หลั๋วอีอีเฝ้ารออยู่เกือบวันแต่ก็ยังไม่เห็นฉินโจ้วมาเสียที จนกระทั่งเกือบจะเลิกงาน ข้อความก็กะพริบเตือนดูเหมือนว่าจะมาจากฉินโจ้ว เป็เพียงห้าคำสั้นๆ : โรงน้ำชา ห้อง 32 ความกังวลในใจของหลั๋วอีอีก็พลันสลายหายไปซึ่งเป็สถานที่ที่ฉินโจ้วเคยพาเธอไปแล้ว
หลั๋วอีอีในฐานะผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของบริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรปกติแล้วเธอจะมาทำงานตรงเวลา และไม่เคยมาสายหรือกลับก่อน แต่วันนี้จะเป็ข้อยกเว้นเหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก่อนที่จะเลิกงาน ดูเหมือนว่าเธอไม่้าที่จะอยู่รออีกต่อไปเธอรีบตรงไปที่โรงน้ำชา ห้องหมายเลขที่ 32 ด้วยความเร็วสุดเท่าที่จะเร็วได้เธอเองแทบจะหยุดหายใจในขณะที่เปิดประตูเข้าไป
ใน่เวลานั้นเองคนที่เธอพูดถึงบ่อยที่สุดและคิดถึงมากกว่าใครๆ ทั้งหมด กำลังนั่งเอกเขนกอยู่หน้าโต๊ะชาขนาดย่อมแต่ดูเหมือนจะไม่มีชาอยู่บนโต๊ะเลย มองไปเห็นแต่ขนมขบเคี้ยวหลากหลายชนิดดูเหมือนว่าเขายังคงไม่เคยดื่มชาเหมือนแต่ก่อน ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ฉินโจ้วก็เงยหน้าและหันมามองหลังจากจ้องมองกันอยู่เพียงอึดใจ สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มที่ดูสดใส เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น"อีอี ในที่สุดคุณก็มา วันนี้ผมมาเร็วกว่าคุณนะ"
หลั๋วอีอีก็หัวเราะขึ้นมาแต่น้ำตาก็ดูจะเอ่อล้นออกมาด้วยเช่นเดียวกัน และเหมือนว่าจะหยุดร้องไห้ไม่ได้คล้ายกับว่าไม่ได้เจอกันมาเป็แรมเดือน ทั้งๆที่ในความเป็จริงก็เพียงไม่ถึงสิบวันเท่านั้น แต่สำหรับหลั๋วอีอีนั้นรู้สึกว่ายาวนานราวกับเป็ศตวรรษ
ฉินโจ้วลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะแล้วตรงไปหาเธอหลังจากคลำหาอยู่ชั่วครู่ ก็ไม่มีทั้งผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูติดตัวอยู่เลย เขาได้แต่หัวเราะแก้เขินและเข้าไปปาดน้ำตาให้ด้วยมือของเขาเอง แต่กลับดูเหมือนว่า ยิ่งเช็ดไปมากเท่าไรน้ำตาก็ยิ่งไหลมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ต้องถอนหายใจยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า"อีอี เข้าไปข้างในก่อนแล้วค่อยร้องเถอะ มายืนอยู่หน้าประตูแบบนี้ผมรับไม่ไหวนะ"
"ช่างมันเถอะ ไม่ใช่ความผิดของนายนี่" หลั๋วอีอีได้แต่หัวเราะทั้งน้ำตาทุกอย่างที่แสดงออกมาต่อหน้านั้น ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกค้อนทุบเข้าใส่กลางอกอย่างจังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในห้อง ปิดประตู และนั่งลงตรงข้ามกัน
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งฉินโจ้วจึงได้เอ่ยขึ้น
"คุณดูผอมลงไปนะ"
น้ำตาของหลั๋วอีอีก็เริ่มรินไหลออกมาอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งจะเช็ดไปก่อนจ้องมองไปทางฉินโจ้ว และพูดขึ้นทั้งน้ำตาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า"ฉันรู้สึกกังวลมากเลยรู้ไหม"
ฉินโจ้วก็ได้แต่นิ่งเฉย ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป
