ภายในจวนตระกูลหวง
“อี้เอ๋อร์ ตามที่เ้าไปดูมา ผลเป็อย่างไรบ้าง?”
หวงไท่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานของจวนเอ่ยถามขึ้น
“ฮ่าๆ ท่านพ่อ เมื่อคนเ่าั้เห็นว่าอาวุธที่ตนสั่งทำไม่มาเสียที พวกเขาก็เริ่มก่อความวุ่นวายเลยขอรับ ส่วนร้านค้ายาทั้งสามแห่งของตระกูลมู่ เนื่องจากไม่มีสินค้าวางขาย พวกเขาจึงปิดร้านไปแล้วขอรับ”
หวงอี้กล่าวพลางหัวเราะ
“หึๆ เป็อย่างไร คราวนี้ถือว่าพ่อได้ระบายความโกรธแทนเ้าแล้วหรือยัง”
หวงไท่เหยียดยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นดวงตาของเขาก็ทอประกายเย็นะเืออกมา “ในเมื่อตระกูลมู่คิดจะปิดข่าวจากตระกูลหวง เช่นนั้นครั้งนี้ข้าขอดูหน่อยว่าพวกเ้าจะทำอย่างไร”
“ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่าตระกูลมู่สายรองนั้นมีตระกูลมู่สายหลักคอยหนุนหลังมิใช่รึขอรับ หากเราล่วงเกินพวกเขาเช่นนี้ ทางตระกูลมู่สายหลักจะแก้แค้นแทนพวกเขาหรือไม่ขอรับ”
หวงอี้ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“เฮอะๆ เวลานี้สถานการณ์ของตระกูลมู่สายหลักนั้นก็ไม่ต่างจากดวงตะวันที่จวนจะลาลับขอบฟ้าอยู่รอมร่อ ในระหว่างนี้พวกเขาไม่มีเวลามาสนใจที่นี่หรอก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เราก็มีตระกูลซั่งกวานและท่านอ๋องผู้นั้นคอยหนุนหลังมิใช่รึ อีกอย่าง การสร้างสถานการณ์ในครั้งนี้ไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าเป็ฝีมือของเราอย่างแน่นนอน รอหลังจากบดขยี้ตระกูลมู่ได้ จากนั้นค่อยคิดหาวิธีกำจัดตระกูลหวัง ถึงเวลานั้นอาณาเขตของเมืองอันหนานในรัศมีร้อยลี้ย่อมตกเป็ของตระกูลหวงเราทั้งหมด”
หวงไท่ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
“โอ้ ท่านพ่อช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ฮ่าๆ มู่เฟิง เ้าบังอาจตัดแขนของข้า รอเมื่อใดที่ตระกูลมู่ของเ้าจบสิ้น ข้าจะสังหารเ้าให้ตายคามือ!”
ดวงตาของหวงอี้เปี่ยมล้นด้วยความอาฆาต
ภายในโถงรับรองของตระกูลมู่ เวลานี้มู่ไห่กำลังนั่งหารือกับเหล่าผู้าุโหลายคนในตระกูลรวมถึงลุงฝูด้วย เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของพวกเขาดูเคร่งเครียดกันอย่างมาก
“ท่านผู้นำตระกูล ตอนนี้เริ่มมีกลุ่มคนมาก่อความวุ่นวายในร้านค้าอาวุธแล้วขอรับ หากพวกเราไม่สามารถตามอาวุธคืนกลับมาได้ คงทำได้เพียงต้องใช้เงินชดเชยค่าเสียหายขอรับ”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเหลืองกล่าวขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เนื่องจากไม่มีสินค้าวางขาย ร้านยาหลายแห่งของเราจึงต้องปิดไปก่อนขอรับ ทำให้ตอนนี้ลูกค้าของเราได้เปลี่ยนไปสั่งซื้อสินค้ากับทางร้านของตระกูลหวังและตระกูลหวงแทนแล้วขอรับ หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าทางเราคงต้องเสียฐานลูกค้าไปอย่างแน่นอน”
ผู้าุโอีกคนในชุดคลุมสีเทาได้กล่าวขึ้น
มู่ไห่หลับตาคิดหนัก ตอนนี้ในหัวของเขากำลังยุ่งเหยิงเป็อย่างยิ่ง
“ร้านค้ายานั้นสามารถหยุดได้ชั่วคราว แต่ร้านค้าอาวุธจำเป็ต้องส่งมอบสินค้าตามคำสั่งซื้อ ไม่เช่นนั้นเราคงต้องเสียเงินชดเชยเป็จำนวนมาก ท่านผู้นำตระกูล หากไม่ได้เช่นนั้นเราขอยืมอาวุธจากอีกสองตระกูลมาก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
ลุงฝูกล่าวเสนอความเห็น
มู่ไห่ที่กำลังหลับตาลง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ขอยืม เกรงว่าพวกเขาคงอยากเห็นตระกูลมู่ของเราสูญเงินจนล้มละลายเสียมากกว่า คนอย่างพวกเขาจะยินยอมให้ยืมได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นการปล้นในครั้งนี้คงเป็ฝีมือหนึ่งในพวกเขาสองตระกูลนั่นแหละ เราเพียงแค่ไม่มีหลักฐานก็เท่านั้น ดังนั้นอย่าได้หวังจะยืมอาวุธปราณจากพวกเขาเลย”
