ในคืนฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงดั่งสีน้ำหมึกที่มืดมิด
แสงเทียนภายในห้องโถงหรงฮุยถังของจวนท่านโหวเหวินชางสว่างไสว
’ปัง!’ เสียงดังสนั่นขึ้นพาให้สาวรับใช้และหญิงรับใช้ชราที่อยู่ในลานบ้านต่างมองหน้ากันด้วยความใ
ในห้องอันอบอุ่นข้างห้องโถงหลัก ผู้เฒ่าใหญ่แห่งจวนท่านโหวโกรธจนเตะเตาเผาเครื่องหอมที่ทำจากทองแดงแกะสลักอย่างวิจิตรงดงามข้างกายล้มระเนระนาด
“ไปเรียกโหยวเซียวไอ้ลูกอกตัญญูนั่นมาให้ข้า มันสั่งสอนบุตรสาวอย่างไร ถึงได้ออกมาเป็นังเด็กเสื่อมเสียเช่นนี้ หน้าตาของสกุลโหยวล้วนถูกนางทำให้เสื่อมเกียรติไปหมดแล้ว!”
“ท่านพ่อ ท่านคลายความโมโหลงหน่อย หากโมโหจนเจ็บป่วยขึ้นมาจะไม่คุ้มเอานะขอรับ”
โหยวฮั่นเดินมาข้างหน้าประคองบิดาสูงวัยให้กลับไปนั่งลง
“เหอะ ข้าโมโหตายไปเลยสิดี แต่ละคนล้วนไม่ทำให้ข้าสบายใจได้เลย”
“ท่านพ่อ ดูสิท่านกล่าวอะไรกัน หากให้คนนอกได้ยินเข้า คงนึกว่าพวกข้าพี่น้องไม่กตัญญูต่อท่านเอาได้”
ท่านโหวเหวินชางที่อยู่ด้านข้างสีหน้าไม่มีความสุขสักเท่าไร
ผู้เฒ่าโหวชำเลืองมองบุตรชายคนโตปราดหนึ่ง โกรธฮึดฮัดแต่ไม่ทำเสียงอะไรออกมา
“ที่มาของข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”
ท่านโหวเหวินชางหมุนศีรษะมาถามโหยวฮั่น
“เชื่อได้สิ โหยวอวี่เวยกล่าวว่าคนผู้นี้รู้จักแค่เสวี่ยชิง ไม่รู้จักองค์ไท่จื่อ แต่จำใบหน้าของเขาได้ ลักษณะสูงส่ง ผอมแห้ง ดวงตาแคบยาว สายตาเยือกเย็น ใต้ตาซ้ายมีไฝดำหนึ่งเม็ดเล็ก ศีรษะประดับจื่อจินกวาน บนกายสวมอาภรณ์ตัวยาวรูปแบบสลับซับซ้อนขอบทอง คนเช่นนี้นอกจากองค์ไท่จื่อแล้วยังจะสามารถเป็ผู้ใดได้อีก”
“เด็กเวรนี่ แต่งให้คนเขาไปแล้วยังไม่สงบเสงี่ยมอีก ตอนแรกแต่งให้กับจั่วฉงจงก็ก่อเื่วุ่นวายจนมีข่าวลือไปทั่วทุกสารทิศ นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรเอง กลับไปมีความสัมพันธ์กับองไท่จื่อเสียนี่ เหตุใดสกุลโหยวถึงได้ให้กำเนิดสตรีโง่เง่าออกมาเช่นนี้ ไปเรียกทั้งครอบครัวรองมา ข้าอยากจะดูหน่อยสิ พวกเขาจะมียางอายหรือไม่”
ผู้เฒ่าโหวเดือดเป็ฟืนเป็ไฟ
“ท่านพ่อ เื่นี้ไม่ควรเผยแพร่ในตอนนี้ แม้ท่านจะแยกครอบครัวรองออกไปแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ยังส่งผลกระทบต่อจวนพวกเราอยู่ดี หากเื่ราวแพร่ไปจนเป็ข่าวอื้อฉาวที่โจษจันกันไปทั้งเมือง เช่นนั้นต่อไปการแต่งงานของพวกลูกหลานคงยากที่จะจัดการแล้วนะขอรับ” โหยวฮั่นขมวดคิ้วกล่าวโน้มน้าว ผ่านปีไปอวี่เวยก็จะหารือเกี่ยวกับการแต่งงาน ถึงเวลานั้นหากมีเื่น่าอัปยศในสกุลผุดออกมา ไม่แน่ว่าอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้นก็ได้ กว่าเื่การแต่งงานที่บุตรสาวของเขาเฝ้ารอคอยจะมาถึงได้ไม่ง่ายเลย แล้วจะมาเป็เพราะเื่เสื่อมเสียนี้ทำให้ล้มเหลวลงไม่ได้เด็ดขาด