"นายรู้บ้างไหม?" หลั๋วอีอีพูดต่อ"หลังจากที่นายไปแล้ว ฉันจะต้องคอยตัดสินใจ ไม่ว่าทั้งเื่เล็กหรือเื่ใหญ่ทั้งหลายในบริษัทฉันเองก็เป็แค่เด็กปรุงยาตัวเล็กๆ เท่านั้น จะให้ฉันเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดได้อย่างไรกัน?สุดท้ายก็ทำได้แค่เพียงรวบรวมความกล้าเข้าไว้เพื่อเผชิญหน้ากับมันทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจ มันมักจะทำให้ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะกลัวจะทำผิดพลาด โดยเฉพาะหลังจากที่บริษัทเริ่มเติบโต ในใจของฉันนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับหุบเหวลึกที่ไร้ที่สิ้นสุดเหมือนกับการเดินไต่เส้นลวดไปอย่างโดดเดี่ยวกลางอากาศที่ด้านล่างไม่ต่างอะไรกับเหวลึกนับหมื่นๆ ฟิต ซึ่งถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นเพียงนิดเดียวก็คงหล่นลงไปแหลกเละเป็ผุยผง นายเคยรู้บ้างไหม... ยิ่งผู้คนในบริษัทมีมากขึ้นเท่าไรและยิ่งจำนวนเงินเพิ่มมากขึ้นเพียงใด ปัญหาทั้งหลายก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกันยิ่งเมื่อเวลาคิดถึงใน่ที่มีนาย ต่อให้ไม่ทำอะไร ไม่ต้องพูดอะไรฉันก็ยังรู้สึกสบายใจ แต่แล้วเป็ไงล่ะ... นายเป็คนที่ใจร้ายมากไม่ว่าฉันจะคิดถึงมากแค่ไหน ไม่ว่าจะส่งข้อความไปมากเท่าไรก็ไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย นายนี่มัน... นายมัน..." เสียงพูดขาดตอนลงแค่ตรงนี้มีแต่เสียงสะอื้นของหลั๋วอีอีให้ได้ยิน ไม่มีคำพูดใดๆเอื้อนเอ่ยออกมาอีกนอกจากน้ำตาที่ไหลหลั่งรินเท่านั้น
ซึ่งในเวลานี้ฉินโจ้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ
หลังจากที่เวลาผ่านไปชั่วครู่ อารมณ์ของหลั๋วอีอีก็ค่อยๆเริ่มสงบลง ณ เวลานี้เธอเองก็ไม่ใช่เด็กสาวตัวเล็กๆที่จะมาร้องไห้งอแงเหมือนคนที่เพิ่งจะเริ่มต้นทำงาน ่เวลาที่ผ่านมาเธอเองก็ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูง และผ่านประสบการณ์มามากมายเกินกว่าชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปจะได้พบเจอ ถ้าไม่ใช่เป็เพราะฉินโจ้ว เธอคงจะปลดปล่อยสิ่งที่เธออดกลั้นเอาไว้ออกมาเป็แน่
หลังจากที่เช็ดคราบน้ำตาแล้ว หลั๋วอีอีก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ "หัวหน้าคะ ฉันมีคุณสมบัติเพียงพอหรือยัง?"
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่สวยที่ยังคงบวมแดงหลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ฉินโจ้วจึงใช้ตะเกียบคีบเค้กถั่วเขียวสามสีที่เป็ขนมขึ้นชื่อของร้านชายื่นส่งไปให้ "นี่เป็รางวัลของเธอ"
"รางวัล? หัวหน้าหมายความว่าคุณสมบัติของฉันก็...?" หลั๋วอีอีท่าทีเปลี่ยนไปเป็ประหลาดใจอย่างไม่คาดคิด
"ผ่าน... ได้คะแนนเต็ม" ฉินโจ้วพยักหน้าให้
"นี่... นี่มัน..." สีหน้าของหลั๋วอีอีกลายเป็สีแดงเรื่ออย่างฉับพลันในขณะที่เม้มริมฝีปากล่างเอาไว้ "รางวัลนี้มันดูไม่จริงใจเลยเอาเป็ว่านายต้องป้อนฉันนะ"
มือของฉินโจ้วที่กำลังถือตะเกียบไว้ถึงกับหยุดชะงักเค้กถั่วเขียวสามสีที่กำลังจะวางลงไปในชามก็พลันหยุดลงไปด้วยก่อนจะพยักหน้าและพูดขึ้นว่า "ได้สิ..."
