คอนโด เพลงขวัญ….
19:00น.
เอริ ฐิติมน….
ติ๊ดดดดดดดด(เสียงสายเรียกเข้า)
พรึบ
“นี่….เอริ?”
“ฉันว่าแกอ่ะ….รับโทรศัพท์ขุนศึกหน่อยไหม?”
“ฉันเห็นเขาโทรมาหลายสายแล้วนะ?”ขวัญเอ่ยขึ้น ฉันก็มองหน้าขวัญสลับกับหน้าจอสมาร์ทโฟนเครื่องหรูที่ราคาเหยียบครึ่งแสนที่ตอนนี้หน้าจอกำลังสว่างวาบโชว์ชื่อของขุนศึกที่โทรมาหาฉันเป็ร้อยสายได้แล้วมั้งก็ั้แ่่เย็นจนถึงตอนนี้ที่ฉันมาอยู่คอนโดของขวัญ ฉันกะว่าจะนอนค้างกับขวัญสักคืน
“ทะเลาะกันเหรอ?”ขวัญเอ่ยถามฉันพลางมองหน้าฉันด้วยสายตาเป็ห่วง ฉันก็คลี่ยิ้มบางๆให้มันก่อนจะส่ายศีรษะไปมาว่าไม่ใช่ ฉันไม่ได้ทะเลาะกับขุนศึกและเราสองคนไม่เคยทะเลาะเลยตลอดเวลาที่เราคบกันมาแปดปีเต็ม
“ถ้าไม่ทะเลาะ….”
“ก็คงจะเป็เื่เดิมๆสินะ?”ขวัญเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันที ถ้าฉันไม่ทะเลากับขุนศึกและไอ้อาการที่ฉันมานั่งอยู่ที่ห้องของมันได้ก็เพราะฉันกำลังทุกข์ใจเื่พวกผู้หญิงของขุนศึกอยู่
“ฉันเห็นแกแล้วสงสารแกจริงๆ…”ขวัญเอ่ยขึ้นพลางมองฉันด้วยแววตาเป็ห่วงและสงสารเห็นใจฉัน ฉันก็พยักหน้าเข้าใจรับรู้ความเป็ห่วงที่เพื่อนคนนี้มีให้ฉันเสมอมา
“แต่ฉันก็ช่วยอะไรแกไม่ได้….เพราะฉันมันแย่กว่าแก….”ขวัญพูดเสียงแ่เบาพลางทำสีหน้าเศร้าสลดลง
“เพราะของแก…ขุนศึกก็แค่คั่วผู้หญิงเล่นไปวันๆ…แต่ของฉัน…เขามีเป็ตัวเป็ตน…แถมฉันก็ยังเป็น้อยเขาอีก….”
พรึบ
ฉันยื่นมือไปวางบนมือของขวัญและยิ้มอ่อนโยนเพื่อให้กำลังใจเพื่อนรักของฉันคนนี้ที่คอยให้คำปรึกษาและคำแนะนำฉันมาตลอดั้แ่สมัยเรียนจนตอนนี้เราทั้งคู่ก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานแล้วแต่พอเวลาว่างฉันก็มักจะมาเที่ยวหามันเป็ประจำ
“แต่ทำไงได้ล่ะ….ในเมื่อฉันเลือกเอง….”ขวัญยื่นมือมาจับมือฉันและเอ่ยออกมา เราทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนจะโผ่เข้ากอดกันและกันเพื่อให้กำลังใจที่เราสองคนรู้ดีว่ามันทรมานแค่ไหน….กับการที่เรามีความรักและต้องถูกหารกับใครต่อใคร
ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ
“ขุนศึกแน่เลย….”ขวัญเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันทีในขณะที่สมาร์ทโฟนเครื่องหรูของเธอเองก็ดังขึ้นมาและก็เป็จริงอย่างที่เธอและฉันคาดเดาไว้
“ขุนศึก….”ขวัญเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ทโฟนของเธอมาและมองหน้าฉันเหมือนจะขอคำตอบว่าเธอควรจะรับหรือไม่รับดี เพราะปกติถ้าฉันหายไปขุนศึกโทรหาฉันไม่ติดหรือฉันไม่รับสาย เขาจะโทรหาขวัญทันทีเพราะฉันจะอยู่กับขวัญเป็ประจำในวันที่ฉันทุกข์ใจอยากจะระบายความในใจกับใครสักคน
