“เปล่า... เปล่าค่ะ ” เฝิงิเยว่สะดุ้งเฮือก รีบโบกไม้โบกมือเป็พัลวัน “แค่คุณหมอเขาใจดี ยอมย้ายเทียนิกับคุณแม่มาอยู่ห้องเดียวกัน ให้คนอยู่ดูแลที่นั่นคนเดียวก็พอค่ะ เจิ้งเจวียนอยู่แล้ว ฉันห่วงเด็กๆ สองคน เลยขอกลับมาก่อน”
ความจริงเจิ้งหยวนไปขอย้ายห้องพักคนไข้กับคุณหมอ เฝิงิเยว่จะได้มีเวลาว่างโดยเฉพาะ และเพื่อให้สะดวกต่อการทำตามแผนอันแยบยล เจิ้งเทียนิผ่าตัดใหญ่ จึงย้ายห้องยาก แต่หลังจากโรคหัวใจของเฉินชุ่ยอวิ๋นคงที่ไม่มีปัญหาอะไรอีก คุณหมอบอกว่าอยู่ให้น้ำเกลือสักสองสามวันและสังเกตอาการก็พอ จึงย้ายเฉินชุ่ยอวิ๋นมาที่ห้องพักของเจิ้งเทียนิได้
เพราะรบกวนแพทย์แผนกอายุรกรรมและพยาบาลชั้นสองต้องลงมาตรวจเฉินชุ่ยอวิ๋นที่ชั้นหนึ่งทุกวัน เจิ้งหยวนเลยมอบของขวัญให้พวกเขานิดหน่อยเป็กรณีพิเศษ ซึ่งไม่ใช่ของราคาแพงอะไร แค่ผลไม้พวกแอปเปิล ส้ม และกล้วยที่หยิบมาจากในมิติเท่านั้น แน่นอนว่าผลไม้หายากอย่างยิ่งสำหรับคนยุคสมัยนี้ เจิ้งหยวนเลยแอบให้โดยไม่บอกคนในครอบครัว เฉินชุ่ยอวิ๋นพร่ำชมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลหลายต่อหลายครั้งด้วยเหตุนี้ เธอดีใจมากที่ได้พักห้องเดียวกับลูกชาย และโล่งใจเมื่อเห็นลูกชายอาการดีวันดีคืน
เจิ้งหยวนส่งสายตาให้เฝิงิเยว่เป็นัย “อย่านั่งเฉยอยู่เลย กินข้าวกันเถอะค่ะ” ว่าแล้วก็เดินไปหยิบชามตะเกียบมาให้เธอ
เฝิงิเยว่ค่อยสบายใจขึ้นบ้างเมื่อเจอเจิ้งหยวน สำหรับเธอตอนนี้เจิ้งหยวนเป็เหมือนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เมื่อเจิ้งหยวนบอกให้กินข้าว เธอก็ลุกไปล้างมือ และนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทานข้าว
เจิ้งหยวนตักโจ๊กชามหนึ่ง และหยิบตะเกียบมาวางบนโต๊ะให้เธอ
เฝิงิเยว่หยิบตะเกียบ ก่อนถามเจิ้งเฉวียนกัง “คุณพ่อ หนิวหนิว่นี้งอแงไหมคะ?”
หลายวันมานี้ เจิ้งเทียนเลี่ยงเป็คนดูแลซิงซิงให้ ส่วนหนิวหนิว เจิ้งหยวนหรือไม่ก็เจิ้งเจวียนจะเลี้ยงตอนอยู่บ้าน พอพวกเธอสองคนไปโรงพยาบาล เจิ้งเฉวียนกังจะคอยดูแลให้ชั่วคราว
ว่ากันว่าลูกชายคนเล็กกับหลานชายคนโตจะเป็ที่เอ็นดูมากที่สุด เมื่อก่อนเจิ้งเฉวียนกังรักเอ็นดูหลานชายคนโตที่สุด ดังนั้นหนิวหนิวเลยสนิทกับคุณปู่มาก แม้จะเพิ่งขวบเดียว แต่ให้คุณปู่เลี้ยง เขาก็ไม่ร้องไห้งอแงสักนิด
พอพูดถึงหลานชายคนโต เจิ้งเฉวียนกังก็คลี่ยิ้มจาง “ไม่งอแงอยู่แล้ว งอแงอะไรกัน เธอก็รู้นี่ว่าหนิวหนิวรู้ความมาั้แ่เกิด”
เจิ้งหยวนเก็บชามตะเกียบหลังกินข้าวเสร็จ เฝิงหมิวเยว่เองก็ช่วยเธอเก็บด้วยเช่นกัน ทันทีที่ทั้งสองคนเข้ามาในห้องครัวก็สบสายตากันอย่างรู้ใจ
เฝิงิเยว่มองเข้าไปในตัวบ้าน จากนั้นขยับเข้ามากระซิบข้างหูเจิ้งหยวน “คืนนี้”
เจิ้งหยวนพลันลดเสียงลงพลางถามว่า “กี่โมง?”