สีหน้าผู้เฒ่าโหวเปลี่ยนไปทันใด เขาลุกขึ้นยืนเอามือสองข้างไพล่ไปด้านหลังและเดินวนช้าๆ
“ท่านพ่อ ท่านอย่าเป็กังวลเลยขอรับ เสวี่ยชิงก็เป็หญิงสาวที่แต่งออกไปแล้ว ครอบครัวรองก็แยกออกไปแล้ว เรียกพวกน้องรองเข้ามาสอบถามดูก่อนว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร” ท่านโหวเหวินชางกล่าวด้วยแววตาเ็า
“เื่นี้ต้องค่อยเป็ค่อยไป มะรืนนี้แม่นางคนที่สี่ของครอบครัวเฉิงเอินโหวจะจัดเลี้ยงที่คฤหาสน์ร้อยสัตว์ เชิญญาติพี่น้องของขุนนางขั้นสี่ขึ้นไป ได้ยินว่าไท่จื่อเฟย [1] จะไปด้วย อวี่เวยกับเสวี่ยชิงก็อยู่ในรายชื่อที่ได้รับเชิญ ท่านพ่อ ผ่านมะรืนนี้ไปค่อยให้พวกเขาเข้ามาเถอะขอรับ” โหยวฮั่นกำลังคิดว่าจะให้เื่นี้มาส่งผลกระทบต่อบุตรสาวของตัวเองไม่ได้ เผื่อว่าหลังจากที่โหยวเสวี่ยชิงถูกตำหนิเข้า แล้วจะยึดเอาอวี่เวยมาทำแพ [2] หากเป็อย่างนั้นคงไม่ดีแน่
“อื้ม ใช่ รอผ่านวันมะรืนไปแล้วค่อยให้พวกเขามาที่นี่” ท่านโหวเหวินชางเห็นด้วย เขาก็คิดถึงจุดสำคัญในระหว่างนั้นได้เช่นกัน
“เหอะ พวกเ้าดูแล้วจัดการเถอะ หลังจากจัดการนี่ได้แล้ว ก็โยกย้ายครอบครัวเ้ารองไปทางใต้เสีย ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกมันอีกแล้ว”
ผู้เฒ่าโหวโมโหฮึดฮัดเอามือไพล่หลังเดินออกจากห้องอุ่นไป
เหลือทิ้งไว้เพียงพี่น้องที่จ้องหน้ากันไปมา
“แค่ก เื่แต่งงานของอวี่เวย ทางจวนสกุลกู้ว่าอย่างไรบ้าง?” ท่านโหวเหวินชางเอ็นดูโหยวอวี่เวยมากมาโดยตลอด เื่การแต่งงานของนางยืดออกมาถึงตอนนี้ไม่ตกลงเสียที เขาก็กังวลใจมากด้วยเช่นกัน
“อืม... บอกว่าผ่านปีใหม่ไปจะส่งแม่สื่อมา” เื่แต่งงานของบุตรสาวมีข่าวคราวชัดเจน ในใจโหยวฮั่นวางก้อนหินหนักอึ้งหนึ่งก้อนนี้ลงได้เสียที
ท่านโหวเหวินชางพยักหน้า กู้ฉีบุตรชายคนเล็กของครอบครัวกู้ซ่างซู เขาย่อมเคยพบ ร่างกายไม่ดีมาั้แ่เด็ก ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ตลอดทั้งปี เมื่อก่อนเขาไม่เห็นด้วยเื่แต่งงานกับจวนสกุลกู้ อย่างไรเสียแต่งให้กับคนร่างกายอ่อนแอป่วยหนักเช่นนี้ จะต่างกับการเป็ม่ายั้แ่ยังสาวเสียที่ไหน
จนกระทั่งต่อมา กู้ฉีเริ่มร่างกายกลับมาดีขึ้นอย่างช้าๆ อีกทั้งไปเล่าเรียนที่กว๋อจื่อเจี้ยนด้วย ท่านโหวเหวินชางถึงได้รู้สึกว่าเื่นี้พอที่จะเป็ไปได้อยู่บ้าง