“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี? หากเราไม่สามารถส่งมอบอาวุธตามคำสั่งซื้อได้ ทางเราคงต้องจ่ายเงินมัดจำคืนเป็สิบเท่า”
ทุกคนต่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
“อาวุธปราณงั้นรึ ข้ามี”
ทันใดนั้นเอง ได้ปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำรูปร่างกำยำและมีใบหน้าหล่อเหลาก็เดินเข้ามาในโถงรับรองด้วยท่าทางองอาจ
“คุณชายมู่เฟิง”
ทุกคนต่างหยัดกายลุก ก่อนจะกำหมัดคำนับอีกฝ่าย
“ท่านอาไห่ ผู้าุโทุกท่าน”
มู่เฟิงกำหมัดคำนับอีกฝ่ายอย่างไว้มารยาท จากนั้นเขาได้กล่าวต่อว่า “ข้าพอมีอาวุธปราณอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าจะเพียงพอหรือไม่”
“คุณชายเฟิง ข้าขอขอบคุณในความเมตตาของท่าน เพียงแต่ครั้งนี้พวกเราไม่ได้ขาดแคลนอาวุธปราณเพียงแค่หนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น”
มู่ไห่กล่าวขึ้นก่อนจะถอนหายใจ
มู่เฟิงเพียงยิ้มบางออกมาโดยไม่ได้กล่าวอะไร จากนั้นพลันปรากฏแสงสีขาวส่องสว่างออกมาจากนิ้วมือของเขา
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง...!
ไม่นานก็ปรากฏเสียงโลหะตกกระทบพร้อมกับอาวุธที่ร่วงหล่นลงมากองอยู่บนพื้น ซึ่งจำนวนของมันนั้นมีมากถึงยี่สิบชิ้น!
ทุกคนต่างจ้องมองอาวุธตรงหน้าอย่างตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าอาวุธแต่ละชิ้นบนพื้นกำลังส่งกลิ่นอายของพลังปราณออกมา
แน่นอนว่าอาวุธเหล่านี้ไม่ใช่อาวุธธรรมดา คลื่นความผันผวนของพลังงานที่แผ่ออกมานั้นบ่งบอกได้ว่าอาวุธทั้งหมดนี้ล้วนเป็อาวุธปราณ!
“อะ อาวุธปราณมากมายเช่นนี้ นี่มัน...”
ทุกคนต่างตกตะลึงในคราแรก จากนั้นพวกเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“เท่านี้พอหรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถาม แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์จากการที่เขาเก็บตัวฝึกฝนวาดลายเส้นมาตลอดหลายวัน
“อึก! พอ พอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”
ผู้าุโสามจ้องมองอาวุธปราณบนพื้น พลางกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “แม้จะมีสองสามชิ้นที่ไม่ตรงตามคำสั่งซื้อ แต่ส่วนใหญ่ล้วนสอดคล้องกับความ้าของลูกค้า ถึงจะต้องชดเชยค่าเสียหายแต่ก็คงไม่มากเหมือนในคราแรก”
“ฮ่าๆ ช่างยอดเยี่ยมนัก คุณชายเฟิง คราวนี้ท่านช่วยกอบกู้ตระกูลมู่ของเราแล้ว”
เวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง มู่ไห่พลันถอนสายตาตกตะลึงออก ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “เสี่ยวเฟิง เหตุใดเ้าจึงมีอาวุธปราณมากมายเช่นนี้?”
มู่เฟิงเพียงกระตุกยิ้มและกล่าวตอบว่า “ความลับขอรับ ฮึๆ ท่านผู้าุโสาม หากยังขาดแคลนอาวุธปราณแบบใด ท่านหาอาวุธธรรมดาในแบบเดียวกันส่งมาให้ข้าแทนได้เลยนะขอรับ”
“ยังขาดหอกยาว ดาบและกระบี่อย่างละหนึ่งชิ้น”
ผู้าุโสามกล่าวตอบ แต่จากนั้นเขาก็พลันได้สติกลับมาในทันที หลังจากที่ทุกคนได้สติจากความตื่นเต้นดีใจ พวกเขาต่างก็หันมองมู่เฟิงด้วยสายตาตกตะลึง
“เสี่ยวเฟิง ระ หรือว่า เ้าสามารถสลักลายเส้นได้? เ้าเป็นักสลักลายเส้นงั้นรึ!”
มู่ไห่กล่าวขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
“อืม... จะว่าอย่างไรดี เมื่อก่อนข้าเคยเรียนรู้มานิดหน่อยเท่านั้นเองขอรับ”
มู่เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ
มู่ไห่กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ถ้าอย่างนั้น อาวุธปราณเหล่านี้ล้วนเป็ฝีมือของเ้า...”
มู่เฟิงพยักหน้า
“ฮ่าๆ ช่างยอดเยี่ยมนัก คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลมู่ของเราจะมีนักสลักลายเส้นปรากฏตัวขึ้นอีกคนแล้ว!”