เฝิงิเยว่ตอบเสียงกระซิบ “สี่ทุ่ม”
ครั้นรับรู้ความคืบหน้า เจิ้งหยวนจึงพยักหน้า ขณะที่ั์ตาทอประกายวิบวับส่อเลศนัยบางอย่าง
ละครกำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว
เวลานี้ส่วนใหญ่คนชนบทเข้านอนกันหมดแล้ว ในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้า ตะเกียงน้ำมันก๊าดก็มืดสลัว ส่วนเทียนไขก็แพงเกินไปซื้อใช้ไม่ไหว เพราะฉะนั้นผู้คนในชนบทมักจะสนทนากันเพียงนิดหน่อยหลังกินข้าวเสร็จ หากมีคนของหน่วยงานภาพยนตร์มาฉายหนังก็จะไปดูหนังต่อ หากไม่มีก็เข้านอนเร็วกันหมด ดังนั้น เวลาสี่ทุ่มจึงไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านแล้ว
นอกจากนี้ ครั้นเจิ้งหยวนมองออกไปข้างนอก ความมืดเข้าปกคลุมท้องฟ้าพระจันทร์ถูกกลุ่มเมฆบดบังไปครึ่งหนึ่งแสงที่เล็ดลอดออกมาจึงค่อนข้างสลัว ประกอบกับสายลมเย็นเยียบอ่อนๆ ที่พัดพารอบข้างให้ใบไม้ใบหญ้ากระทบกันเกิดเสียงดังกรอบแกรบจากบรรยากาศในค่ำคืนนี้ แสงจันทร์และสายลมช่างเป็ใจ เหมาะกับการทำเื่ร้ายกาจพอดี
“พี่สะใภ้ คืนนี้พี่รออยู่ที่โรงพยาบาล อย่ากลับบ้านเด็ดขาด”
“แล้วเธอล่ะ?” เฝิงิเยว่ขมวดคิ้วมุ่น เธอไม่วางใจหากต้องปล่อยเจิ้งหยวนไปเผชิญหน้ากับเจิ้งเทียนหู่เพียงลำพัง แม้ว่าน้องสามีจะแข็งแกร่งและสู้คนมากแค่ไหน ก็ยังเป็แค่เด็กสาวคนหนึ่ง และถึงเจิ้งเทียนหู่จะี้เีตัวเป็ขนอย่างไร
ก็เป็ผู้ชายที่มีพละกำลังมากกว่าผู้หญิง แถมเจิ้งเทียนหู่ยังคิดแต่เื่ชั่วช้าน่ารังเกียจ เธอกลัวเหลือเกินว่ายามวิกาลที่แสงมืดสลัวขนาดนี้
หากเจิ้งเทียนหู่หน้ามืดตาบอดทำอะไรเจิ้งหยวนเข้า ต่อให้เธอตายไปก็คงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง
ด้วยรู้ว่าเฝิงิเยว่กำลังกังวลเื่อะไรอยู่ เจิ้งหยวนจึงยิ้มจนตาหยี และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ หวังสร้างความมั่นใจให้คนฟัง “พี่สะใภ้วางใจเถอะ ฉันไม่เป็ไรหรอก และไม่เพียงไม่เป็ไร แต่จะช่วยพี่แก้ปัญหาเื่เจิ้งเทียนหู่ด้วยค่ะ”
เฝิงิเยว่ยังคงลังเล เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนว่า “งั้น... งั้นฉันไปกับเธอด้วยดีกว่า สองหัวย่อมปลอดภัยกว่าหัวเดียว แถมหากมีเื่อะไรเกิดขึ้น ฉันยังช่วยเธอได้…”
