โม่จ้านมิใช่ผู้ที่รักการเรียน กระนั้นในหอพักของปาอินกับฉิวอิน นอกเสียจากตำราก็มิมีสิ่งอื่นให้คลายความเบื่อแล้ว
ขณะเปิดอ่านตำราสีสันงดงาม โม่จ้านรู้สึกยากอธิบายราวกับเป็เด็กี้เีหวนกลับห้องเรียนอีกครั้ง ปีศาจแฝงฝันคือเผ่าปีศาจ มีความสามารถในการควบคุมพลังเวทมาแต่กำเนิด มิจำเป็ต้องให้มนุษย์สอนแม้แต่น้อย บนตำราจึงขาวสะอาดมิต่างกับเพิ่งซื้อมาจากร้านตำรา
ครั้นโม่จ้านถามว่ายามว่างพวกเขาทั้งสองทำสิ่งใด คนทั้งสองมิแย้มพรายความลับออกมาแม้แต่คำเดียว ทำสีหน้าท่าทางคล้ายกับแม้ตายก็มิยอมบอก โม่จ้านนิ่งงันไปครึ่งค่อนวันกว่าจะได้สติกลับมา นึกอยากจะหารอยแยกบนพื้นมุดหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น
....เหอะ ถือเสียว่าอ่านตำราเื่เล่าก็แล้วกัน?
โม่จ้านยกยิ้มเจื่อนก่อนสลัดข้อสมมุติที่น่าเบื่อออกจากหัว ตามด้วยพลิกตำราไปยังหน้าที่ใช้ได้จริงแล้วเริ่มอ่านอย่างออกรสออกชาติ
แท้จริงแล้วหลังรู้ว่าเจียนั่วเก่งกาจ โม่จ้านจึงได้รับรู้ว่าตนเป็ดังกบก้นบ่อ ฝีมือการต่อสู้ของตน แม้ว่าอยู่บนโลกมนุษย์ก็ยังนับว่าเป็เพียงระดับกลาง เมื่อเผชิญหน้ากับหน่วยรบพิเศษหรือนักสู้ที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ หากยื้อเวลานานไปก็มีแต่จะถูกไล่กระทืบเท่านั้น เมื่ออยู่บนแผ่นดินใหญ่ต่างโลกที่ทั้งปีศาจและสัตว์ประหลาดอยู่ร่วมกัน หากตนอยากชนะอยู่ร่ำไป เกรงว่าคงเป็เื่ที่ยากเสียยิ่งกว่ายาก
ตนยังมิเคยเห็นเผ่าสัตว์กลายร่างที่พละกำลังทางกายเหนืุ์ เพียงแค่ลาถีเท่อที่อยู่ข้างกายก็ทำให้ตนรู้สึกถูกกดข่มเสียแล้ว ร่างกายของเผ่าหมานคล้ายจะเกิดมาเพื่อการต่อสู้ระยะประชิด มิเพียงแต่แขนขายาว กระทั่งข้อต่อยังสามารถบิดหมุนได้กว้างกว่าคนทั่วไป ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงพร์ด้านพละกำลังที่น่าสะพรึง หินก้อนใหญ่บนหน้าผา โม่จ้านมั่นใจว่าต่อให้มีตนสองคนก็แบกมิไหว ทว่าลาถีเท่อกลับแบกเพียงผู้เดียวเสียหลายสิบก้อน
หลังจากลาถีเท่อ “จบการฝึกฝน” จะต้องกลายเป็นักรบที่แข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน แล้วตนเล่า? จะยอมถูกขุดวิชาความรู้จนหมดเปลือกเฉยๆ งั้นหรือ?
