“ม่อเวิ่นเฉิน รนหาที่ตายจริงๆ” ลูกศรเย็นลอยผ่านม่อเวิ่นเสวียนไป เขารีบขยับตัวหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตีลังกาด้านข้างกลางอากาศและกลับไปอยู่บนหลังม้าของตนเพื่อโบกมือออกคำสั่ง
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ขยับมือนั้นเหลิ่งเหยียนและกองทหารโลหิตก็ได้เริ่มลงมือแล้ว
เมื่อลูกศรเย็นเล็งออกไปสามดอกนั้นม่อเวิ่นเฉินก็ได้ปามีดบินกว่าสิบดอกออกไปในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดล้วนเล็งไปทางเหลยอวี๊เฟิงมันไม่ได้โจมตีไปที่ทหารองครักษ์ฝ่ายในสองคนที่ยืนคุมเขาไว้แต่ล้วนโจมตีลงบนปมเชือกที่มัดเขาไว้ทั้งหมด
หลังจากที่มีดบินลอยผ่านเชือกทั้งหมดก็ร่วงลงสู่พื้น
เมื่อเหลยอวี๊เฟิงถูกปล่อยออกมาวินาทีแรกเขาก็ยกมือขึ้นบีบกระดูกที่ลำคอขององครักษ์ฝ่ายในสองคนที่อยู่ด้านข้างทันที...
จากนั้นเขาก็ถีบตัวลอยขึ้นและลงหยุดอยู่บนม้าด้านหลังม่อเวิ่นเฉิน และเงยหน้ามองฟ้าพร้อมร้องะโเสียงยาวออกมา
ซูฉีฉีนั้นมิได้รู้สึกแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่นางรู้ว่าม่อเวิ่นเฉินมิใช่คนที่จะยอมอะไรได้ง่ายๆ เพราะว่าเขาคือม่อเวิ่นเฉิน!
เพียงแต่ว่าเข็มทองในมือของนางกลับสั่นเล็กน้อย
าได้เริ่มขึ้นแล้ว
เหลิ่งเหยียนได้นำกองทหารโลหิตเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในยุทธภพที่ม่อเวิ่นเสวียนได้เชิญมาแต่เพราะว่าเหลิ่งเหยียนนั้นได้ขยับรุกไปก่อนก้าวหนึ่งทำให้เป็ฝ่ายได้เปรียบเพียงพริบตาเดียวฝ่ายตรงข้ามก็ล้มลงไปเป็แถบแล้ว
แต่ว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็ยอดฝีมือที่ผ่านสนามรบมานับร้อยด้วยกันทั้งนั้นเพียงไม่กี่วินาทีก็ได้พลิกสถานการณ์ตรงหน้าให้กลับมาได้เปรียบแล้ว
แม้ว่ากองทหารโลหิตจะได้ขนานนามว่าเป็เหล็กโลหิตแต่พวกเขาไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือเหล่านี้ พวกเขาแค่พอจะต่อกรได้เท่านั้น
ม่อเวิ่นเฉินและม่อเวิ่นเสวียนล้วนอยู่บนหลังอาชาจ้องมองกันอยู่ไกลๆ
เวลานี้สีหน้าของม่อเวิ่นเฉินก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงคงไว้ซึ่งความสงบและสง่างามอยู่เช่นเคยเขามิใช่ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาแต่เพราะว่าเขาไม่เคยมองคนเ่าั้แม้แต่น้อยเขาทำเหมือนคนพวกนั้นไม่มีตัวตนก็มิปาน
ม่อเวิ่นเสวียนที่เกือบโดนศรปักเมื่อครู่ได้แต่มองน้องชายของตนด้วยความเคียดแค้น
พวกเขานั้นเป็พี่น้องสายเืเดียวกันแต่เพียงเพราะว่าอำนาจทำให้ต้องมาคอยเข่นฆ่ากันเอง
