ลู่เสวียอีเดินออกมาจากสำนักงานแล้วหันมามองเหรินเฟิงด้วยความขอบคุณ “สหายเหรินเฟิงต้องขอบคุณคุณมาก ฉันถึงได้เช่าบ้านได้อย่างราบรื่นแบบนี้” เธอรู้ว่าตัวเองเพิ่งมาใหม่และไม่มีรากฐานในหมู่บ้าน ตามปกติแล้วต่อให้เธอมีกำลังที่จะเช่าบ้านหลังนั้นได้ แต่ถ้าไม่มีเหรินเฟิงอีกคนที่มารับรองให้พวกเขาไว้ใจ เธอก็คงไม่สามารถทำสำเร็จได้เช่นกัน
ดูอย่างยุวชนหญิงเข่อหลาน เธอเป็รุ่นเดียวกับจูชิงที่ทางบ้านดูมีฐานะไม่เลว แต่เธอกลับต้องอาศัยอยู่ในลานยุวชนกับคนอื่นมานานนับปีแล้ว จึงเห็นถึงความสำคัญของผู้รับรองได้ดี
“ไม่ต้องสุภาพกับฉันหรอก…” เธอเป็ทั้งผู้มีพระคุณช่วยชีวิตและยังเป็คนที่เขามีความรู้สึกพิเศษให้ แน่นอนว่าเขาเต็มใจทำเพื่อเธอโดยไม่้าคำขอบคุณใดๆ
ลู่เสวียอียิ้มน้อยๆ “ฉันจะไปเตรียมของมาเก็บกวาดบ้านก่อน”
เธอพูดและกลับไปที่ลานบ้านของยุวชนผู้มีการศึกษา
เมื่อเห็นเธอกลับมา สวี่หลิงก็ถามว่า “สหายลู่เสวียอีไปไหนมาเหรอ?”
ลู่เสวียอีพูดตามตรง “ฉันไปขอเช่าบ้านในหมู่บ้านกับกัปตันทีมผู้ผลิตมา หลังจัดของเรียบร้อยฉันจะย้ายออกไป”
“ย้ายออกเหรอ ย้ายทำไม? ถ้าออกไปอยู่คนเดียวต้องทำทุกอย่างเองหมดเลยนะ” สวี่หลิงประหลาดใจ
“ต่างกันยังไงล่ะ อยู่ที่นี่ก็ทำเองไม่ใช่เหรอ” เธอพูดจบก็เดินออกไปหาหัวหน้ากลุ่มยุวชน
หลังจากหม่าตงได้ยินที่เธอพูดก็มีปฏิกิริยาเหมือนสวี่หลิง “การอยู่คนเดียวไม่ใช่เื่ง่ายๆ นะ เธอต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง อีกอย่างเธอเป็ผู้หญิง ยิ่งเป็บ้านนอกแบบนี้มันอันตรายที่จะอยู่ลำพัง…” เขาลดเสียง
“ฉันมีคนรู้จักที่หมู่บ้านนี้อยู่ เขาจะคอยช่วยเหลือได้บ้าง ไม่เป็ไรหรอกนะ”
เธอรู้ว่าหม่าตงพูดด้วยความหวังดีและใกล้เคียงกับสภาพความเป็จริงมาก แต่เธอไม่ชินกับการอยู่ร่วมกับคนอื่นแบบนี้ แถมยังไม่สามารถเอาของในพื้นที่ว่างออกมากินได้อีก เื่แบบนี้ต่างอะไรกับการทรมานเธอล่ะ?
สุดท้ายหม่าตงก็ได้แต่เออออตามเธอ เขานำอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาให้และถามว่า้าความช่วยเหลือหรือเปล่า
ลู่เสวียอีปฏิเสธความปรารถนาดีของเขาและหยิบของไป ตั้งใจว่าจะค่อยๆ ทำความสะอาดด้วยตัวเอง
เมื่อเธอไปถึงเธอก็เห็นหลายคนทำงานอยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นมีเหรินเฟิงที่กำลังเก็บกองซากไม้เน่าเปื่อยกองใหญ่ที่ลานบ้าน คนหนุ่มอีกสามถึงสี่คนบ้างกำลังตรวจสอบและซ่อมแซมบางส่วนที่เสียหาย เมื่อเหรินเฟิงเห็นเธอเขาก็วางไม้ผุที่พึ่งลากไปกองไว้แล้วเดินมาหา “ไม้ผุนี่ยังใช้ได้ เดี๋ยวจะสับเป็ฟืนเติมไว้สักหน่อย”
ลู่เสวียอีมองไปมา “ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ แถมยังพาคนอื่นมาด้วย”
“ไม่ดีเหรอ งานจะได้เสร็จไว คุณจะได้ย้ายมาอยู่เร็วๆ ไง อีกไม่นานจะเข้าหน้าหนาวแล้ว ถ้าจัดการไม่ทันจะแย่นะ”
ลู่เสวียอีมองชั้นหิมะบางๆ ที่พื้นแล้วตัดสินใจยอมรับน้ำใจนี้ จากนั้นก็เริ่มพับแขนเสื้อทำความสะอาดที่พักใหม่ของเธอ
หลังจากซ่อมแซมส่วนที่พังแล้วพวกเขาก็ช่วยทำความสะอาดบ่อน้ำให้ด้วย พอช่วยกันหลายคน งานก็เดินหน้าได้ไว
ลู่เสวียอีทำความสะอาดในห้องเรียบร้อย เมื่อเดินออกมาก็พบว่าเหรินเฟิงเพิ่งไปทำความสะอาดห้องน้ำมาให้
ทุกคนช่วยทำงานอย่างรวดเร็วพอถึงตอนเย็นก็แยกย้ายกลับบ้านก่อน