จำต้องรู้ไว้ว่า จุดมุ่งหมายท้ายที่สุดของตนคือการใช้ชีวิตบั้นปลายในสถานที่สงบสุขอย่างสุขสบาย หากเ้าของที่แห่งนั้นมิมีความสามารถ สันตะสำนักจะมิดมกลิ่นจนตามมาถึงหน้าประตูได้เชียวหรือ
อีกทั้งยามนี้ตนเป็เพียงเผ่าปีศาจหนุ่มอายุสิบกว่าปี ในชาติก่อนทันทีที่มีหน้ามีตากลับถูกลมฝนลับคมจนทู่เสียแต่อายุสามสิบกว่า ชาตินี้ยังมีวันคืนให้คนใช้อีกตั้งมากมาย มีสิทธิ์อันใดมิลองพยายาม? าาปีศาจที่น่าสงสารตนนั้นยัดเยียดร่างกายให้ตน อีกทั้งยังให้ตนได้ลองัักับค่ายกักกันพลังเวทสักครา เรียกได้ว่าความโกรธถึงกับคุกรุ่นเต็มอก มิว่าจะเป็ความหยิ่งในศักดิ์ศรีอันแรงกล้า ใจแสวงหาความก้าวหน้าหรือความเคยชินในการทำสิ่งใดอย่างละเอียดรอบคอบ ล้วนแต่มิอนุญาตให้ตนล้าหลังผู้อื่น
ตนอยากจะดูเหมือนกันว่า อัศวินเวทที่ผู้คนกล่าวขานว่ามีพร์จะไร้ผู้ใดเทียมทานจริงงั้นหรือ?
โม่จ้านจิตใจฮึกเหิมห้าวหาญอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อหวนนึกถึงความสง่างามยามเจียนั่วสังหารหมูป่าหุ้มเกราะน้ำแข็งภายในหนึ่งหอกพลันกลับมาซึมกระทืออีกครา
...ข้าว่า เข้าใจพลังเวทเอาไว้สักหน่อยก็ยังมีประโยชน์ ต่อให้สู้มิได้ กระนั้นอย่างน้อยก็คงแพ้แบบดูดีสักหน่อย
โม่จ้านมิทันรู้ตัวแม้แต่น้อยว่าความเืร้อนที่เย็นะเืไปเสียแต่ชาติที่แล้วกำลังกลับมาอุ่นร้อนอีกครั้งภายใต้การยั่วยุของผู้คนและสภาพแวดล้อมรอบข้าง
......
โม่จ้านเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เต็มที่ ยังถึงขั้นชงกาแฟเรียบร้อย ทว่าหลังจากลองดู โม่จ้านกลับค้นพบสิ่งที่น่ายินดี เมื่อเทียบระหว่างตำราเวทมนตร์ขั้นพื้นฐานกับตำราเรียน “ั้แ่พื้นฐานจนเข้าสุสาน” ในชาติก่อน เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน --- มิเพียงแต่อธิบายอย่างละเอียด ยังมีความหมายลึกซึ้งเพียงใช้ภาษาที่เรียบง่าย คล้ายจะคำนึงถึงปัญหาที่ผู้เริ่มเรียนอาจต้องเจอระหว่างเรียนเอาไว้ทั้งหมด ทำให้โม่จ้านที่กำลังเพลิดเพลินรู้สึกขอบคุณผู้เรียบเรียงนามเฟยเอ่อร์หลัวเต๋อจากก้นบึ้งของหัวใจ
แท้จริงแล้วเวทมนตร์ที่จอมเวทร่ายออกมาสำเร็จได้โดยการควบคุมพลังธาตุที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง คทาเปรียบเสมือนสื่อกลาง เหล่าจอมเวทจะระดมพลังิญญา ััและควบคุมพลังธาตุผ่านไม้คทา จากนั้นจึงค่อยใช้คาถาหรือวงเวทย์เพื่อปลดปล่อยออกไป