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ม่อเวิ่นเฉิน้าเขาเพียงอยากจะช่วยสหายของตน เพียงอยากจะกลับเมืองอ้าวคุมดินแดนผืนนั้นที่เขาปกครองเท่านั้น
แต่กลับมีคนไม่ยินยอม
ในเมื่อมีคนอยากเล่นด้วยเขาก็พร้อมจะสนองจนจบ
ทางด้านกองทหารโลหิตนั้นได้ค่อยๆถูกยอดฝีมือจากยุทธภพล้อม บีบให้พวกเขาต้องถอยไปเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้านั้นม่อเวิ่นเฉินมิค่อยได้เปรียบเท่าใดแล้วแต่เพราะเสียงร้องยาวๆ ของเหลยอวี๊เฟิงเมื่อครู่ทำให้บรรยากาศรอบๆเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแรงที่เหมือนจะฉีกขาดอากาศได้ก็มิปานพุ่งเข้ามาจากรอบทิศ
ทำให้ซูฉีฉีที่อยู่บนรถม้าอดที่จะตกตะลึงมิได้
ถ้าหากว่าพลังอันรุนแรงนั้นพุ่งมาทางม่อเวิ่นเฉินเกรงว่าวันนี้พวกเขาจะต้องตายทั้งกองทัพเป็แน่กระทั่งซูฉีฉียังคิดว่าตนอาจจะโชคร้ายเอาชีวิตมาจบลงที่นี่ด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อคิดไปถึงว่าต้องตายนางก็ทำเพียงแค่ขมวดคิ้วเบาๆ เท่านั้น
นางเลิกผ้าม่านขึ้นและมองออกไปด้านนอกนางกำลังคิดว่าตายเช่นนี้ คุ้มหรือไม่?
พลังอันน่ากลัวได้พุ่งเข้าไปร่วมในสมรภูมิรบแล้วยังดีที่มันไม่ได้บุกเข้าโจมตีม่อเวิ่นเฉินแต่กลับมาเพื่อช่วยเขา
นี่ก็คือพลังที่พวกเขาแอบลักลอบฝึกฝนมาเป็อย่างหนักตลอดหลายวันมานี้นี่ถึงจะเป็กองทหารโลหิตที่แท้จริง เหลิ่งเหยียนนำคนกลุ่มนั้นมาเป็เพียงแค่การทำหลอกๆเท่านั้น
แม้ว่ากองทหารโลหิตที่เหลิ่งเหยียนนำทัพนั้นมิได้แข็งแกร่งนักแต่กลับสามารถผสานกำลังกับกองทหารโลหิตด้านนอกได้เป็อย่างดีทำให้พวกเขาได้บีบยอดฝีมือยุทธภพนับพันไว้ตรงกลาง กลายเป็รูปแบบประหนึ่งว่านแหโอบล้อมผู้คนเ่าั้เอาไว้
การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเช่นนี้ทำให้สีหน้าของม่อเวิ่นเสวียนเขียวคล้ำขึ้นทันที
มือที่กำสายบังเหียนไว้สะบัดอย่างแรงทำให้ม้าที่เขาขี่อยู่นั้นส่งเสียงร้องยาวออกมาเหมือนกับว่ามันกำลังใและหวาดกลัว
องครักษ์ฝ่ายในด้านหลังของเขาค่อยๆขยับเล็กน้อยจนกลายเป็รูปแบบวงกลมคุ้มครองม่อเวิ่นเสวียนให้อยู่ในวงกลมอย่างปลอดภัยและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับาหลั่งโลหิตเบื้องหน้าได้ทุกเมื่อ
แต่เดิมม่อเวิ่นเสวียนคิดว่าตนนั้นจะต้องชนะแน่นอนเพราะอย่างน้อยก็มีหมากอย่างเหลยอวี๊เฟิงอยู่ในกำมือคาดไม่ถึงว่าเมื่อตอนทำการแลกเปลี่ยนนั้น ตนจะพลาดท่าเสียได้อีกทั้งตอนนี้ยังตกเป็รองอีกด้วย
ตอนนี้เขากลับรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนอยู่บ้างแล้ว
เขาน่าจะรู้ดีว่าตนนั้นไม่อาจสู้ม่อเวิ่นเฉินได้...
