บนนาวาปราณจิติญญาขององค์หญิงเชียนเชียนยังแกะสลักคำว่า "เชียนเชียน" เอาไว้ แสดงชัดว่าเป็ของขวัญที่จู้ชิงขวงมอบให้เชียนเชียนนั่นเอง เล็กกะทัดรัดและสวยประณีต มิเหมือนกับเรือขนาดใหญ่ที่สำนักบริบาลเดรัจฉานใช้ ทั้งยังมีความคล่องตัวสูงยิ่งกว่า
ก่อนออกเดินทาง จ้านอู๋มิ่งแอบซื้อนาวาปราณจิติญญาระดับต่ำไว้สองลำ เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน คำเตือนของจู้เชียนเชียน ทำให้เขาต้องขบคิดและรอบคอบในทุกเื่ ถ้ามอบความหวังทั้งหมดไว้ที่นาวาลำใหญ่ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน หากเกิดเหตุนอกเหนือความคาดหมายในสถานพำนักของคุนเผิง ตนเอง้าเหินบินออกมาย่อมเป็ไปไม่ได้ หากมีวัตถุจิติญญาแทนเท้า ย่อมสะดวกสบายขึ้นมาก
นาวาปราณจิติญญาระดับต่ำ จ้านอู๋มิ่งยังพอหาซื้อได้อยู่ กล่าวถึงที่สุดตนเคยปล้นแหวนจักรวาลของสองจักรพรรดิามาแล้ว มิว่าอย่างไรก็นับได้ว่าเป็เศรษฐีน้อยๆ ผู้หนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งอาจมิได้ลอบสังเกตพฤติกรรมของเฉวียนหรูเซิน หากไม่มีคำเตือนของจู้เชียนเชียน บางทีเขาอาจไม่ทันมองเห็นรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ เพราะการที่ศิษย์พี่ตบไหล่ของตน นับว่าปกติธรรมดายิ่งนัก ผู้ใดจะไปสนใจกันเล่า ถ้ามิใช่จ้านอู๋มิ่งมีการเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว การกระทำทุกอย่างของเฉวียนหรูเซินเขาล้วนคอยสังเกตอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ก็จะเห็นยามลอบลงมือของเฉวียนหรูเซิน
เมื่อเป็เช่นนี้ ในใจจ้านอู๋มิ่งก็ไม่มีน้ำใจไมตรีของศิษย์ร่วมสำนักอันใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว การจัดการคนที่คิดสังหารตน วิธีที่ดีที่สุดก็คือคนที่ลงมือก่อนมักได้เปรียบ มิว่าคนผู้นั้นจะเป็ใคร
……
แล่นเรือเป็เวลาสองวันจึงเข้าใกล้บริเวณสถานพำนักของคุนเผิง ระหว่างเดินทาง สัตว์อสูรในมหาสมุทรไม่กล้าออกมาก่อเื่สร้างปัญหา บริเวณนี้คือน่านน้ำของมหาสมุทรชั้นใน ยังมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในส่วนลึกของมหาสมุทรวันสิ้นโลก สภาวะพลังของตัวประหลาดเฒ่าของแต่ละสำนักบนเรือลำใหญ่เมื่อแผ่ออกไป สัตว์อสูรในรัศมีหลายสิบลี้ก็หมอบซ่อนตัวมิออกมาแล้ว แน่นอนว่าเฉพาะสำนักนิกายใหญ่ไม่กี่สำนักเท่านั้น