เมื่อหลั๋วอีอีได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่เป็สีแดงอยู่แล้วก็พลันแดงมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีกไม่ต่างจากดื่มเหล้าเลย จากนั้นจึงหลับตาลง ลมหายใจถี่กระชั้นริมฝีปากสีแดงเรื่อดูอวบอิ่มคู่นั้นค่อยๆ เผยอออกจากกัน กลิ่นคล้ายกับดอกกล้วยไม้ลอยหอมฟุ้งออกมาในใจของฉินโจ้วถึงกับหวั่นไหว ก่อนจะรีบคีบเค้กถั่วเขียวสามสีใส่ปากของหลั๋วอีอีและรีบกลับมานั่งที่ของเขา ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้ตัวเขากำลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
"เค้กถั่วเขียวสามสีอร่อยมากจริงๆ"หลั๋วอีอีลืมตาขึ้น และแสร้งทำเป็ไม่ตื่นเต้นแต่ในขณะที่ขนตางอนงามคู่นั้นกลับแสดงให้เห็นถึงความเขินอายที่เกิดขึ้นในใจของเธอ
"คุณไม่คิดว่าหัวหน้าคนนี้จะแต๊ะอั๋งหรือไง?"ฉินโจ้วเองก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันใด ก่อนจะพูดแบบทีเล่นทีจริง
"ฉันเคยได้ยินแต่หัวหน้าแอบคุกคามข่มขู่ลูกน้องแต่ดูเหมือนว่าฉันจะยังไม่เคยเจอประสบการณ์แบบนี้เลย" หลั๋วอีอีจ้องมองมาทางเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
ฉินโจ้วถึงกับต้องกลั้นหัวเราะไม่ได้เจอกันนานรู้สึกว่าฝีปากจะคมคายขึ้นไม่เบา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเื่คุย"ใน่ที่ผ่านมา ผมไม่ได้รับข้อความของคุณ เพราะว่าอยู่ใน่ที่กำลังสำรวจแผนที่ใหม่อยู่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ก็เลยถูกตัดขาดอันที่จริงผมเองก็เป็ห่วงบริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตร แล้วก็คุณ ไม่สิ... ทันทีที่ออกมาจากแผนที่ใหม่ผมก็ยังไม่ได้เจอใครอื่นเลย สิ่งที่ผมคิดถึงก็คือคุณ"
"อ้อ..." ก่อนที่หลั๋วอีอีจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็า"หวังโหรวหรือชูหลิง ใครเป็คนแรกที่คุณจะต้องคิดถึงกันแน่"
ฉินโจ้วถึงกับหยุดกึก... ก่อนจะสำลักพรวดขึ้นมาทันที เพียงชั่วครู่เขาจึงพูดขึ้นว่า"แค่กๆ เื่... เื่นี้... อีอี คุณต้องฟังผม..."