ลู่เสวียอีมองจุดนั้นจุดนี้แล้วก็บันทึกของที่ยังขาดเหลือในบ้าน ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะเข้าเมืองอีกครั้ง
“ได้ ถ้างั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวฉันไปด้วย” เหรินเฟิงอาสาต่อ บ้านเปล่าขาดของไม่น้อย เขากลัวว่าเธอจะขนกลับมาคนเดียวไม่ได้ อีกอย่างผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอออกไปข้างนอกคนเดียวเขารู้สึกไม่วางใจ เกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเธอ
ลู่เสวียอีอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ผล ได้แต่ยอมรับน้ำใจของเขาเอาไว้อย่างซาบซึ้งใจ
ถึงแม้เธอจะช่วยเขาเอาไว้แต่นั่นก็ไม่ได้ใช้ความพยายามมากมาย ทว่าั้แ่พบกันที่ยุคนี้ เธอก็เห็นเขาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เธอด้วยความจริงใจ สิ่งนี้ย่อมทำให้คนรู้สึกดีไม่ว่าจะเป็ใครก็ตาม
เช้าวันต่อมาหลังจากลู่เสวียอีตื่นขึ้นและกินอาหารเช้าเธอก็แต่งตัวและสวมผ้าคลุมหนา
ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วอากาศก็เย็นขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีหิมะตก เธอที่เพิ่งมายังไม่คุ้นที่ทางและกลัวจะป่วยจึงต้องป้องกันอย่างระมัดระวัง
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูด้านนอก ลู่เสวียอีก็เปิดประตูออกไปและพบกับเหรินเฟิงที่ยืนรออยู่
“คุณกินข้าวเช้าหรือยัง?” ชายหนุ่มถาม เขากลัวว่าตัวเองจะรีบมาจนเธอเตรียมตัวไม่ทัน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ไปกันเถอะ”
วันนี้รถแทร็กเตอร์ถูกใช้งานในหมู่บ้านจึงไม่สามารถหยิบยืมได้ เหรินเฟิงจึงยืมเกวียนวัวจากลุงของเขามาแทน นี่เป็พาหนะเดินทางยอดนิยมในสมัยนี้
ลู่เสวียอีปีนขึ้นบนเกวียนและพบว่าพื้นถูกปูด้วยผ้าชั้นหนึ่งแล้ว แถมยังมีผ้าห่มผืนเล็กที่ค่อนข้างอุ่นเผื่อไว้ด้วย
“เข้าไปนั่งแล้วคลุมผ้าห่มนั่นไว้ก่อน อากาศหนาวแล้วถ้านั่งไปแบบนี้จะหนาวจนทนไม่ไหว”
ลู่เสวียอีมองเขาที่สวมเสื้อกันหนาวและถุงมือชั้นเดียว “แล้วคุณหนาวหรือเปล่า”
“เกิดโตที่นี่จนชินสภาพอากาศแล้ว ไม่เป็ไรหรอก คุณคลุมผ้าห่มไว้ นั่งดีๆ ล่ะ”
ลู่เสวียอีหยิบผ้าห่มขึ้น ผ้าไม่ใหม่แต่หอมสะอาด เพียงได้กลิ่นก็รู้ว่าซักมาเรียบร้อยแล้ว เธอหยิบมาห่มไว้อย่างว่าง่าย รอบๆ มีหิมะตกโปรยลงมาบางเบา
เกวียนวัวเร็วไม่สู้รถ ใช้เวลาอีกเกือบเท่าตัวกว่าจะมาถึงตัวเมือง เหรินเฟิงพาเธอไปที่สหกรณ์การตลาดก่อนเพื่อซื้อหม้อกระทะที่ใช้หุงหาอาหาร เขายังเตรียมตั๋วซื้อมาเผื่อให้ด้วยแต่น่าเสียดายที่ลู่เสวียอีไม่ได้ขาดแคลนสิ่งเหล่านี้จริงๆ สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสใช้ของเขา
จากนั้นเธอก็ไปซื้อธัญพืชและเครื่องปรุงรส ธัญพืชที่ได้รับการแจกจ่ายย่อมไม่ใช่ของที่ดีที่สุดแต่ก็ยังกินได้ ลู่เสวียอีอยากใช้ธัญพืชที่แจกมาทำเป็ของว่างแทน ตอนนี้เธอถึงเลือกซื้อธัญพืชคุณภาพดีอีกชุดหนึ่งกลับไปด้วย
เธอแวะไปที่ไปรษณีย์ส่งจดหมายกลับบ้านเพื่อรายงานความปลอดภัยแล้วก็พบว่าที่บ้านให้ส่งพัสดุมาให้เธออีกกล่องหนึ่ง โชคดีที่พวกเขานำเกวียนมา ลู่เสวียอีจึงสามารถขนของกลับไปได้จนครบตามที่้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้