นักบ่มเพาะทั่วไปก็มีหลายคนเช่นกันที่รวมตัวกันเป็คณะเดินทาง ฐานบ่มเพาะของคนเ่าั้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราชันา ไม่มีข้อได้เปรียบใดต่อสัตว์อสูรในน่านน้ำมหาสมุทร ดังนั้นจึงมีผู้ที่เคราะห์ร้ายส่วนหนึ่งที่ยังมิทันได้เข้าใกล้สถานพำนักของคุนเผิง ก็ถูกฝังร่างอยู่ในปากของสัตว์อสูรเสียแล้ว
แต่ละสำนักนิกายใหญ่ล้วนเมินเฉยต่อคนเหล่านี้ เสแสร้งทำเป็มิเห็น ผู้คนเหล่านี้หลังจากเข้าสถานพำนักของคุนเผิงแล้ว ก็จะกลายเป็คู่แข่งของศิษย์สำนักนิกายใหญ่ ยามนี้เสียชีวิตมากขึ้นอีกหน่อย ถึงเวลานั้น ศัตรูก็จะลดน้อยลงส่วนหนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งมองไปที่สถานพำนักของคุนเผิงจากเรือลำใหญ่ บริเวณน่านน้ำแถบนั้นคล้ายดั่งอยู่ภายในม่านหมอก สายตาไม่สามารถมองทะลุเข้าไปได้เลย ดุจดั่งมีฝาครอบทรงกลมไร้ขอบเขตครอบอยู่
จ้านอู๋มิ่งเกิดความรู้สึกกดดันอย่างน่าแปลกประหลาดสายหนึ่งเกี่ยวกับฝาครอบนั้น ทราบดีว่าเป็พลังแห่งเขตแดนของคุนเผิง คุนเผิงยังคงร้ายกาจยิ่งนัก ดับสูญไปเนิ่นนานเพียงนี้แล้ว ฤทธิ์เดชยังคงหลงเหลืออยู่ เริ่มแรกในตอนนั้นสามารถเป็ราชันทรราชผู้ปกครองแผ่นดินนี้ เห็นได้ว่ามิใช่เื่บังเอิญ
“น่านน้ำเบื้องหน้าก็คือสถานพำนักของคุนเผิง ศิษย์ทุกคนรวมตัวเป็หมู่คณะแล้วเข้าไปเอง ทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง นาวาของสำนักจะรอคอยที่นี่เป็เวลาหนึ่งเดือน หลังจากหนึ่งเดือนแล้ว นาวาของสำนักได้แต่แล่นกลับสู่เมืองวันสิ้นโลก คนที่ตกค้างก็จะต้องเดินทางกลับเมืองวันสิ้นโลกด้วยตนเอง ดังนั้นทุกคนต้องจำไว้ให้มั่น กลับมาที่เรือตรงตามเวลา” น้ำเสียงชราของเยว่หลิงซานดังเข้าหูทุกคนเหมือนดั่งเสียงระฆังและเสียงกลองก็มิปาน
จ้านอู๋มิ่งสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง สำหรับสถานพำนักของคุนเผิง เขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ประสิทธิภาพของเคล็ดวิชาหมื่นิญญาผลัดเปลี่ยนกายาขัดเกลาร่างกายตนเป็ผลสำเร็จที่น่าพึงพอใจมาก หากตนสามารถเสาะแสวงหาพบแก่นโลหิตของคุนเผิง แล้วใช้เคล็ดวิชาหมื่นิญญาผลัดเปลี่ยนกายาเสริมสร้างร่างตนเองอีกครั้ง สามารถผลัดเปลี่ยนไขกระดูกสำเร็จในคราวเดียว เข้าถึงระดับของการผลัดเปลี่ยนโลหิตสำเร็จได้โดยตรง