“ถ้าฉันไม่รับมีหวัง….มันถึงห้องฉันแน่…”ขวัญเอ่ยขึ้นอย่างรู้นิสัยของขุนศึก ถ้าขวัญไม่รับสายเขาแสดงว่าฉันอยู่ที่นี้กับขวัญจริงๆและขุนศึกก็จะมาที่นี้ทันทีตามนิสัยของเขา ฉันก็พยักหน้าตอบขวัญไปให้เธอทำตามที่เธอว่านั้นแหละ ขวัญก็พยักหน้าก่อนจะกดรับสายของขุนศึกและเปิดสปีกเกอร์โฟนให้ฉันได้ยินเสียงของขุนศึกด้วย
(เอริอยู่กับเธอรึเปล่า?)เสียงของขุนศึกดังขึ้นมาทันทีที่ขวัญกดรับสายของเขา ขวัญก็หันมามองหน้าฉันที่มองเธออยู่เหมือนกัน ฉันก็ทำมือทำท่าทางให้ขวัญบอกไปว่าฉันไม่ได้อยู่กับเธอ เธอก็พยักหน้าเข้าใจ
“เปล่า…”ขวัญตอบขุนศึกไปเสียงเเผ่วเบา
“ทะเลาะกันเหรอ?”ขวัญเอ่ยถามขุนศึกไปหลังจากที่เขาเงียบไปเมื่อได้ยินขวัญบอกว่าฉันไม่ได้อยู่กับเธอ
(เปล่านะ….เอริไม่ได้อยู่กับเธอก็ไม่เป็ไร….งั้นแค่นี้แหละ…)
“เคๆๆ”ขวัญตอบขุนศึกไปและขุนศึกวางสายไป ขวัญก็หันมามองหน้าฉันทันทีด้วยแววตาสงสัย ซึ่งฉันเองก็สงสัยว่าทำไมขุนศึกถึงได้ยอมเลิกราไปง่ายๆแบบนี้ เพราะปกติถ้าขวัญบอกว่าไม่ได้อยู่กับฉันเขาจะเฟซไทม์โทรหาขวัญทันที ซึ่งผิดกับครั้งนี้มากจริงๆ
“มันยังไงกันแน่?”ขวัญมองหน้าฉันอย่างสงสัยและคาดคั้นให้ฉันเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นให้เธอฟังทั้งหมด เพราะฉันเล่าไปแล้วแต่ไม่ได้เล่าเื่ผู้หญิงที่ชื่อนามิให้เธอฟังยังไงล่ะ
“ไม่มีอะไรหรอก….เราว่าเรากลับบ้านก่อนดีกว่า…”
“แกจะได้ไปกล่อมลูกนอน…^_^”ฉันเอ่ยขึ้นพลางลุกขึ้นยืนและหันไปมองเจไดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของขวัญและสามีของเธอ เจไดอายุได้สามขวบแล้วกำลังน่ารักน่าเอ็นดูเลยล่ะ
พรึบ
ขวัญก็ลุกขึ้นยืนตามฉัน
“เจไดครับ…น้ากลับบ้านก่อนนะ^_^”ฉันเอ่ยบอกเจไดไป
“งั๊บ^_^”เสียงหวานเล็กที่ไม่ค่อยชัดพร้อมรอยยิ้มหวานของเด็กอวบอ้วนทำให้ฉันยิ้มออกมาก่อนจะหันไปมองขวัญที่เธอเองก็มองหน้าเจไดและยิ้มออกมา มันเป็รอยยิ้มแห่งความสุข ฉันรู้ว่าเธอมีความสุขมากั้แ่มีเจไดเกิดมาในชีวิตของเธอ
“ไปแล้วนะ…”ฉันเอ่ยบอกขวัญไป ขวัญก็ละสายตาจากเจไดและหันมามองหน้าฉัน
“อื้อ….ถ้าแกพร้อมเมื่อไหร่…ค่อยเล่าให้ฉันฟังก็ได้”ขวัญเอ่ยบอกฉันพลางมองฉันด้วยแววตาห่วงใยฉัน
“อื้อ…ขอบใจนะ…ฉันกลับก่อน…ไว้โทรหา”ฉันเอ่ยบอกขวัญไปพลางยื่นมือไปจับต้นแขนของขวัญเพื่อให้กำลังใจเช่นกัน เธอก็ยิ้มให้ฉันกลับมา
“ไม่ต้องเดินไปส่งหรอก…แกดูลูกเถอะ”ฉันเอ่ยบอกขวัญไปในขณะที่เธอทำท่าจะเดินไปส่งฉัน