“พระวรกายของฮ่องเต้ฟื้นคืนกลับมาได้ไม่เลว วันนั้นเรียกขุนนางมากมายเข้าพบ แม้บนพระพักตร์ยังดูซูบเซียวและขาวซีด แต่กำลังวังชาไม่เลว พระเนตรมีชีวิตชีวา นั่งอยู่บนบัลลังก์ัครึ่งค่อนชั่วยามก็ไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปีนี้ฮ่องเต้เพิ่งเข้าพระชนมพรรษาสี่สิบเจ็ดพรรษา ขอแค่ต่อไปรักษาความมั่นคงนี้ไว้ อย่างน้อยที่สุดจะยังสามารถออกว่าราชการด้วยตัวเองได้อีกสิบกว่าปี แต่องค์ไท่จื่อมีพฤติกรรมอารมณ์ร้าย ไม่แน่ว่าอาจทนรอจนวาระสุดท้ายของฮ่องเต้ไม่ไหว ส่วนองค์ชายสี่แม้หลายปีมานี้จะอยู่ชายแดนมาตลอด แต่ข่าวที่สืบกลับมาล้วนกล่าวว่าองค์ชายสี่มุมานะในหน้าที่รักใคร่ประชาชน ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับด้วยความจริงจังและละเอียดรอบคอบ นำนายทหารขับไล่ต้อนชาวบ้านเลี้ยงสัตว์ตาตาร์และหว่าชื่อไปหลายต่อหลายครั้ง ชื่อเสียงและความนิยมอยู่ทางฝั่งชายแดนสูงมาก” ท่านโหวเหวินชางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ
“ในสองสามปีมานี้ฮ่องเต้ประชวรหนัก ผู้ช่วยใต้บังคับบัญชาองค์ไท่จื่อมีมากมายนับไม่ถ้วน ภายในจวนพวกเราดำรงอยู่ตรงกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเสมอมา พรรคพวกองค์ไท่จื่อกลับเพิ่มความยุ่งยากให้กับพวกเราในที่ลับหลายครั้งหลายครา เื่ของเสวี่ยชิง เฮ้อ ไม่รู้ว่าองค์ไท่จื่อจะใช้นางทำแพหรือไม่”
ท่านโหวเหวินชางถอนหายใจ
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าคิดมาก หากเด็กเสวี่ยชิงผู้นั้นกระทำเื่ถูกต้องปฏิบัติตัวถูกตามครรลอง จะไปสมคบกับเขาง่ายๆ ได้อย่างไร โทษที่นางหลงใหลอำนาจและเกียรติอันจอมปลอม เช่นนี้เกี่ยวข้องกับพวกเราเสียที่ไหน”
โหยวฮั่นไม่ชอบโหยวเสวี่ยชิงนัก เด็กผู้นั้นเคยชินกับการริษยาอวี่เวย ั้แ่เด็กก็ชอบอาจเอื้อมมาเปรียบเทียบกับอวี่เวย ต่อหน้าเป็แบบหนึ่งลับหลังส่วนตัวไปเป็อีกแบบหนึ่ง อายุน้อยนิดจิตใจกลับปลิ้นปล้อนมากนัก
ท่านโหวเหวินชางเงียบกริบ น้องรองกำเนิดจากอนุ แยกกันด้วยสายเืกับพวกเขาพี่น้อง แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่ได้สนิทกันมาก
“ช่างเถอะ ผ่านมะรืนไปค่อยเรียกพวกเขามา ให้ท่านพ่อทำการตัดสินชี้ขาดก็แล้วกัน”
...ยามอู่วันถัดมา หลัวจิ่งนำสิ่งของที่เจินจู้ากลับมาให้
เป็กล่องใบเล็กที่ทำจากไม้ใบหนึ่ง นางเปิดออกอย่างระมัดระวัง ผงแป้งสีน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้นให้เห็น
“ฮ่าๆ ทาไปได้เลยงั้นหรือ?”
เจินจูถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่ใช่ บอกว่าต้องผสมกับน้ำให้จางลงก่อน” เสียงของหลัวจิ่งกลัดกลุ้มเล็กน้อย ถามด้วยความกังวลอยู่บ้าง “เ้าจะใช้จริงหรือ?”
“กลัวอะไรกัน หรือแหล่งที่มาของมันมีอะไรงั้นหรือ?”
“ไม่มีหรอก แค่บอกว่าของสิ่งนี้ล้างให้สะอาดได้ยาก หากไม่มีผงยาพิเศษโดยเฉพาะ ต้องใช้เวลาเจ็ดหรือแปดวันเลยถึงจะหลุดออกทั้งหมดได้”
“แล้วเ้าไม่ได้ซื้อผงยาพิเศษชนิดนั้นมาด้วยหรือ?”
“ซื้อสิ”
เขาหยิบกล่องไม้ใบเล็กอีกหนึ่งใบออกมาอย่างไม่ค่อยยินดีนัก
เจินจูรับมาและยิ้มอย่างลึกลับไปทางเขา หลังจากนั้นดันเขาออกจากห้อง
นางเริ่มแผนการเปลี่ยนโฉมอันยิ่งใหญ่ของตัวเองขึ้น
จัดวางกระจกทองแดงแล้วเริ่มปล่อยผมสยายลง อย่างแรกแบ่งผมจากหน้าผากออกมาเป็หน้าม้าบางๆ หยิบกรรไกรขึ้น ’ฉับๆ’ ตัดทิ้งอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
นางอยากตัดผมหน้าม้ามานานแล้ว ครั้งนี้ประจวบเหมาะพอดียิ่งนัก
ชาติที่แล้วนางก็ไว้หน้าม้าบางๆ อยู่ตลอด หลังจากมาถึงที่นี่ก็รวบเส้นผมไปด้านหลังศีรษะหมด นางยังไม่ชินอยู่เล็กน้อยจริงๆ
ตัดหน้าม้าระดับใต้คิ้วอย่างระมัดระวัง แล้วจัดแต่งเล็กน้อย ปล่อยปอยผมตรงจอนสองข้าง เช่นนี้ใบหน้าก็ถูกเส้นผมสีดำปิดไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นม้วนมวยผมเป็ทรงมวยง่ามคู่ [3]
เทผงแป้งสีน้ำตาลออกมา ผสมน้ำเพื่อละลาย
ลองใช้บนข้อมือก่อนเล็กน้อย อื้ม... ไม่แพ้
นางเริ่มทาบนใบหน้าและลำคอ กล้ามเนื้อและผิวขาวนวลดั่งหยกก็เริ่มเปลี่ยนไปจนเหลืองคล้ำช้าๆ เดิมใบหน้าสว่างสดใสงดงามก็เปลี่ยนไปหมองคล้ำหยาบกร้านขึ้น
เจินจูทาขึ้นไปบนผิวด้านหลังหูด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นมองกระจกทองแดงซ้ายขวาหนึ่งรอบ แล้วจึงทำหน้าทะเล้นกับกระจกทองแดงอย่างพึงพอใจ
นางดึงประตูเปิดออก หันไปยิ้มกับหลัวจิ่งที่ยืนเฝ้าอยู่นอกประตูหนึ่งที
ดวงตาสองข้างของหลัวจิ่งเบิกโพลง รู้สึกยากเกินกว่าจะเชื่อได้เล็กน้อย
การเปลี่ยนทรงผมและสีผิว ไม่คิดเลยว่าจะมีผลกระทบต่อใบหน้าของคนหนึ่งได้มากมายเพียงนี้
หญิงสาวตรงหน้า ดวงตากลมโตถูกผมสีดำปล่อยลงมาปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ผิวขาวนวลดั่งหยกไร้ตำหนิแต่เดิมของนางกลายเป็สีเหลืองคล้ำหยาบกร้าน ใบหน้าที่บอบบางและสวยสง่าถูกลดระดับลงครึ่งหนึ่งทันที ค่อนข้างแตกต่างไปจากภาพลักษณ์เดิมจริงๆ
“เ้า... ตัดผมเลยหรือ?” เขาขุ่นเคืองเล็กน้อย