ทว่าเผ่าปีศาจกลับต่างออกไป ยกตัวอย่างคำพูดของฉิวอิน การใช้พลังเวทของเผ่าปีศาจล้วนแต่เป็ไปตามสัญชาตญาณ คล้ายกับถูกสลักลงในิญญาเอาไว้เสียแต่ต้น จะเรียกก็มาจะปล่อยก็ไป แทบจะมิต้องใช้สื่อกลาง นี่ก็คือความสามารถที่เผ่าปีศาจทุกตนต่างทระนง
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในตำรายังมีหนังสือเย็บเข้าเล่มเล่มเล็กสอดเอาไว้ ชื่อว่า《เผ่าปีศาจศึกษา》ด้านในเขียนความรู้เกี่ยวกับเผ่าปีศาจเอาไว้มิน้อย ตามที่ปาอินกล่าวมา หนังสือเย็บเล่มเล่มเล็กนี้เพิ่งจะถูกนำมาใส่ในบทเรียนหลังจากเกิดาระหว่างเผ่าปีศาจกับมนุษย์อย่างกะทันหัน หลังเผ่าปีศาจพ่ายแพ้ก็ด้อยค่า การดำรงอยู่มิต่างอันใดกับตำราเรียนนอกหลักสูตร
โม่จ้านที่เกิดในยุคแห่งข่าวสารแสดงออกว่าเข้าใจเป็อย่างยิ่ง หากสาขาหนึ่งไร้ประโยชน์ในการใช้งานจริง การหลุดออกจากการให้ความสำคัญของเหล่าผู้คนก็เป็เพียงเื่ที่ต้องเกิดขึ้นมิช้าก็เร็ว เป็เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากเผ่าปีศาจเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยสมบูรณ์ เหลือผู้ที่รู้จักพวกตนมิมากนักภายในเวลาอันรวดเร็ว มิแน่ว่าถึงตอนนั้นตนอาจสามารถเผยโฉมหน้าอย่างสง่าผ่าเผยก็เป็ได้?
โม่จ้านฝันกลางวันอยู่ข้างเดียว ผลคือเมื่อพลิกไปถึงหน้าเขียนชื่อตำรา สายตาพลันเหลือบไปเห็นหนึ่งบรรทัด — สันตะสำนักแห่งอาณาจักรไหลเต๋อ
โม่จ้านที่ต้นตอของความโมโหมิได้มีเพียงเื่เดียวตบหนึ่งฝ่ามือลงบนโต๊ะ ทำเอาฉิวอินที่นั่งอยู่ด้านข้างสะดุ้งโหยง
“ท่านเป็…”
ฉิวอินที่ถามได้ครึ่งประโยคเหลือบไปเห็นหน้าชื่อเื่ที่ถูกเปิดค้างไว้ สีหน้าพลันมืดสลัว ั์ตาสีม่วงอ่อนของเด็กหนุ่มปรากฏสีแดงสด ภายในคำกล่าวเผยความเกลียดชังเข้ากระดูก
“ปู้ไหลเต๋อเ้าคนทรยศผู้นั้น…พวกเราจะมิมีทางให้อภัยเขาตลอดกาล”
มือของโม่จ้านชะงักอยู่กลางอากาศ ตนยังมิทันอธิบายสาเหตุของการเสียกิริยา กลับนึกมิถึงว่าท่าทีตอบสนองของอีกฝ่ายจะรุนแรงยิ่งกว่า
…ปู้ไหลเต๋อ? คล้ายจะเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ใด
โม่จ้านพลันหวนนึกถึงยามยังอยู่ในร่างของาาปีศาจ หมีเอ่อร์น้องชายเ้าน้ำตาเคยอธิบายสถานการณ์ของเผ่าปีศาจที่รอดตายให้ตนฟังและเอ่ยถึงปู้ไหลเต๋อเช่นกัน อีกฝ่ายคงจะเป็ผู้ทรยศ เป็ผู้ที่ทำให้าาปีศาจถูกจับจนต้องโทษปะา
“ยามนั้นข้าาเ็สาหัสและอยู่ห่างสนามรบมาก เพิ่งรู้ภายหลังว่าเขาะโหน้าผา”
โม่จ้านไตร่ตรองคำพูด คิดอยากจะยืนยันอีกสักรอบ
“ท่านาาปีศาจถูกจับเพราะเขาจริงหรือ?”