“เค”ขวัญรับคำพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ ฉันก็หยิบกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมขึ้นมาสะพายไหล่และเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทางออกของห้องคอนโดของขวัญ ฉันสวมใส่รองเท้าส้นสูงเสร็จแล้วก็จับลูกบิดเปิดประตูและเดินออกมาจากห้องของขวัญเลย มุ่งหน้าไปยังลิฟต์เพื่อจะลงไปยังชั้นใต้ดินของคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองแห่งนี้เพื่อจะไปเอารถยนต์ที่ฉันจอดไว้ที่ชั้นจอดรถใต้ดิน
พรึบ
ฉันใช้เวลาในการลงลิฟต์จากชั้นที่สิบมาถึงชั้นใต้ดินของคอนโดขวัญไม่ถึงสองนาที ประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกฉันรีบเดินไปที่รถของฉันพลางล้วงมือลงไปกระเป๋าเพื่อหากุญแจรถไปด้วย
ติ๊ด
เมื่อเจอกุญแจรถที่เป็รีโมทแล้วฉันก็กดปลดล็อกรถทันที
พรึบ
ฉันเปิดประตูรถพร้อมกับวางกระเป๋าลงไปบนเบาะนั่งข้างคนขับและหันมาปิดประตูรถยนต์ของฉัน
พรึบ
“ว๊าย!”ฉันเบิกตาโตร้องออกมาด้วยความใกับผู้ชายที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงกอดอกอยู่เบาะหลังของรถฉันผ่านกระจกมองหลังของฉัน
“ขุน!”ฉันหันไปหาขุนศึกและเอ่ยเรียกเขาออกมาอย่างใที่เขามาอยู่บนรถของฉันได้ยังไงกัน
“ขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย!”ฉันเอ่ยถามขุนศึกไปอย่างสงสัย เขาก็ทำหน้าเบ้หันหน้าหนีฉัน ท่าทางแบบนี้ คือเขากำลังงอนฉันอยู่ ฉันสิที่ต้องเป็ฝ่ายงอนเขาไม่ใช่เขาที่งอนฉัน ตัวเองทำผิดแล้วยังจะมาทำมาเรียกร้องความสนใจอีกนะ มีเหรอที่คนอย่างฉันจะง้อ เพราะปกติขุนศึกงอนฉันก็ไม่เคยง้อเขาอยู่แล้ว เดี๋ยวเขาก็หายเองแหละ
พรึบ
ฉันเลิกสนใจเขาและหันกลับมานั่งตัวตรงหยิบสายเบทล์ขึ้นมาคาดและยื่นมือไปกดปุ่มสตาร์ทรถและขับออกมาจากคอนโดของเพลงขวัญทันที โดยตลอดทางฉันเลือกที่จะเปิดเพลงเบาๆแล้วทำตัวเหมือนปกติว่าฉันขับรถอยู่คนเดียวโดนไม่ได้มีบุคคลที่สองนั่งร่วมอยู่ด้วย เสียงลมหายใจของคนเบาะหลังหายใจแรงขึ้น เพื่อเรียกร้องความสนใจจากฉัน
“หึ!!”
“ฮู้ๆๆๆ”ฉันทำเป็ฮัมเพลงไปทำเป็ไม่ได้ยินเสียงหึในลำคอของขุนศึก หึ!เมื่อคืนแหละทำเป็งอนฉันเพื่อหาเื่ไปกับคนอื่นสินะ สงสัยเบื่อเขาแล้วเลยกลับมาหาตัวสำรองอย่างฉันสินะ ไม่สิหรือฉันเป็ของตาย ไม่ใช่ตัวสำรอง….ฉันอยู่ในสถานะไหนของเขากันแน่…ตัวจริง…หรือตัวสำรอง…หรือของตาย…ที่ไม่ว่าเขาจะทำจะใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้…แล้วกลับมาหาฉัน…