“อื้ม ตัดผมหน้าม้า ดูไม่ดีหรือ?” นางหันไปเลิกคิ้วกับเขาและหยอกล้อขึ้น
หลัวจิ่งเดินไปข้างหน้า เข้าใกล้นางและยื่นมือออกมาถูบนใบหน้า เช็ดไม่ออกจริงๆ ด้วย
นี่เป็ผงแป้งใช้เปลี่ยนรูปลักษณ์ที่เขาซื้อกลับมาจากพรรคเล็กๆ พรรคหนึ่งในเมืองหลวง เมื่อวานนางให้เขาไปหาของสิ่งนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะตามหาเจอได้ ในยุทธภพสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ จากลัทธินอกรีตโผล่ออกมาไม่ขาดสายเลยจริงๆ
หลังจากหลัวจิ่งเคยัักับสิ่งของอย่างลูกเหม็น ผงสูญเสียจิติญญา และผงแปลงโฉมเหล่านี้ จึงเริ่มให้ความสนใจต่อสำนักยุทธภพขึ้นมาอย่างช้าๆ เพราะลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ บางอย่างค่อนข้างมีประสิทธิภาพมากเลยทีเดียว
“เป็อย่างไรบ้าง? ข้าเป็เช่นนี้คงปลอดภัยแล้วกระมัง” เจินจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลัวจิ่งจนปัญญา เขายกมือขึ้นจัดปอยผมที่หน้าผากของนาง “เหตุใดถึงตัดผมทิ้งกัน น่าเสียดายยิ่งนัก”
“มีอะไรน่าเสียดาย เส้นผมเลี้ยงไว้่ระยะเวลาหนึ่งก็ยาวขึ้นมาแล้ว” นางย่นจมูกใส่เขา
คนโบราณให้ความสำคัญกับ ’เนื้อหนังมังสารวมถึงเส้นขนตามร่างกาย เพราะสืบทอดมาจากบิดรมารดา จงดูแลไม่ให้ได้รับอันตราย ความกตัญญูจะบังเกิด’ เส้นผมจึงไม่สามารถตัดตามอำเภอใจได้
แต่เจินจูไม่ได้สนใจ นางเพียงตัดผมเท่านั้นเองจะเรียกว่าไม่ให้ความสำคัญมากมายเพียงนั้นเสียที่ไหน
“พรุ่งนี้ข้าจะแต่งเช่นนี้ตามพี่สาวสกุลโหยวเข้าไป ต้องไม่มีปัญหาใดอย่างแน่นอน ฮิๆ”
รูปลักษณ์เช่นนี้ไม่มีทางดึงดูดความอยากจากผู้อื่นจริงๆ แต่หลัวจิ่งยังอดปรามไม่ได้
“เ้ายังไม่ค่อยรู้เื่ธรรมเนียมปฏิบัติของสาวรับใช้ หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นจะทำอย่างไร?”
เจินจูกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง “นี่จะยากอะไรกัน พรุ่งนี้ถามจื่อยู่สักนิด เรียนรู้จากสถานที่จริงสักหน่อย หากมีอะไรเกิดขึ้นก็อ้างไปที่พี่สาวสกุลโหยวให้หมดเท่านั้นเอง ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรแน่นอน เ้าอย่าเป็ห่วงขนาดนั้นเลย เป็เช่นนี้แล้วเหมือนตาเฒ่ายิ่งนัก”
“…”
เด็กสาวร้ายกาจตรงหน้านี่ เขาเป็ห่วงนางยังถูกนางรังเกียจเข้าอีก หลัวจิ่งรู้สึกติดขัดที่หน้าอกราวกับหายใจไม่ออก
่บ่ายหลิวอี้กลับมาจากข้างนอก
เขาหยิบขวดกลมขนาดเล็กทำจากวัสดุไม้สองขวดออกมา และยื่นให้กับเจินจูด้วยความนอบน้อม
“ทำเสร็จแล้วหรือ?”