"ไม่ต้องมาอธิบายเลย" หลั๋วอีอีพูดขึ้นด้วยท่าทีเมินเฉย"บริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรมีขึ้นได้ก็เพราะพี่สาว ฉันไม่กล้าจะไปสู้รบปรบมือด้วยหรอกคุณไม่ต้องกังวลไป"
"ไร้สาระ ผมต้องเป็กังวลเื่อะไรและทำไมผมต้องกังวลด้วยไม่ทราบ?" ฉินโจ้วตอบออกไปด้วยท่าทีไขสือ
หลั๋วอีอีส่งเสียง ''ฮึ'' ออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นต่อว่า "หัวหน้า เวลานี้คุณกลับมาก็ดีแล้วฉันจะได้คืนตำแหน่งนี้ให้คุณเสียที พรุ่งนี้เดี๋ยวเราเข้าไปที่บริษัทด้วยกันเลยฉันจะได้แนะนำอย่างเป็ทางการทีนี้พนักงานในบริษัทจะได้ไม่ต้องมาถามกันอีกว่าใครเป็หัวหน้ากัน"
เมื่อกลับเข้ามาเื่ของธุรกิจ ฉินโจ้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็จริงขึ้นก่อนจะพูดว่า"อีอี บริษัทยังคงต้องให้คุณช่วยดูแลบริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรนั้นสามารถเติบโตขึ้นมาได้เป็อย่างดีก็เพราะฝีมือของคุณผมเองก็รู้สึกโล่งใจมาก คุณก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปหรือจะต้องรับผิดชอบแต่อย่างใดตราบใดอัตราการเติบโตอยู่ในระดับนี้ บริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรภายในสองสามวันนี้ ผมจะรีบโอนหุ้นของบริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรให้คุณ 30% เพื่อที่คุณจะได้สามารถจัดการทรัพย์สินต่างๆ ของบริษัทได้"
หลั๋วอีอีก็รู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย ก่อนจะพูดขึ้นว่า"พี่ฉิน ฉันเองไม่ได้อยากได้ส่วนแบ่งเลย ฉันกังวลจริงๆ ว่าจะทำได้ไม่ดี...ฉัน..."
ฉินโจ้วพูดแทรกขึ้นว่า"ไม่ต้องเป็กังวลไป ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคุณเป็คนอย่างไรถ้าคุณมีความโลภที่้าส่วนแบ่งหุ้นส่วนผมจะยอมให้คุณบริหารบริษัทนี้ได้อย่างไรกัน ฟังผมนะ ผมทำไปเพราะมีความมั่นใจผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ฉินหวังกรุ๊ปเป็บริษัทของผมและตอนนี้ผมเองก็กำลังวางแผนสร้างด๊อกทาวน์อยู่ ในสถานการณ์ที่เป็อยู่ในเวลานี้ผมเองก็ไม่ต่างจากต้นไม้ที่ยืนต้านพายุลมแรง อยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างอันตรายมากและถ้าเกิดมีข่าวรั่วออกไปว่าบริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรเป็ของผมด้วย คุณคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นเื่นี้ไม่น่าจะยาก ก็พอเดาออกได้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็อย่างไรในเวลานี้ผมยืนอยู่จุดที่สูงมาก ดังนั้นแล้วผมไม่อยากให้มีปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีกคุณเข้าใจใช่ไหม?"
หลั๋วอีอีถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะพูดขึ้นว่า"ถึงจะอย่างนั้นก็ตามที เอาตามที่นายว่าก็ได้ แต่ไม่ต้องให้หุ้นฉันหรอกเพราะตอนแรกนายยังช่วยฉันกับแม่ไว้เลย แม้ว่านายจะไม่ได้้าอะไรก็ตามฉันเองจะพยายามตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่"
"ยายเด็กโง่เอ๊ย... มาทำงานบริษัทโดยไม่ได้รับส่วนแบ่งได้อย่างไรมีที่ไหนกัน? เอาตามที่ผมบอก ห้ามปฏิเสธ" ฉินโจ้วสรุป
"30% มันมากเกินไป แค่บริหารจัดการในบริษัทถ้านายให้เยอะมากเกินไป ฉันเองก็จะรู้สึกไม่สบายใจ" หลั๋วอีอีตอบไปด้วยความรู้สึกลังเลเล็กน้อย
"เอาตามนี้แหละ คุณเป็คนรับผิดชอบบริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรต่อไปเพราะฉะนั้นค่าตัวต้องไม่ต่ำเกินไป เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะของคุณในบริษัทไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเกิดมีใครรู้ขึ้นมา ผมคงต้องรู้สึกขายหน้าเป็แน่"ฉินโจ้วพูดต่อ
หลั๋วอีอีแลบลิ้นออกมา ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า"อ้อ... ฉันลืมบอกนายไป ฉันขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองแล้วและตอนนี้ฉันก็เป็เศรษฐีแล้วนะ"
ฉินโจ้วถึงกับอึ้งและหัวเราะไม่ออกไปชั่วขณะ แบบนี้... ก็ได้เหรอ
ั้แ่เดือนที่แล้ว ผลกำไรรายเดือนของบริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรก็มากเกินกว่า 10 ล้านเหรียญทองแล้วและดูเหมือนว่าเดือนนี้น่าจะมากกว่านั้นเสียอีกในฐานะที่เป็ผู้รับผิดชอบบริษัทขายยาเทพแห่งการเกษตรและเป็ประธานกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จะมีแค่ล้านเดียวพูดไปเกรงว่าคนอื่นก็คงจะไม่มีใครเชื่อ ท่าทางของเธอเองก็ดูพอใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉินโจ้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา...