“ยอดเยี่ยม นับเป็เื่ดีของตระกูลยิ่งนัก!”
ทุกคนต่างกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นยินดี นักสลักลายเส้นนั้นนับเป็บุคคลที่พบเห็นได้น้อยมาก กระทั่งในเมืองอันหนานยังไม่มีเลยสักคน ส่วนบรรดาเครื่องมือปราณและอาวุธปราณที่พวกเขาวางขายในเมืองอันหนานนั้น ล้วนสร้างขึ้นจากที่อื่นทั้งสิ้น
เมื่อมู่เฟิงได้เห็นท่าทางดีใจของเหล่าผู้าุโ เขาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เนื่องจากนักสลักลายเส้นนั้นพบเห็นได้น้อยมาก ดังนั้นต่อให้เป็เพียงนักสลักลายเส้นในระดับเริ่มต้น สถานะของพวกเขาก็ยังสูงส่งกว่าคนทั่วไป
“เสี่ยวเฟิง ทางตระกูลหลักทราบเื่นี้หรือไม่”
มู่ไห่เอ่ยถามถึงตระกูลหลักในทันที
มู่เฟิงส่ายหน้า เมื่อทราบดังนั้นมู่ไห่ก็สงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะหันไปกล่าวกับทุกคนอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าอย่างไรเื่ที่คุณชายเฟิงเป็นักสลักลายเส้นจะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด พวกเ้าเข้าใจหรือไม่”
ทุกคนต่างพยักหน้าด้วยความจริงจัง จากนั้นมู่ไห่ได้หันมากล่าวกับมู่เฟิงด้วยท่าทางอึดอัดใจว่า “เสี่ยวเฟิง มูลค่าราคาของอาวุธปราณเหล่านี้ทางตระกูลรองจะชดใช้คืนให้เ้าแน่นอน เพียงแต่จำเป็ต้องให้เวลาพวกเราเสียหน่อย เนื่องจากต้องขายอาวุธปราณเหล่านี้เพื่อเอาเงินทุนกลับคืนมาก่อน”
“ฮ่าๆ ท่านอาไห่ ระหว่างเราเหตุใดยังต้องกล่าวถึงเื่นี้กันอีก อย่างไรก็ครอบครัวเดียวกัน เมื่อครอบครัวประสบปัญหาข้าย่อมต้องลงมือช่วยเหลือ อาวุธปราณเหล่านี้ถือว่าข้ามอบให้ แต่หากท่านยัง้าอาวุธปราณอื่นอีก ท่านต้องหาอาวุธธรรมดามาให้ข้าก่อน เพราะเวลานี้ข้าไม่เหลือเงินซื้ออาวุธใหม่แล้ว”
มู่เฟิงกล่าวพลางหัวเราะ
“คุณชายเฟิงนับว่ามีคุณธรรมสูงส่งยิ่ง”
หลังทุกคนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็อย่างมาก หากเทียบกับบรรดาคนรุ่นเยาว์คนอื่นในตระกูลแล้ว มู่เฟิงควรค่าที่จะถูกยกย่องให้เป็อันดับหนึ่งของตระกูลอย่างแท้จริง
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เ้าอุตส่าห์สลักลายเส้นมาด้วยความยากลำบาก ข้าไม่อาจรับประโยชน์จากเ้าได้เพียงฝ่ายเดียว เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะแบ่งเงินจากการขายอาวุธปราณเหล่านี้ออกเป็สามต่อเจ็ด ของตระกูลมู่สามส่วน ของเ้าเจ็ดส่วน”
มู่ไห่กล่าวขึ้น
“อา เอาเช่นนั้นก็ได้ขอรับ แต่ข้าว่าสามต่อเจ็ดนั้นอาจจะน้อยเกินไป เอาเป็ว่าแบ่งให้ข้าสี่ส่วน และอีกหกส่วนเป็ของตระกูลมู่แบบนี้จะดีกว่า ท่านอาไห่ หลายวันมานี้ข้าไม่ได้พักผ่อนเลย ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้วขอรับ”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นก่อนจะกำหมัดคำนับอีกฝ่ายเพื่อเป็การตัดบท จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินจากไป
มู่ไห่และผู้าุโคนอื่นต่างมองตามแผ่นหลังที่ดูเหนื่อยล้าของเด็กหนุ่ม จากนั้นพวกเขาได้หันกลับมามองอาวุธปราณบนพื้นด้วยความรู้สึกที่หลายหลาก
“ท่านผู้นำตระกูล การที่ตระกูลมู่ของเรามีบุตรหลานเช่นคุณชายเฟิงดำรงอยู่นั้น นับว่าเป็วาสนาของตระกูลมู่เราอย่างยิ่งแล้วขอรับ”
ลุงฝูทอดถอนใจ
“ถูกต้อง นับเป็วาสนาของตระกูลมู่อย่างแท้จริง เมื่อมีบุคคลเช่นนี้ดำรงอยู่ ตระกูลมู่ของเราย่อมไม่มีวันถดถอยอย่างแน่นอน!”
มู่ไห่กล่าวอย่างหนักแน่น