คุนเผิงเป็สัตว์ร้ายเทียบเท่าสัตว์อสูรระดับเทพเ้า ถึงแม้สุดท้ายคุนเผิงจะทะยานขึ้นสู่อาณาจักรเบื้องบนไม่สำเร็จ มิใช่เพราะไม่มีพลังอำนาจ แต่เป็เพราะระหว่างฟ้าดินไม่มีพลังแก่นแท้จิติญญาให้หยิบยืม อาศัยเพียงแต่กายเนื้อ การทลายนภาแยกจากฟ้าดินช่างยากเย็นแสนเข็ญ คุนเผิงสามารถฉีกกระชากสิ่งกีดขวางที่กางกั้นแผ่นดินใหญ่ได้โดยตรง ข้ามไปถึงอีกแผ่นดินหนึ่ง ก็ทำให้ได้รู้ว่าคุนเผิงตัวนี้ใกล้จะเติบโตเต็มที่แล้ว ถ้าอย่างนั้นประสิทธิภาพของแก่นโลหิตจะต้องแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งนัก สำหรับเื่อื่นๆ นั้น จ้านอู๋มิ่งมิรู้สึกสนใจ
“ทุกคนทิ้งป้ายิญญาเอาไว้” เยว่หลิงซานออกคำสั่งอีกครั้ง
บรรดาศิษย์ทั้งหมดของสำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนประทับตราิญญาของตนลงบนแผ่นป้ายไม้ที่แตกต่างกันไป นี่คือป้ายิญญาของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ขอเพียงคนยังมีชีวิตอยู่ ป้ายไม้จะคงอยู่ดังเดิม หากคนเสียชีวิต เช่นนั้นป้ายิญญาก็จะแตกสลาย
ถ้าหากภายในหนึ่งเดือนมีผู้ใดยังไม่กลับมา ขอเพียงป้ายิญญาไม่แตกสลาย ทางสำนักจะยังคงเหลือนาวาลำเล็กไว้รอคอย สำหรับนาวาปราณจิติญญาขนาดใหญ่ลำนี้ จะต้องกลับเมืองวันสิ้นโลกอย่างแน่นอน เพราะรอคอยทุกหนึ่งวัน ปริมาณหินอัคคีิญญาที่ใช้ขับเคลื่อนนาวาลำใหญ่สิ้นเปลืองมากจนน่าใยิ่งนัก
……
จ้านอู๋มิ่งและต้วนหลิวฉางกับพรรคพวกสิบคนรวมตัวเป็คณะหนึ่ง ต้วนหลิวฉางเสียดายยิ่งนักที่จ้านอู๋มิ่งปฏิเสธร่วมคณะกับเฉวียนหรูเซิน ในความคิดของเขา มีเฉวียนหรูเซินอยู่ด้วยจะปลอดภัยยิ่งขึ้น การเดินทางของสำนักบริบาลเดรัจฉานครั้งนี้ ขอบเขตฐานบ่มเพาะของเฉวียนหรูเซินสูงที่สุด และเขายังเป็ราชันสัตว์ร้ายแห่งสิบราชันพั่วเหยียน พลังต่อสู้ในระดับขอบเขตเดียวกันมีคู่ต่อสู้ที่สามารถสู้ได้ไม่กี่คน แต่ว่าสำหรับจ้านอู๋มิ่งเลือกร่วมคณะเดียวกับตน ต้วนหลิวฉางรู้สึกประทับใจมาก เขารู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ซื่อสัตย์และภักดียิ่งนัก ศิษย์พี่น้องคนอื่นๆ ในคณะนี้ต่างก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกับต้วนหลิวฉาง
มิมีผู้ใดคิดว่าจ้านอู๋มิ่งเป็ตัวภาระ เนื่องจากพวกเขาทราบถึงพร์ในการบริบาลสัตว์เดรัจฉานของจ้านอู๋มิ่ง ในมหาสมุทรที่ไม่รู้จักนี้ แม้พลังต่อสู้แข็งแกร่งเพียงใดก็เหลือเพียงราชันาระดับต้น แตกต่างกันไม่มากนัก ช่องว่างที่แท้จริงอยู่ที่ความสามารถในการควบคุมสัตว์อสูรในน่านน้ำมหาสมุทรที่ไม่รู้จักแห่งนี้