เจินจูดีใจจนใบหน้ายิ้มแป้น
นางรับขวดมาและบิดฝาทรงกลมให้เปิดออก นี่เป็การเลียนแบบขวดขนาดเล็กเหมือนกับขวดที่บรรจุเกลือในยุคปัจจุบัน ปากขวด้ามีแผ่นปิดบางๆ เจาะรูเล็กๆ อยู่นิดหน่อยหนึ่งชั้น เมื่อออกแรงบิดหมุนเล็กน้อยไปด้านข้าง ตรงส่วนที่เจาะรูเล็กนั่น ผงที่ใส่ไว้ด้านในก็สามารถโรยออกมาได้ หากบิดหมุนกลับก็จะเป็การปิดกั้นไม่ให้ผงออกมา
“ข้าน้อยหาช่างไม้ที่มีชื่อเสียงอยู่ละแวกใกล้เคียงทำขึ้น ขวดไม้ทรงกลมนั่นตัดทำง่ายมาก แต่ฝาหมุนและแผ่นปิดบางๆ ทำได้ไม่ง่ายเลย ช่างไม้ทำอยู่ตลอด่เช้า ถึงได้ประกอบทั้งสองอันเข้าคู่กันได้ขอรับ” หลิวอี้ตอบด้วยรอยยิ้ม
วันนี้ตอนฟ้าสาง เขาได้รับการไหว้วานจากเจินจู ให้ช่วยหาช่างไม้ทำสิ่งของเล็กๆ สองชิ้น ลักษณะรูปร่างของวัตถุล้วนวาดไว้บนกระดาษเซวียนจื่อหมดแล้ว เจินจูอธิบายชี้แจงกับเขาและเน้นย้ำหนึ่งรอบ หลิวอี้ถึงได้เข้าใจกระจ่าง
รอจนสิ่งของทำออกมาเสร็จสิ้น หลิวอี้กับช่างไม้ล้วนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อฝาขวดเลื่อนไปตามเกลียว คาดไม่ถึงเลยว่าจะบิดได้แ่านัก แม้พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจว่ารูเล็กๆ ที่เจาะออกมามีประโยชน์ไว้ทำอะไรก็ตาม
“ขวดเล็กสองใบ ช่างไม้เก็บเงินไปห้าร้อยเหวิน แม่นางหูนี่คือเงินที่เหลือขอรับ” หลิวอี้ยื่นเงินมาด้วยมือสองข้าง
เจินจูยิ้มและรับมา หลังจากนั้นหยิบเม็ดเงินหนึ่งชิ้นออกจากในกระเป๋าใบเล็กที่ติดตัว “ขอบคุณคนขับรถหลิวแล้ว ยุ่งมาตลอดเช้า นี่เป็เงินให้พวกท่านไว้ดื่มน้ำชา”
หลิวอี้ดวงตาเป็ประกาย กล่าวขอบคุณพร้อมรับไปอย่างเบิกบานใจ นี่เป็เม็ดเงินมูลค่าสิบเหลียงเลยนะ แม่นางหูใจกว้างจริงๆ
เจินจูประคองขวดใบเล็กสองใบไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง ไอ๊หยา ฝีมืองานช่างหัตถกรรมสมัยโบราณนี่ดูถูกไม่ได้เลย ขอเพียงให้แบบวาดพวกเขาไปหนึ่งฉบับ สิ่งของส่วนใหญ่ก็ล้วนทำออกมาได้ทั้งหมด นางต้องตระเตรียมไว้สำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้
ขวดไม้เล็กๆ สองใบล้วนกระจุ๋มกระจิ๋มมาก ใบหนึ่งใหญ่กว่านิดหน่อย ใบหนึ่งเล็กกว่านิดหน่อย
นางหยิบเกลือหนึ่งห่อเล็กมาจากบนโต๊ะ ลองใส่เข้าไปในขวด และเทเม็ดเกลือละเอียดกระจัดกระจายออกจากรูเล็ก พอหมุนไปอีกด้านหนึ่ง รูเล็กก็จะถูกปิดกั้น ไม่ให้เกลือรั่วไหลออกมา
เจินจูยิ้มด้วยความพึงพอใจ
นางวิ่งไปที่ห้องผิงอัน และอุ้มเสี่ยวฮุยออกมา
เชิงอรรถ
[1] ไท่จื่อเฟย คือ ชายาเอกขององค์ไท่จื่อ
[2] ทำแพ คือ การใช้เป็เครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์
[3] มวยง่ามคู่ คือ ทรงผมที่นิยมทำกันในหมู่สาวรับใช้ในวังสมัยราชวงศ์ฉิน และชาวบ้านทั่วไป