หมู่บ้านติดูเา บ้านหลินฟาไฉ
เวลาเช้าตรู่ หลินซย่าจื้อ ลูกสาวคนโตของเขาที่สามีเป็ฝ่ายแต่งเข้าบ้านกำลังเท้าเอวถ่มน้ำลายด่าสาดเสียเทเสียอยู่หน้าห้องเก็บฟืน
“หญิงแพศยาน่าตายล่อลวงพี่เขยตัวเองอยู่ที่นี่แล้ว หน้าด้านไร้ยางอายนัก ถ้าอยากสุขสบายก็ไปทำงานในซ่อง อย่างน้อยอ้าขาแล้วยังมีเงินให้ท่านพ่อท่านแม่ใช้ คิดว่าตัวเองเก่งมาจากไหนกัน ในดินมีแตงกวาเยอะแยะ อยากได้ก็หยิบมาใช้สิ กล้าดีอย่างไรมาหลอกล่อพี่เขยของตัวเอง!”
สวี่ซื่อ [1] แม่ผู้แก่ชราของนางเห็นว่านอกประตูมีชาวบ้านมามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบเข้าไปดึงแขนเสื้อของหลินซย่าจื้อ “เหล่าต้า เลิกด่าได้แล้ว ตระกูลหลินเราขายหน้าหมด วันหน้าพี่ใหญ่กับพี่รองเ้าจะเจรจาเื่แต่งงานอย่างไร”
หลินซย่าจื้อเหลือบตามองชาวบ้านที่มามุงดู นางเบ้ปากอย่างไม่ยี่หระ ถ่มน้ำลายไปทางห้องเก็บฟืนอย่างชิงชัง พูดกับสวี่ซื่อว่า “ท่านแม่ รีบขายนังนี่ไปเถอะ เก็บไว้มีแต่จะสร้างปัญหา!”
สวี่ซือหันไปปิดประตู “พ่อเ้าออกไปข้างนอกแต่เช้าก็เพราะเื่นี้นี่แหละ เอาล่ะ เลิกโวยวายได้แล้ว จะโวยวายจนรู้ทั้งหมู่บ้านถึงจะยอมหยุดหรืออย่างไร?”
ภายในห้องเก็บฟืนมีเตียงที่ทำจากประตูหนึ่งบานกับตั่งสองตัว หลินหวั่นชิวกำลังนอนบนเตียงที่ทำจากประตู ฟังเสียงก่นด่าด้านนอกด้วยสีหน้าเฉยชา
บนร่างนางถูกห่มด้วยผ้าฝ้ายขาดๆ ลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างพุพังเข้ามาไม่หยุด หนาวเย็นจนนางตัวสั่นเทา
หลินหวั่นชิวเพิ่งยอมรับความจริงว่าตัวเองทะลุมิติมา เสียงที่ดังเอะอะโวยวายด้านนอกทำให้นางยิ่งปวดหัว อยากลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างกายนี้เป็ไข้ขึ้นสูง อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง ขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่นิด
นางทำได้แค่นอนจัดระเบียบความทรงจำของเ้าของร่างเดิมอยู่บนเตียง ผ่านไปนานเพียงใดไม่อาจรู้ได้ ประตูถูกเปิดออกเสียงดัง ‘แอ๊ด’
มีคนเดินเข้ามาสี่คน หลินฟาไฉ พ่อของเ้าของร่างเดิมเดินนำชายผิวคล้ำร่างสูงใหญ่ประมาณหนึ่งหมี่ [2] แปดเข้ามา บนหน้าชายคนนี้มีแผลเป็หนึ่งรอย มองแล้วน่ากลัวยิ่งนัก
ด้านข้างมีผู้หญิงตามมาสองคน คนหนึ่งคือแม่ของเ้าของร่าง สวี่ซื่อ อีกคนคือพี่สาวของเ้าของร่าง หลินซย่าจื้อ
หลินฟาไฉที่ร่างกายค่อนข้างซูบผอมชี้นิ้วมาทางหลินหวั่นชิวที่นอนบนเตียง พูดกับชายที่มีรอยแผลเป็ว่า “คนอยู่นั่นแล้ว เ้าพาไปได้เลย”
ชายมีรอยแผลเป็พิจารณาหลินหวั่นชิว ขมวดคิ้วว่า “ดูจากสภาพคงป่วยหนัก ไม่แน่ว่าข้าแค่แบกกลับบ้านก็คงจะตายแล้ว พวกเ้าคิดว่าข้าโง่หรือ? ”
เสียงเขาดังและมีพลังเหมือนระฆัง รูปลักษณ์ก็น่ากลัว เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทั้งหลินฟาไฉ สวี่ซื่อและหลินซย่าจื้อต่างพากันตัวสั่นอย่างอดไม่ได้
พวกเขาไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ ดวงตาคู่นั้นแหลมคมราวกับหมาป่าดุร้าย
สวี่ซื่อรีบเดินไปข้างเตียง เลิกผ้าฝ้ายขาดๆ ขึ้น พูดอย่างประจบว่า “หลานชาย ข้าเองก็ไม่กล้าปิดบังเ้า หวั่นชิวของพวกเราถูกอากาศเย็น แต่ร่างกายนางแข็งแรงดีมาก เ้าพากลับบ้านแล้วให้ดื่มน้ำขิงสักสองชาม ปล่อยให้ร่างกายได้ขับเหงื่อก็หายแล้ว ลองดูรูปร่างของหวั่นชิวสิ รับรองว่าลูกดก ได้ลูกตัวจ้ำม่ำ”
หลินซย่าจื้อรีบเสริมด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ใช่ ดูอย่างข้าสิ มีลูกชายทีเดียวตั้งสามคน หวั่นชิวเป็น้องสาวข้า ต้องไม่แพ้แน่นอน หวั่นชิวของพวกเราหน้าตาดี รูปร่างดี หากขายให้นายหน้าก็ต้องขายได้อย่างน้อยสิบห้าตำลึงเงิน พวกเราขายให้เ้าแลกกับหมูป่าแค่หนึ่งตัวและเงินสองตำลึงเงิน เท่านี้ก็ขาดทุนแล้ว เ้ารีบพานางไปเถอะ”
ชายมีแผลเป็แสยะยิ้ม “ขายให้หอคณิกา…ป่วยเจียนตายขนาดนี้ หากหอคณิการับซื้อแล้วจะวิ่งมาหาข้าทำไม? ไม่ต้องมัวพูดมาก ข้าจะยอมให้แค่หมูป่าตัวเดียว แต่ไม่ให้เงิน จะขายลูกสาวก็ขาย ไม่ขายเช่นนั้นข้าก็ขอลา!”
คนทั้งครอบครัวพากันหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ถูกพูดจี้ใจดำ
ชายมีแผลเป็หันหลังกลับอย่างไม่ลังเล หลินฟาไฉรีบดึงตัวไว้ กัดฟันพูดว่า “ตกลง เ้าเอาตัวไปได้เลย!”
มารดามันเถอะ นายพรานคนหนึ่งฉลาดขนาดนี้ได้อย่างไร?
ชายมีแผลเป็หัวเราะเสียงเย็น “พากลับไป? ไม่ได้ จะซื้อจะขายต้องมีสัญญา หากนางหายดีแล้วพวกเ้าชักดาบจะทำอย่างไร? ไปตามหัวหน้าหมู่บ้านกับผู้าุโในหมู่บ้านมาเป็พยาน อีกเื่ รีบต้มน้ำขิงใส่น้ำตาลมาให้นางเดี๋ยวนี้ มิใช่ว่าหัวหน้าหมู่บ้านยังไม่ทันมา นางก็ตายไปเสียก่อน!”
สวี่ซื่อทำใจไม่ได้ รู้หรือไม่ว่าน้ำตาลแพงขนาดไหน?
ต้องต้มน้ำขิงใส่น้ำตาลให้นังเด็กนี่ดื่ม?
หลินซย่าจื้อเห็นดังนี้ก็แอบเตะขาแม่ตัวเอง กระซิบข้างหูว่า “หมูป่า…”
นางไม่ได้สงสารหลินหวั่นชิวสักนิด แค่กลัวว่านังนั่นจะตายแล้วขายไม่ออกต่างหาก
สวี่ซื่อจึงผละไปต้มน้ำขิงอย่างไม่ยินยอม
คนพวกนี้มองหลินหวั่นชิวเป็สินค้า ต่อรองราคาต่อหน้านาง ภายในใจหลินหวั่นชิวเย็นเยียบ นางมองทุกคนในตระกูลหลินอย่างเ็า คนพวกนี้นี่แหละที่เห็นนางเป็สินค้า ใช้หมูป่าแค่ตัวเดียวก็ยอมขาย!
ไม่นาน หัวหน้าหมู่บ้านก็ถูกหลินฟาไฉเชิญมา น้ำขิงเองก็ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน หลินซย่าจื้อทำเป็ใจดี เข้าไปประคองหลินหวั่นชิวให้ลุกขึ้นนั่งและป้อนนางดื่ม แต่นอกจากรสชาติเผ็ดร้อนแล้ว น้ำขิงไม่มีความหวานเลยสักนิด
แต่ก็ช่างมันเถิด น้ำขิงหนึ่งถ้วยไหลลงท้อง ช่วยให้หลินหวั่นชิวที่ตัวเย็นเป็แท่งน้ำแข็งรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
หลังจากที่ด้านนอกคุยกันเสร็จเรียบร้อย ชายมีแผลเป็ก็เดินเข้ามาเปิดห่อผ้าที่พกติดตัวออกมา หยิบหนังเป็มันวาวผืนหนึ่งขึ้นมา ทำเอาพวกหลินฟาไฉตาเป็ประกายกันหมด
หนังสัตว์ผืนนี้สวยยิ่งนัก ผืนใหญ่สีขาว เป็หนังของอะไรกัน?
จะขายได้ราคาแพงขนาดไหนกัน?
คนตระกูลหลินรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าขายหลินหวั่นชิวขาดทุนแล้ว พวกเขาไม่ควรลดราคา อย่างน้อยก็ควรได้อีกสองตำลึงเงิน!
น่าเสียดายที่ตอนนี้มีหัวหน้าหมู่บ้านกับบรรดาผู้าุโเป็พยาน จะเปิดปากเรียกราคาเพิ่มก็คงไม่ดีนัก
ชายมีแผลเป็สะบัดผ้าฝ้ายขาดๆ ออก ใช้หนังสัตว์ผืนนั้นห่อตัวหลินหวั่นชิว แบกนางขึ้นไหล่แล้วเดินออกไป
ชาวบ้านส่วนหนึ่งเห็นชายมีแผลเป็แบกหลินหวั่นชิวออกมาจากบ้านตระกูลฉินก็พากันเข้ามามุง ชี้ไม้ชี้มืออยู่ด้านข้าง สายตาที่มองหลินหวั่นชิวมีแต่ความเหยียดหยาม
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลินซย่าจื้อป่าวประกาศเื่ที่หลินหวั่นชิวยั่วยวนพี่เขยตัวเองให้คนอื่นรู้กันจนถ้วนทั่ว
ชายมีแผลเป็แค่เหลือบตามองคนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นเฉียบ พวกเขาถึงรีบปิดปากเงียบด้วยความกลัว
เชิงอรรถ
[1] ซื่อ(氏) แปลตามตัวอักษรว่าสกุล ในที่นี้เป็คำเรียกหญิงที่แต่งงานแล้ว ใช้ต่อท้ายนามสกุลเดิมของผู้หญิง
[2] หมี่ (米) เมตร