“ปรากฏว่าแรงกดดันทางพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้นั้นทรงพลังมาก” คนที่พูดคือตู้เยว่ิ ราชันาเจ็ดดาว ในฐานะหลานชายของผู้าุโ ท่านผู้เฒ่าตู้เทียนซิง ตู้เยว่ิได้รับความนิยมในสำนักบริบาลเดรัจฉานมาก เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้าุโตู้เทียนซิงและจ้านอู๋มิ่งดีขึ้น ตู้เยว่ิและจ้านอู๋มิ่งก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเนื่องจากจ้านอู๋มิ่งขโมยสัตว์อสูรจิติญญาพิทักษ์ขุนเขาของเขาไป และยังถูกสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวโจมตีอย่างรุนแรงคราหนึ่ง เขาจึงไปร้องเรียนกับท่านอาของตน ผลปรากฏว่าคนคลั่งเฒ่ากับท่านอาเกือบลงไม้ลงมือกันขึ้นมา
ในตอนแรก เขาโกรธเคืองจ้านอู๋มิ่งมาก แค้นที่ไม่สามารถทุบตีอย่างรุนแรงสักรอบ แต่ภายหลัง เขาพบว่าจ้านอู๋มิ่งทำให้สัตว์อสูรจิติญญาพิทักษ์ขุนเขาของเขาเพิ่มชีพจรสายเืของสัตว์เทพยดา พลังต่อสู้ทะยานพุ่งพรวดขึ้นหลายเท่า ในตอนแรกตู้เยว่ิยังรู้สึกว่าเหลือเชื่อ ภายหลังรู้สึกยินดีปรีดาแทบคลั่ง ทุกอย่างจึงถูกปล่อยวาง เลิกแล้วต่อกัน บวกกับความสัมพันธ์ของตู้เทียนซิง ความสัมพันธ์ของเขากับจ้านอู๋มิ่งเริ่มเปลี่ยนเป็ใกล้ชิดกันมากขึ้น เขาเองก็เป็คนเชิญจ้านอู๋มิ่งเข้าร่วมคณะ
“ศิษย์พี่ตู้รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ต้วนหลิวฉางถาม
“เพิ่งจะเข้าสู่น่านน้ำแถบนี้ ยังสามารถใช้พลังของราชันาสามดาวได้” ตู้เยว่ิควงๆ กำปั้น ลองใช้ััรับรู้เล็กน้อย แล้วพึมพำขึ้น
“แต่ข้าใช้พลังได้แค่ราชันาสองดาวเท่านั้น หรือว่าจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล?” คนที่พูดคือฉินเฮ่าหราน หลานชายคนเล็กของฉินจง เดิมมีพลังระดับราชันาห้าดาว
“อาจเป็เพราะฐานบ่มเพาะของข้าสูงกว่าเ้าเล็กน้อย ได้ยินมาว่ายิ่งเข้าไปข้างใน ช่องว่างนี้ก็จะยิ่งน้อยลง” ตู้เยว่ิคิดๆ ดูแล้วกล่าวขึ้น
“ฐานบ่มเพาะพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของข้ายังคงลดลงเรื่อยๆ” ฉินเกออุทานเสียงเบา
“อืม พลังของข้าก็ลดลงเช่นกัน!” ตู้เยว่ิลองััรับรู้คราหนึ่ง แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่น่านน้ำสถานพำนักของคุนเผิงอย่างรวดเร็วด้วยนาวาปราณเหาะระดับกลางขนาดเล็ก พวกเขารับรู้ได้ว่า พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้บนร่างลดระดับลงตลอดเวลา
“ไอน้ำที่นี่เข้มข้นยิ่งนัก แทบจะควบแน่นเป็หมอกแล้ว ทุกคนระมัดระวังกันหน่อย ถ้ามีสัตว์อสูรอยู่บริเวณใกล้ๆ นั้นไม่เป็ผลดีต่อพวกเราอย่างยิ่ง!” พลันจ้านอู๋มิ่งก็พูดเตือนขึ้น
เขาลอบใช้ััรับรู้คราหนึ่ง กฎเกณฑ์และเขตแดนของที่นี่ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อพลังของกายเนื้อเลย อาจเป็เพราะพลังของร่างกายมนุษย์ ไม่ได้พึ่งพาอาศัยกฎเกณฑ์ของโลกภายนอก ดังนั้นจึงไม่ถูกรบกวนแต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้เขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ส่วนผลกระทบต่อพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ สำหรับเขาแล้วมิมีปัญหาใดเลย เนื่องจากฐานการบ่มเพาะพลังจิติญญาการต่อสู้ของเขายังไม่ทะลวงด่านบรรลุขั้นราชันาเลยด้วยซ้ำ กฎเกณฑ์จึงไม่มีกระทบต่อเขาแต่อย่างใด
“ศิษย์น้องจ้านพูดถูกแล้ว ทุกคนสลับกันแล่นเรือ ห้าคนต่อหนึ่งหน่วย หนึ่งคนควบคุมเรือ สี่คนเตรียมพร้อมรับศึก แจ้งเตือนทันทีถ้ามีเหตุการณ์ใด” ตู้เยว่ิเป็หัวหน้าของคณะนี้ หลังจากเขาพูดจบ ทุกคนแบ่งเป็สองหน่วยอย่างรวดเร็ว แต่ละคนรับผิดชอบในหน้าที่ ที่เหลือพักออมแรงรวบรวมสมาธิเตรียมพร้อมไว้ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง
“อ๊าก…” เสียงร้องน่าอนาถดังมาจากเบื้องหน้าไม่ไกล พริบตาเดียวทำลายความเงียบของน่านน้ำในแถบนี้ไป พลันทุกคนบนเรือ จิตสมาธิเกิดความเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด
“ระวังข้างหน้า เป็ไปได้มากว่าจะเจอกับสัตว์อสูรเข้าแล้ว ให้สังเกตผิวน้ำ” ตู้เยว่ิะโคำหนึ่ง สายตาเพ่งมองไปทิศทางตามเสียงร้อง
“ศิษย์พี่ พวกเราจะเข้าไปดูหรือไม่?” ราชันาสามดาว เฉินอวิ๋นหู่ถามขึ้น ฐานบ่มเพาะของเขาลดระดับลงเหลือแค่ราชันาสองดาว กำลังจะลดลงเป็ราชันาหนึ่งดาวแล้ว
“ฟังจากเสียงร้อง มิใช่ศิษย์พี่น้องของสำนักบริบาลเดรัจฉานเรา อย่าไปยุ่งยากเลย พวกเราเพิ่งเข้าสถานพำนักคุนเผิงมินาน ยังมีภยันตรายติดตามมาอีกมากมายนัก มิสู้น้อยลงเื่หนึ่ง รีบเร่งเดินทางเต็มที่ ที่นี่นอกจากศิษย์สำนักเดียวกัน ที่เหลือล้วนเป็ศัตรูของพวกเรา มิเพียงต้องระวังสัตว์อสูร ยังต้องระวังการลอบโจมตีจากสำนักอื่นๆ” ตู้เยว่ิพูดอย่างชัดเจน
จ้านอู๋มิ่งมิกล่าววาจาใด ตู้เยว่ิสติปัญญาสูงล้ำ จ้านอู๋มิ่งเห็นด้วยกับคำพูดของเขาอย่างยิ่ง สิ่งที่จ้านอู๋มิ่งครุ่นคิดมากที่สุดก็คือ เฉวียนหรูเซินกำลังทำสิ่งใดอยู่ กำลังคิดสิ่งใดอยู่ พลันสีหน้าจ้านอู๋มิ่งแปรเปลี่ยน ตวาดเสียงต่ำ “เร็ว หันหัวเรือไปทางขวา ลอยตัวจากน้ำขึ้นไปกลางอากาศ!”
ฉินเกอที่ควบคุมเรือตกตะลึง รีบทำตามทันที รีบหันหัวเรือเหาะไปทางขวามือ ขณะเดียวกันก็เร่งพลังของหินอัคคีิญญาเพิ่มขึ้น พริบตาเดียว ตัวเรือเหาะบินจากน้ำขึ้นไปกลางอากาศทันที
ทุกคนไม่เข้าใจสาเหตุ แต่พวกเขาเชื่อมั่นว่าจ้านอู๋มิ่งไม่พูดโดยไร้จุดมุ่งหมาย ดังนั้นทุกคนจึงเตรียมพร้อมกันขึ้นมา
จ้านอู๋มิ่งเพิ่งพูดจบ พวกเขาเพิ่งทะยานขึ้นสู่อากาศ ผิวน้ำก็แยกกระเซ็นเป็บุปผาน้ำขนาดใหญ่ “ตูมมม” เสียงดังสนั่น ศีรษะอันใหญ่โตหัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ เงาดำขนาดใหญ่สายหนึ่งกระโจนเข้าหาเรือเหาะบนท้องฟ้า พร้อมปากที่เหมือนโพลงถ้ำขนาดใหญ่ ลึกจนมองมิเห็นก้น ตลอดจนทุกคนบนเรือได้กลิ่นคาวเือันน่าสยดสยองที่ฟุ้งกระจายพวยพุ่งออกมาจากปากั์นั้น
ทุกคนตื่นตระหนกใหญ่หลวง เมื่อครู่หากจ้านอู๋มิ่งมิร้องเตือน ปากั์ขนาดมหึมานี้สามารถฮุบกลืนเรือเหาะของพวกเขาเข้าไปทั้งลำในครั้งเดียว สัตว์อสูรในมหาสมุทรขนาดช่างใหญ่โตเกินไป แต่ก็เพราะร่างกายของมันใหญ่โตมากเกินไป สัตว์อสูรตัวนั้นะโขึ้นได้กว่าสิบวาแล้วก็ร่วงกลับลงไปอย่างหนักหน่วง
“ตูมมม…” น้ำทะเลถูกกระแทกจนกลายเป็กระแสน้ำวนขนาดใหญ่มหึมา กระฉานซ่านเซ็นออกดุจชิ้นส่วนของดอกไม้สีขาว เหงื่อเย็นเยือกหลั่งบนแผ่นหลังของทุกคน
“สัตว์ประหลาดชนิดนี้คือสิ่งใด?” สีหน้าฉินเกอซีดขาว เมื่อครู่หากมิใช่จ้านอู๋มิ่งเตือนขึ้น เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงเข้าไปอยู่ภายในปากของสัตว์ประหลาดนั้นแล้ว
“ฉลามคลั่งอสูรฟ้า ตัวนี้ยังมิใช่ตัวที่ใหญ่ที่สุด ตัวที่ใหญ่ที่สุดลำตัวอาจยาวร่วมร้อยวา พลังของมันสามารถพลิกูเาคว่ำทะเล ตัวเมื่อครู่เพิ่งจะเริ่มโต เทียบได้กับสัตว์อสูรระดับสี่” จ้านอู๋มิ่งก็สูดหายใจคราหนึ่งจากความรู้สึกกลัวที่ตามมา พูดเสียงทุ้มต่ำ
ทุกคนพูดไม่ออก ร่างกายใหญ่กว่าร้อยวา พลังนั้นหนักหน่วงมหาศาล ตัวเมื่อครู่นั้นก็มีขนาดหลายสิบวาแล้ว ถ้าโดนเ้าตัวนี้พุ่งชนเข้าครั้งหนึ่ง เกรงแต่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถรักษานาวาปราณจิติญญาระดับกลางนี้ไว้ได้แล้ว ถึงแม้ฉลามคลั่งอสูรฟ้าตัวหนึ่งสังหารพวกเขาไม่ได้ แต่ในห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เรือเหาะเสียหายนับเป็เื่ที่ยุ่งยากอย่างยิ่งเื่หนึ่ง
ศิษย์พี่หลายคนแอบรู้สึกว่าตนเองโชคดี ยังดีที่มีจ้านอู๋มิ่งอยู่บนเรือของพวกเขา