“อย่าเลย” เจิ้งหยวนยกมือปฏิเสธ ของที่เธอใช้หลอกเป็ผีมัน... ล้ำสมัยเกินไป อธิบายที่มาที่ไปกับคนอื่นลำบาก เธอเลยบอก “เชื่อฉันเถอะพี่สะใภ้ พี่ชายยังเชื่อฉันเลย”
“พี่ชายเธอจนปัญญาต่างหากถึงเชื่อเธอ!” เฝิงิเยว่กลอกตามองบน
นั่นสินะ หากเจิ้งเทียนิไม่ได้ขาหัก เขาต้องลงสนามจัดการเื่นี้ด้วยตัวเองแน่ นี่มันเกิดจากที่ขยับไม่ได้และทั้งครอบครัวพึ่งพาเจิ้งหยวนได้เพียงคนเดียวต่างหาก หากเลือกได้ เขาจะไม่เลือกน้องสาวคนนี้อย่างแน่นอน
เจิ้งหยวนเถียงไม่ออก ก่อนขยับยิ้มเหยเก “เอาน่าพี่สะใภ้ พี่ฟังฉันเถอะนะ ต่อให้แผนนี้เกิดผิดพลาดขึ้น พี่คิดว่าเจิ้งเทียนหู่จะโกรธจนพานทำร้ายร่างกาย
ตบตีฉันได้เหรอ?” ก่อนเว้น่ครู่หนึ่งแล้วว่าต่อ “จริงสิ พี่สะใภ้ วันนี้ต้องไปกลุ่มเย็บปักหรือเปล่า?”
หัวข้อเปลี่ยนกะทันหันจนเฝิงิเยว่ตามไม่ทัน
เจิ้งหยวนครุ่นคิด “ถ้าพี่ไป ตอนเย็นพี่เลิกงานแวะกลับบ้านก่อน ค่อยไปส่งข้าวที่โรงพยาบาลนะ ให้คนเห็นพี่ไปโรงพยาบาลเยอะๆ จะดีที่สุด พอมีคนเข้ามาคุยด้วย พี่ก็เอ่ยเื่คืนนี้จะอยู่โรงพยาบาลสักหน่อย”
เฝิงิเยว่กลั้นหายใจเตรียมพูดต่อ “งั้นเจิ้งเทียนหู่—”
“พี่ฟังฉันพูดให้จบก่อน” เจิ้งหยวนเหลือบมองเข้าไปในตัวบ้านอย่างระมัดระวัง พอเห็นซิงซิงวิ่งผ่านไปแล้ว จึงหันมาพูดต่อ “พี่ไม่ต้องใส่ใจเจิ้งเทียนหู่อะไรนั่นหรอก แค่ให้ทั้งหมู่บ้านรู้ว่าพี่ไปโรงพยาบาลก็พอ พี่นัดกับเจิ้งเทียนหู่ไว้สี่ทุ่มนี่ พี่ไปโรงพยาบาลทุ่มหนึ่ง มีเวลาตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะสี่ทุ่ม กลับมาทันอยู่แล้ว เขารู้ก็ไม่เป็ไรหรอก มันไม่น่าสงสัย” เจิ้งหยวนส่งสายตาประมาณว่า หวังว่าพี่คงเข้าใจ ให้เฝิงิเยว่และอธิบายต่อจนจบ “แต่ยังไงก็ต้องให้คนในหมู่บ้านรู้ว่าพี่ไปโรงพยาบาลแล้ว พอถึงเวลานั้นต่อให้เจิ้งเทียนหู่ใส่ร้ายป้ายสีพี่ คนอื่นจะไม่เชื่อแน่ เพราะมีเพื่อนบ้านเป็พยานอยู่ หากสถานการณ์วิกฤติ ก็ยังมีหมอพยาบาลของโรงพยาบาลและคนไข้ในห้องพักคนอื่นๆ เป็พยานอีกทอด ไม่มีใครเชื่อเขาหรอก”
เมื่อได้ฟังดังนั้น เฝิงิเยว่จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพยักหน้าเป็เชิงเข้าใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้