“คุ้มกันฮ่องเต้”ห่างไปไม่ไกลนักก็มีฝุ่นตลบอบอวลมุ่งหน้าเข้ามาพร้อมกับเสียงะโของแม่ทัพตามมาด้วยกองทหารม้าอีกพันนาย
เมื่อสังเกตดูดีๆ ก็เห็นว่าแม่ทัพที่นำกองทหารมานั้นคือซูชือฉาง
“ดูท่าไม่ดีเตรียมตัวถอย” ม่อเวิ่นเฉินขมวดคิ้วเบาๆกองทหารหนึ่งพันนายแม้จะไม่ได้ถูกฝึกอย่างเข้มงวดเหมือนเหล็กโลหิตแต่ก็ยังถือว่าน่ากลัวอยู่ไม่น้อย
เหลยอวี๊เฟิงก็รู้สึกได้ถึงความอันตรายที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาเขาถีบตัวลอยขึ้นจากหลังม้าก่อนจะส่งเสียงร้องยาวขึ้นไปบนฟ้า
กลุ่มทหารที่นำโดยเหลิ่งเหยียนนั้นเริ่มต่อสู้พร้อมถอยไปแล้ว
ถ้าหากว่าซูชือฉางไม่ปรากฎตัวขึ้นวันนี้จะต้องทำให้ม่อเวิ่นเสวียนและคนที่เขาพามาด้วยดับชีวิตลงอยู่ที่นี่ไม่เหลือรอดสักคนเป็แน่
ในเวลาสำคัญเช่นนี้กลับมีคนมาช่วยฮ่องเต้เกรงว่าคงจะมีแต่ซูชือฉางแล้วกระมัง
แต่เดิมที่กำลังเข้าตาจนอย่างม่อเวิ่นเสวียนก็เหมือนกลับมามีความหวังอีกครั้งเขาคิดไม่ถึงว่าซูชือฉางกลับเป็แม่ทัพที่มีฝีมือได้ถึงเพียงนี้
“ซูชือฉางจับพวกฏเหล่านี้ไปให้หมด อย่าให้รอดแม้แต่คนเดียว” สีหน้าของม่อเวิ่นเสวียนกลับไปเป็สีหน้าดั่งคนที่กุมใต้หล้านี้ไว้ในกำมือดังเดิมพร้อมวางท่าทางประหนึ่งสามารถตัดสินชะตาชีวิตใครก็ได้เสียอย่างนั้น
น้ำเสียงก็หนักแน่นขึ้นแล้วเช่นกัน
ม่อเวิ่นเฉินกระตุกมุมปากขึ้นพร้อมยิ้มเย็นออกมาแต่เดิมเขาคิดจะสั่งสอนเสด็จพี่ผู้นี้ของตนดีๆ เสียหน่อยตอนนี้แม้ว่าจะตกเป็รองแต่จะถอยทัพกลับอย่างปลอดภัยนั้นก็ไม่ใช่เื่ยาก
อย่าให้รอดแม้แต่คนเดียว? ช่างเป็คำพูดที่เหิมเกริมเสียจริงๆ
แน่นอนว่าเหลยอวี๊เฟิงเองก็มีรอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นเช่นกันครั้งก่อนหากมิใช่เพราะเขาประมาทศัตรูมากเกินไปมีหรือว่าเขาจะพลาดพลั้งให้กับศัตรูได้ครั้งนี้เขาจะต้องใช้เืของฝ่ายตรงข้ามมาล้างเอาความอดสูนี้ออกไป
ในขณะที่มือกำลังส่งสัญญาณออกคำสั่งให้พลทหารของกองทหารโลหิตถอยทัพสายตาก็หันไปมองกองทหารม้าที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก “ซูชือฉางมาได้เวลาจริงๆ”