"ดูเหมือนว่าตอนนี้ อีอีเองก็มีชื่อเสียงไม่น้อยเป็ถึงไอดอลของสาวๆ ทั้งหลาย" หลังจากที่คุยเื่ธุรกิจจบลง ฉินโจ้วก็เริ่มพูดถึงเื่ซุบซิบนินทาด้วยน้ำเสียงที่เป็กันเอง
"นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว" หลั๋วอีอีตอบพลางเชิดคางขึ้นด้วยท่าทางภูมิใจไม่ต่างอะไรกับนกยูงรำแพนหาง
"ผมเองก็เคยได้ยินว่า มีผู้เล่นอยากให้เปลี่ยนอันดับของสาวงามอยู่เหมือนกันนะเสียงเชียร์ของอีอีก็เยอะไม่ใช่น้อยนะ" ฉินโจ้วพูดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
"ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันแต่ฉันคงไม่ได้สวยขนาดนั้นหรอก อย่างไรก็เป็ได้แค่ลูกเป็ดขี้เหร่" หลั๋วอีอีตอบอย่างถ่อมตนแต่ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"เห็นมีคนพูดว่า มีคนไล่ตามอีอีจนประตูบริษัทแทบพังไม่ใช่หรือได้ข่าวว่าทั้งหล่อทั้งรวยแถมยังโสดอีกต่างหาก อย่างคุณชายฉิว, คุณชายเฉิน มีชื่อเสียงโด่งดัง และยังมีที่จำชื่อไม่ได้อีกตั้งเยอะ"ฉินโจ้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลั๋วอีอีจู่ๆ ก็เงียบไปสายตาจดจ้องไปที่ฉินโจ้ว และพูดอย่างระมัดระวังว่า "ฉันไม่เคยใส่ใจพวกเขาเลยอันที่จริงฉันเองก็ไม่อยากรู้จักมักจี่ด้วยหรอก"
"ทำไมล่ะ?" ฉินโจ้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ก็ฉันไม่ชอบพวกเขานี่นา" หลั๋วอีอีเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
"แล้วคุณชอบใครล่ะ?" ฉินโจ้วถามต่อด้วยความอยากรู้
"ฉันก็ต้องชอบ..." ทันใดนั้นหลั๋วอีอีก็พลันได้สติดวงตาแวววาวราวกับไข่มุกคู่นั้นจ้องเขม็งใส่ฉินโจ้ว ก่อนจะยิ้มร่า และพูดขึ้นว่า"คิดว่าฉันจะหลงกลนายรึ หลอกฉันไม่ได้หรอก ไม่บอก..."
"โธ่...หมดสนุกเลย" ฉินโจ้วได้แต่เบะปาก
ติ๊ด... ติ๊ด... ติ๊ด...
เมื่อเสียงเตือนข้อความดังขึ้นฉินโจ้วเหลือบมองก่อนที่จะเปิดอ่าน เขาถึงกับหน้าถอดสี
"กำแพงเมืองถล่ม การก่อสร้างหยุดชะงัก"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้