“คาดว่าท่านก็น่าจะรู้เช่นกัน โดยปกติท่านาาปีศาจเชื่อใจเขามากเพียงใด ถึงขั้นแม้ยามถอยทัพก็ยังร่วมสกัดกั้นอยู่ท้ายขบวนกับเขา ทว่าเขามิเพียงเปิดเผยตำแหน่งของตนต่อสันตะสำนัก ยังแทงท่านาาปีศาจในยามอ่อนแอหนึ่งดาบ
ดวงตาของฉิวอินเจือความเคียดแค้น กล่าวฟ้องพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“รอกระทั่งหัวหน้ากองพลเจี๋ยหลัวกับหัวหน้ากองพลอามู่ไปถึง ท่านาาปีศาจกลับได้รับาเ็สาหัสเสียแล้ว กระนั้นในขณะที่ท่านาาปีศาจลมหายใจรวยรินกลับยังคงเลือกเสียสละตนเองและปกป้องให้มิกี่ท่านนั้นหนีไปยังตรอกขี้เถ้าได้สำเร็จ…”
แทบจะเหมือนกับที่หมีเอ่อร์กล่าวมา ถึงแม้รายละเอียดจะมิมากนัก กระนั้นเห็นทีจะเป็เื่จริงเสียแล้ว โม่จ้านกุมปลายคางอย่างเคยชิน พลางนึกถึงสิ่งที่หมีเอ่อร์เคยกล่าวเอาไว้
“ตรอกขี้เถ้า… มิรู้ว่าที่นั่นเป็สถานที่อย่างไร…”
นึกมิถึงว่าทันทีที่ฉิวอินได้ยินคำว่า “ตรอกขี้เถ้า” สองคำนี้ พลันวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกใ ใช้น้ำเสียงวิงวอนเอ่ยกับโม่จ้าน “ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์ ข้ารู้ว่าท่านอยากแก้แค้นให้าาปีศาจ ทว่าพละกำลังของท่านยังมิฟื้นฟู ได้โปรดอย่าเข้าใกล้เขตอันตรายเช่นนั้น!”
โม่จ้านถูกต่อว่าจนนิ่งงัน หนึ่งประโยคเอ่ยกับตนเองของข้าสามารถเผยข่าวสารได้มากมายถึงเพียงนี้เชียว?
ขณะมองสายตาจริงใจของฉิวอิน โม่จ้านหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “เหอะ ข้ารู้ หากไปยามนี้อย่าว่าแต่หาคนมิพบเลย คงพากระทั่งตนเองเข้าไปขาดทุน”
คล้ายกับฉิวอินยังมิค่อยวางใจ “เมื่อท่านรู้กระทั่งว่าพวกท่านซีนั่วหลบอยู่ในตรอกขี้เถ้า ก็เท่ากับพิสูจน์ว่าท่านเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ แม้การที่ข้าเป็ผู้เอ่ยออกไปจะฟังดูล่วงเกินไปบ้าง กระนั้นหวังว่าท่านจะใจเย็นลงและรู้หน้าที่ของตนอย่างชัดเจน ถนอมพละกำลังของตนเอาไว้เพื่อปีศาจทั้งเผ่าขอรับ”
ห๋า? เ้าพูดเื่อันใด? เคยรับหน้าที่สำคัญอันใด? ผู้อื่นเป็ผู้บอกกล่าวเื่เหล่านี้แก่ข้า? แล้วซีนั่วคือเทพเซียนองค์ใดอีก?
โม่จ้านปวดหัวทันใด เขารีบพยักหน้ารับเพื่อสื่อว่าตนจะมิไปตายอย่างบุ่มบ่าม จะเห็นการเอาตัวรอดอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง
