ตู้เชิงหรงร่ำรวยจากการทำธุรกิจขนส่งทางเรือใน่ยุค 60
นี่คือสิ่งที่โลกภายนอกรับรู้ แต่หลายๆ คนในฮ่องกงรู้ดีว่าเื่ราวทั้งหมดนั้นมีความเป็มาอย่างไร จวบจนยุค 80 ในปัจจุบัน เครือเชิงหรงที่ตู้เชิงหรงสร้างขึ้นมากับมือก็ยังคงคลุกคลีอยู่ในแวดวงสีเทาเช่นเดิม
ธุรกิจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย ตู้เชิงหรงไม่ได้ทำที่บ้านเกิดอย่างฮ่องกง หากแต่ย้ายไปทำที่อื่นแทน
เมื่อก่อนเขาทำที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ปัจจุบันเขาคิดที่จะขยายกิจการมายังจีนแผ่นดินใหญ่
ตู้เชิงหรงเคยคิดจะทำธุรกิจถูกกฎหมายที่แผ่นดินใหญ่ด้วยตนเอง เพียงแต่ชื่อเสียงของเขาเป็ที่โจษจัน ชาวแผ่นดินใหญ่จึงพากันหวาดระแวงในเงินทุนของเขา
นักธุรกิจที่รักชาติในฮ่องกงมีอยู่ไม่น้อย ขาดคนอย่างตู้เชิงหรงไปเพียงคนเดียว ก็ยังมีเศรษฐีผู้ร่ำรวยคนอื่นๆ ที่คนระดับผู้นำประเทศเข้าไปพบปะด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดังนั้นตู้เชิงหรงหาใช่คนสำคัญไม่
เนื่องจากธุรกิจสีเทามีความเสี่ยงสูง ตู้เชิงหรงจึง้าทำธุรกิจถูกกฎหมาย ถึงได้ให้หลิวเทียนเฉวียนไปลงทุนอยู่ที่เผิงเฉิง นี่คือความคิดของตู้เชิงหรง ตอนนั้นแผ่นดินใหญ่เพิ่งทำการปฏิรูปเศรษฐกิจได้เพียงไม่นาน หากตู้เชิงหรงไม่ได้เป็คนสั่งให้หลิวเทียนเฉวียนไปที่เผิงเฉิง หลิวเทียนเฉวียนมีหรือจะกล้าก้าวเข้าสู่เผิงเฉิงก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจ ตอนนี้ชาวฮ่องกงส่วนใหญ่เข้าใจรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ผิดไป พวกเขากลัวว่าตัวเองและเงินทุนจะถูก ‘ยึดเป็ของส่วนรวม’ อีกทั้งยังมีคนจากแผ่นดินใหญ่แอบลักลอบเข้ามาในแถบชายฝั่งฮ่องกงจำนวนไม่น้อย นั่นยิ่งเป็การตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของจีนแผ่นดินใหญ่ในสายตาของชาวฮ่องกง
ความจริงชาวฮ่องกงนั้นไม่ได้ร่ำรวยกันทุกคน เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ไม่รู้ว่ามีคนตกงานมากมายเท่าไร
เพียงแต่ชาวฮ่องกงที่ยากจนที่สุด พอมาอยู่ตรงหน้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ล้วนรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรี พวกเขาต่างคิดว่าแผ่นดินฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยความแร้นแค้น
คิดแบบนี้ก็ไม่ผิด เพราะก่อนที่จะมีการเปิดประเทศ จีนแผ่นดินใหญ่ก็ยากจนมากจริงๆ
เพียงแต่ชาวฮ่องกงนั้นคาดไม่ถึงว่า หลังการเปิดประเทศแล้วจีนแผ่นดินใหญ่จะเติบโตขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเศรษฐกิจก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตู้เชิงหรงเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขาคงให้ความสำคัญกับตลาดที่จีนแผ่นดินใหญ่มากกว่านี้ และคงไม่ส่งพี่เมียกระจอกๆ ไปดูลาดเลาก่อน
ความสามารถทางธุรกิจของหลิวเทียนเฉวียนแค่พอถูไถเท่านั้น แต่เื่การสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นนั้นนับว่าทำได้ไม่เลว ชายร่างอ้วนยิ้มเก่งดูอัธยาศัยดี ทำให้คนอื่นลดความหวาดระแวงลงได้ ทว่าไม่รู้ทำไม่หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ความคืบหน้าของธุรกิจถึงได้ล่าช้าลงมาก อีกทั้งครั้งนี้ ‘ธุรกิจ’ ที่มณฑลิ่ก็เกิดปัญหาขึ้น ห้องเต้นรำที่เผิงเฉิงก็ถูกคนสั่งปิด แม้ตู้เชิงหรงจะไม่ได้ให้ความสนใจห้องเต้นรำเล็กๆ แห่งนั้น แต่อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าการที่ห้องเต้นรำถูกสั่งปิดคือการส่งสัญญาณให้กับเครือเชิงหรง
ดังนั้นเขาจึงต้องเรียกหลิวเทียนเฉวียนกลับมาถามไถ่ให้รู้เื่
ในคฤหาสน์สกุลตู้ เต็มไปด้วยผู้คนที่รอดูเื่สนุก
หลิวเข่ออิ๋ง เมียน้อยคนที่สามของตู้เชิงหรงหรือก็คือน้องสาวแท้ๆ ของหลิวเทียนเฉวียน
หลิวเข่ออิ๋งเดิมทีเป็อาจารย์สอนพิเศษที่บ้านลูกชายคนโตของตู้เชิงหรง เธอรับผิดชอบสอนวิชาภาษาอังกฤษให้กับคุณชายใหญ่ตู้ แม้หน้าตาเธอจะไม่ได้สะสวยมากมายนัก แต่ทักษะการเต้นรำของเธอนั้นเป็เลิศ หลังได้เข้าหาตู้เชิงหรงเธอก็กลายเป็คุณนายคนที่สี่ของตู้เชิงหรงอย่างรวดเร็ว
ตู้เชิงหรงมีเมียน้อยสามคน แต่ทำไมหลิวเข่ออิ่งถึงอยู่ลำดับที่สี่น่ะหรือ?
พวกคนนอกจะไร้กาลเทศะด้วยการเรียกเธอว่าเมียน้อยได้อย่างไร หลิวเข่ออิ๋งแต่งเข้าตระกูลตู้ก่อนจะมีการแก้ไข ‘กฎหมายการสมรส’ ดังนั้นจึงนับได้ว่าเธอคือคุณนายคนที่สี่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หลิวเข่ออิ่งได้รับการโปรดปรานอยู่นานหลายปี ต่อจากเธอแล้ว ผู้หญิงข้างนอกของตู้เชิงหรงก็ไม่เคยมีใครได้เข้ามาในบ้านตระกูลตู้อีกเลย
ไม่นานเธอก็ได้ให้กำเนิดลูกชายสองคนและลูกสาวอีกหนึ่งคนให้กับตู้เชิงหรง ทำให้เธอสามารถอยู่ในตระกูลตู้ได้อย่างเชิดหน้าชูตา แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไปแล้ว เพราะหลิวเทียนเฉวียนถูกเรียกกลับมาสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมียน้อยอีกสองคนพากันมารอดูเื่สนุก ซุบซิบนินทา ทำเอาหลิวเข่ออิ๋งแทบอยากกระชากสร้อยข้อมือเพชรให้หลุดคามือ
การชิงดีชิงเด่นลักษณะนี้ ตู้เชิงหรงไม่เคยใส่ใจแม้แต่น้อย
ที่เมียน้อยแต่ละคนของตระกูลตู้ฟัดกันไม่เลิก ส่วนหนึ่งเพราะตู้เชิงหรงปล่อยให้เป็เช่นนั้น กิจการครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยมือเปล่า คงไม่อาจส่งต่อให้กับคนอ่อนแอไร้ความสามารถได้ ดังนั้นหากคนตระกูลตู้จิกกัดกันเองก็ไม่เป็ไร เพราะสุดท้ายแล้วผู้ชนะก็คือเืเนื้อเชื้อไขของเขาตู้เชิงหรงคนนี้อยู่ดี
“น้องสี่ ครั้งนี้พี่ชายเธอช่าง...”
“ได้ยินว่าภาครัฐจับตัวคนของพี่ชายเธอไปหมดแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันเคยได้ยินว่า เขาทำธุรกิจออกหน้าออกตามากเลยมิใช่หรือ”
รอยยิ้มของหลิวเข่ออิ๋งเริ่มคงไว้ไม่อยู่
ตระกูลตู้ยึดหลักใครดีใครได้ ถ้าหลิวเทียนเฉวียนพี่ชายเธอเก่งมากพอ เธอกับลูกๆ ก็จะมีวันเวลาที่ดีในบ้านสกุลตู้ หลิวเข่ออิ๋งเจอกับตู้เชิงหรงหลังคนอื่นหลายปี แม้ตอนหลังตู้เชิงหรงจะเพลาๆ เื่ผู้หญิงลงไปบ้าง ทว่าลูกของหลิวเข่ออิ๋งก็อายุน้อยที่สุด
สมัยตู้เชิงหรงยังหนุ่ม เขานั้นมีฐานะยากจน อายุสามสิบกว่าถึงจะแต่งงานกับภรรยาคนแรก
เขามีลูกคนแรกตอนอายุสี่สิบ ซึ่งก็คือคุณชายใหญ่ตระกูลตู้ที่ปีนี้อายุครบ 24 ปี
ดังนั้นเมียน้อยแต่ละคนของตู้เชิงหรงถึงได้สู้กันยิบตา เพราะตู้เชิงหรงอายุหกสิบกว่าแล้ว แม้เขาจะไม่มีโรคประจำตัวที่ร้ายแรง แต่ก็เจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ ซึ่งอาจจะตายขึ้นมาวันใดวันหนึ่งก็เป็ได้ ดังนั้นการแย่งชิงมรดกควรเกิดขึ้นั้แ่ตอนที่ตู้เชิงหรงยังมีชีวิตอยู่
หลิวเทียนเฉวียนกลับมาถึงฮ่องกงก็นั่งรถตรงไปยังคฤหาสน์สกุลตู้
นอกจากคุณชายใหญ่ที่มีบ้านพักเป็ของตัวเอง ครอบครัวของเมียน้อยทั้งสามยังอยู่รวมกัน หลิวเทียนเฉวียนก้าวเท้าอย่างหนักอึ้ง เขาทำให้เข่ออิ๋งผู้เป็น้องสาวต้องอับอายขายหน้า ถ้าเขาไม่สามารถอธิบายได้ดีพอล่ะก็ ตู้เชิงหรงคงไม่ปล่อยเขาแน่
ตู้เชิงหรงไม่ใช่คนอัธยาศัยดีสักเท่าไร
รถของหลิวเทียนเฉวียนเพิ่งจอดสนิท รถอีกคันก็เคลื่อนมาจอดด้านข้างทันที นี่คือรถส่วนตัวของคุณชายใหญ่ตู้นั่นเอง
หลังภรรยาคนแรกของตู้เชิงหรงเสียชีวิต คุณชายใหญ่ก็ย้ายออกจากคฤหาสน์ และแทบไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย
คุณชายใหญ่ตู้มาที่นี่ตอนนี้เพราะอยากดูเขาขายหน้าอย่างนั้นหรือ?
คุณชายใหญ่เดินผ่านหลิวเทียนเฉวียนโดยไม่ชายตาแลสักนิด ทำเหมือนเขาเป็อากาศธาตุที่มองไม่เห็น
ดีเด่มาจากไหนกัน เป็คนตระกูลตู้เหมือนกัน แต่คุณชายใหญ่ไม่มีแม่คอยช่วยเหลือ ไม่มีพี่น้องคอยสนับสนุน แม้ตอนนี้เขาจะเป็ลูกชายคนโปรด ทว่าวันเวลายังอีกยาวไกล!
หลิวเทียนเฉวียนยิ้มเย็น
คุณชายใหญ่ตู้เดินเข้าไปในคฤหาสน์ ท่าทีของเขาไม่มีความเ็าเหมือนตอนอยู่ด้านนอกอีกแล้ว เขาไม่เพียงกล่าวทักทายอย่างสนิทสนมว่า ‘คุณพ่อครับ’ เท่านั้น แม้แต่กับแม่เลี้ยงทั้งสามคนก็ไม่มีท่าทางหมางเมินสักนิด
“พ่อครับ ผมเจอคุณลุงหลิวที่หน้าบ้าน เขาอยู่เผิงเฉิงไม่ใช่หรือครับ”
คุณชายใหญ่ทำหน้าฉงนสงสัย แม้ปากหลิวเข่ออิ๋งจะยิ้มออกมาแต่ตาไม่ยิ้มด้วย “บังเอิญจริงๆ พอดีลุงเขากลับมารายงานเื่ธุรกิจที่เผิงเฉิงน่ะ”
ตู้เชิงหรงมองหน้าลูกชายคนโต “ลูกอยากพูดอะไร”
เขาคงได้ยินว่าหลิวเทียนเฉวียนกำลังจะซวยถึงได้กลับบ้านสินะ ตู้เชิงหรงอยากรู้ว่าลูกชายคนโตของเขาคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
คุณชายใหญ่ตู้แค่ยิ้มแต่ไม่ตอบกลับแต่อย่างใด
ต่อให้คฤหาสน์สกุลตู้จะใหญ่สักแค่ไหน ประตูทางเข้ากับห้องโถงก็ใกล้กันมาก หลิวเทียนเฉวียนกลั้นใจอยู่นานก่อนจะเดินเข้ามา ตู้เชิงหรงไม่ให้โอกาสเขาได้แก้ตัว เพียงคำถามแรกก็ทำเอาหลิวเทียนเฉวียนพูดอะไรไม่ออก
“ไปมีเื่กับใครที่เผิงเฉิง ธุรกิจของบริษัทถึงได้เติบโตอย่างยากลำบาก ธุรกิจที่มณฑลิ่ก็เจอปัญหา ตอนแรกนายเป็คนร้องขอว่าอยากไปเผิงเฉิงเองไม่ใช่หรือ ตอนนี้ดันปล่อยให้มีเื่แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าทำไม่ไหวก็กลับฮ่องกงซะ ส่วนทางเผิงเฉิงฉันจะให้คนอื่นไปทำแทน!”
ตู้เชิงหรงพูดจาไม่เคยไว้หน้าใคร
คนที่จะได้รับความเคารพจากเขามีเพียงคู่ค้ากับคนที่เก่งกาจกว่าเขาเท่านั้น
คนที่ต้องพึ่งพาตระกูลตู้อย่างหลิวเทียนเฉวียน ทั้งยังไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตู้เชิงหรง เขายิ่งไม่มีทางได้รับความเห็นใจ
หลิวเข่ออิ๋งกัดริมฝีปากแน่น ถึงเธอจะมีลูกชายลูกสาวให้ตู้เชิงหรง แต่พี่ชายเธอไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับตระกูลตู้ เช่นนั้นแล้วเธอจะมีเกียรติได้อย่างไร
“ท่านประธาน ผมถูกคนกลั่นแกล้งครับ!”
ตู้เชิงหรงเป็น้องเขยของหลิวเทียนเฉวียน ทวีรเขามักเรียกอีกฝ่ายว่าท่านประธานอยู่เสมอ
หลิวเทียนเฉวียนเล่าเื่ราวที่เผิงเฉิง เขาย่อมไม่บอกว่าเหตุทั้งหมดเกิดเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง แต่กลับบอกว่าตนถูกนายกเทศมนตรีทังกีดกัน
ตู้เชิงหรงขมวดคิ้ว ทันใดนั้นคุณชายใหญ่ตู้ก็หัวเราะร่าออกมา
“คุณพ่อครับ พักเื่ธุรกิจที่มณฑลิ่ไว้ก่อนเถอะ ตลาดที่เผิงเฉิงเราจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร หากคุณพ่อไม่ว่าอะไร ผมยินดีไปช่วยงานคุณลุงหลิวที่เผิงเฉิงครับ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้