรับเื่สหายสนิทชิดเชื้อเื่พรรค์นี้ นางล้วนสิ้นศรัทธาไปเสียหมดแล้ว
“ข้าเผลอไปโดนมือเ้าจนเจ็บหรือเปล่า?” ชั่ววินาทีที่ดวงหน้ามนของซือถูเวยเห็นอวิ๋นซีชักมือกลับ สิ่งที่นางคิดไม่ใช่ว่าคนผู้นี้ไม่ชอบตนเอง แต่เป็เพราะเผลอโดนาแของนางเข้าจนเจ็บ “ข้ารู้เื่หมดแล้ว ท่านลุงอวิ๋นบอกว่ามือของเ้าได้รับาเ็ เพราะข้าเองที่ไม่ทันระวัง เมื่อเห็นเ้าก็ตื่นเต้นไปชั่วขณะจนลืมเสียแล้ว”
เมื่อเผชิญหน้าท่าทางที่น่ารักไร้เดียงสาของซือถูเวย นางก็เม้มปากและส่ายหัว “ไม่หรอก วันนี้เ้ามาหาข้ามีเื่อันใดกัน?”
“ไม่ใช่ว่าเรานัดกันดิบดีแล้วหรือว่าจะไปซื้อของกัน? วันเกิดครบรอบหกสิบปีของท่านปู่ข้า เ้าต้องไปช่วยเลือกของขวัญเป็เพื่อนข้าสิ” ซือถูเวยเมื่อเห็นว่าสหายสนิทของตนลืมนัดที่สำคัญเช่นนี้ไปแล้ว ใบหน้าท่าทางก็เศร้าหมอง
อวิ๋นซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีเื่เช่นนี้จริงด้วย ด้วยว่าเ้าของร่างเดิมตกปากรับคำไปแล้ว นางก็จำต้องช่วยเ้าของร่างเดิมทำธุระให้เสร็จ “่นี้มีเื่เยอะเหลือเกิน หากเื่ไม่เยอะขนาดนี้ก็คงไม่ลืมจริงๆ หรอก ไปกันเถอะ”
สำนักแพทย์อวิ๋นซานตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหานโจว หาก้าจะซื้อของดีๆ ก็ต้องไปที่ถนนจงชิ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางนครหานโจว ที่นั่นมีเครื่องประดับหยกและงานแกะสลักมากมาย เหมาะสมที่จะซื้อเพื่อมอบเป็ของขวัญอย่างยิ่ง
ทั้งสองเมื่อมาถึงถนนจงชิ่งก็ลงจากรถม้า ซือถูเวยยืนอยู่ข้างกายนางเหมือนดั่งที่เคยทำและพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยไม่หยุด แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดล้วนวนอยู่แค่คำถามเดียวนั่นก็คือ “อาซี เ้าคิดว่าข้าควรซื้ออะไรให้ท่านปู่ข้าดีล่ะ”
อวิ๋นซีนึกย้อนไปถึงท่านปู่ซือถูอยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายเป็ท่านผู้เฒ่าที่มีรสนิยมสูงยิ่งนัก จากนั้นนางจึงชี้ไปยังร้านงานหัตถกรรมที่อยู่ด้านหน้า “ลองไปดูที่นั่นกัน”
ทั้งสองเข้าไปในร้านงานหัตถกรรม มองไปที่ใดก็ล้วนเป็งานฝีมือไม้แกะสลักและเครื่องหยกอย่างดี ตอนที่อวิ๋นซีอยู่ที่หัวเซี่ย มารดาของนางทำงานออกแบบและผลิตงานหัตถกรรม ในขณะที่บ้านสกุลเฉียวเองก็เป็ครอบครัวตระกูลขุนนางซึ่งทำเกี่ยวกับวัสดุทางการแพทย์ ครั้นเมื่อนางยังเด็กก็ตามมารดาไปเรียนรู้การออกแบบแล้ว นางจึงคุ้นเคยกับงานฝีมือเป็อย่างดี
เมื่อเดินดูรอบหนึ่งแล้ว สายตาของนางก็ตกลงบนม้านำโชคซึ่งแกะสลักจากหยกตัวหนึ่ง นางขอให้ทางร้านนำม้านำโชคตัวนั้นลงมา แต่ทันใดนั้นก็พลันมีมือคู่หนึ่งยื่นออกมาฉวยเอาม้านำโชคตัวนั้นไป “เถ้าแก่ ม้านำโชคตัวนี้ข้าจะซื้อแล้ว”
อวิ๋นซีมองดูหญิงสาวผู้ที่เดินมาอยู่ข้างตนเอง และเห็นเพียงแค่ว่านางสวมกระโปรงยาวร้อยจีบ[3]ที่ตัดเย็บจากผ้าไหมทองลายเมฆ[4]คุณภาพสูง บนศีรษะประดับด้วยดอกกล้วยไม้ซึ่งแกะสลักจากหยกมันแพะ[5]ราคาแพงซึ่งแกว่งไกวไปมา ใบหน้าหญิงผู้นั้นค่อนข้างไม่เลว หากใช้คำว่ามีเสน่ห์มานิยามก็ไม่เกินจริง น่าเสียดายที่บุคลิกอันเย่อหยิ่งและหยาบคายของนางทำลายความงามนั่นไปหมดแล้วโดยสิ้นเชิง
“มองอะไรของเ้า ไม่มีเงินซื้อก็อย่าเข้ามาที่นี่” หญิงนางนั้นเหลือบมากวาดตามองอวิ๋นซี ก่อนจะส่งม้านำโชคตัวนั้นให้กับสาวใช้ข้างกาย ก่อนจะเอ่ยกับเ้าของร้านว่า “เอาของที่แพงที่สุดในร้านของท่านออกมาให้หมด”
ซือถูเวยเดินมาจับมือนางไว้และกระซิบเสียงเบาว่า “นี่คือบุตรสาวของนายอำเภอหานโจว ถ้านางอยากได้ก็ให้นางซื้อไปเถิด เราไปลองดูที่อื่นกันดีกว่า”
นายอำเภอหานโจวงั้นหรือ?
มุมปากของนางค่อยๆ ยกขึ้นน้อยๆ เผยรอยยิ้มที่เข้าใจได้ยากหลายส่วนออกมา
**********************
[1] ครึ่งชั่วยาม (半个时辰) เท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงตามการนับแบบของชาวจีนโบราณ
[2] หัวเซี่ย(华夏)ชื่อที่ใช้เรียกประเทศจีนในสมัยโบราณก่อนยุคราชวงศ์ฉิน
[3] กระโปรงร้อยจีบ(百褶裙)เป็กระโปรงที่มีจีบคล้ายเกล็ดปลา ชายกระโปรงขลิบขอบและด้านข้างขลิบริม ครึ่งล่างมักปักลวดลายต่างๆ เช่น นก ดอกไม้ และผีเสื้อ มีการตีเกล็ดทั้งสองแถบผ้า ส่วนเอวมีสายรัด
[4] ผ้าไหมทองลายเมฆ (云锦) หรือเรียกได้ว่าผ้าตาด ผ้าปักดอก พื้นผิวเรียบ นุ่มสบาย ลวดลายที่มีความหลากหลายและสวยงามราวกับเมฆบนท้องฟ้า
[5] หยกมันแพะ (羊脂白玉) หยกขาวสีไขมันแพะ มีสีขาวโปร่งใสปนเหลืองอ่อนๆ เป็หยกชั้นสูงและยังมีราคาสูงด้วย