เขาเอ่ยขึ้นขณะที่ร่างกายได้ดีดตัวลอยขึ้นอยู่กลางอากาศแล้วเขายืมแรงจากการเหยียบบนศีรษะของทหารฝ่ายตรงข้ามในการพาตนเองะโไกลไปจนถึงเบื้องหน้าของซูชือฉางจะจับโจรก็ต้อจับหัวหน้าก่อน ด้วยความสามารถของเขาแม้จะไม่อาจรับประกันได้ว่าสามารถจับตัวม่อเวิ่นเสวียนที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์ฝ่ายในได้แต่ถ้าหากจับซูชือฉางนั้นถือเป็เื่ง่ายดายอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นเหลยอวี๊เฟิงที่ลอยตัวมาเสมือนกำลังโบยบินอยู่นั้นกำลังมุ่งหน้ามาทางตนซูชือฉางก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป เขานำทหารออกรบฆ่าฟันศัตรูมาตั้งมากไม่เคยหวั่นกลัวแม้แต่น้อย แต่ว่าครั้งนี้ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเขายังรู้สึกไม่พร้อมเสียเท่าใดนัก
ซูชือฉางกระชากสายบังเหียนในมือก่อนที่จะร่างกายจะเอนตัวไปด้านหลังและบังคับให้ม้าวิ่งกลับเข้าไปในดงทหารม้าพันนายด้านหลังทันที
เอาชีวิตรอดได้ถึงจะสำคัญที่สุด
“คิดจะหนี...”เหลยอวี๊เฟิงะโออกมาก่อนที่ทั้งร่างเขาจะเหมือนเหยี่ยวขนาดใหญ่ที่กำลังสยายปีกกำลังพุ่งตัวมาทางนี้
ยอดฝีมือในยุทธภพทั้งหลายที่ถูกทำร้ายจนาเ็สาหัสก็ล้วนแต่มีสีหน้าเขียวคล้ำสำหรับผลลัพธ์ของาในครั้งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกอับอายเป็อย่างยิ่ง
หนึ่งในนักพรตที่สวมใส่เสื้อสีไพลินนั้นก็สะบัดแขนเสื้อของตนพุ่งตัวออกไปโจมตีกับกลุ่มทหารที่ขวางอยู่เบื้องหน้าพลางกวาดสายตาสำรวจสถานการณ์บริเวณรอบๆทันใดนั้นเขาก็เห็นรถม้าที่ถูกกองทหารโลหิตโอบล้อมเอาไว้ดวงตาเรียวเล็กก็เหมือนมีประกายสว่างขึ้นในทันที
เสมือนว่ากำลังมองเห็นความหวังแล้วก็มิปาน
เขาเป็เพียงแค่นักพรตคนหนึ่ง ออกเดินทางในยุทธภพเป็เวลาสิบกว่าปีได้ยินชื่อเสียงของม่อเวิ่นเฉินทว่าเื่อื่นที่เกี่ยวกับตัวม่อเวิ่นเฉินนั้นเขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เขาได้เบนความสนใจไปที่ซูฉีฉีเสียแล้ว
นี่เป็สิ่งที่แม้แต่ม่อเวิ่นเสวียนยังไม่คิดที่จะทำเสียด้วยซ้ำ
ใครบ้างไม่รู้ว่าม่อเวิ่นเฉินมิได้สนใจว่าซูฉีฉีจะเป็หรือจะตาย
และเหลิ่งเหยียนที่กำลังรีบถอยทัพอยู่นั้นก็ไม่ได้คิดจะสนใจไปคุ้มกันซูฉีฉีแม้แต่น้อยเขาเพียงปล่อยให้มันเป็ไปตามธรรมชาติ
และในจังหวะที่เหลยอวี๊เฟิงจับซูชือฉางไปได้แล้วนั้นอีกด้านหนึ่งบุรุษเสื้อสีไพลินก็ได้ดีดตัวเองให้ลอยขึ้นและไปหยุดอยู่้ารถม้าในทันทีเขาฟันดาบลงไปบนหลังคารถอย่างแรงและะโตัวเข้าไปด้านใน เมื่อออกมาแล้วในมือของเขาก็แนบคนมาอีกผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นก็คือซูฉีฉีที่มีสีหน้าราบเรียบ