สำหรับหลิวเต้าเซียง รําข้าวนั้นมีราคาถูกมาก ในห้วงมิติสามารถใช้ไข่หนึ่งใบแลกเปลี่ยนเป็รำข้าวได้สองชั่ง
นางเคยได้ยินสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดกล่าวว่า หากแลกเปลี่ยนเป็จำนวนมาก ก็จะได้รับของแถมบางส่วน ส่วนที่ว่าแลกเท่าไรจะแถมเท่าไรนั้น สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเคยพูดไว้ว่า หากแลกหนึ่งตันจะสามารถแถมได้หนึ่งร้อยชั่ง
จางกุ้ยฮัวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ปีนี้ทุกครัวเรือนก็เลี้ยงไก่ จะไปมีรําข้าวเหลือได้อย่างไร?”
หลิวเต้าเซียงโน้มน้าว “ท่านแม่ ท่านคิดไกลเกินไปแล้ว เหตุใดต้องไปรับที่บ้านคนอื่น บ้านเกษตรกรส่วนใหญ่ล้วนเก็บเสบียงไว้พอดีกับปากท้อง ย่อมไม่มีทางเกินมาอยู่แล้ว ข้าจึงคิดว่าจะไปถามในร้านค้าตำบล”
ดวงตาของหลิวชิวเซียงเป็ประกาย จึงรีบเอ่ย “ท่านแม่ วิธีนี้ดี รำข้าวที่อื่นนั้นไม่เคยเห็น คิดถึงในอดีตเราเองก็เคยกิน”
หลิวฉีซื่อนั้นปฏิบัติตัวต่อครอบครัวหลิวซานกุ้ยแย่มาก กระทั่งข้าวที่กินก็ต้องหุงรวมกับรำข้าว หากไม่ใช่ว่าต่อมาหลิววั่งกุ้ยสอบติดถงเซิง ค่าเล่าเรียนก็เพิ่มขึ้น เกรงว่าหลิวฉีซื่อก็คงประหยัดรำข้าวเหล่านี้ไว้ ไม่เคยคิดจะเอาไปเลี้ยงหมูเพื่อแลกเงินอยู่แล้ว
หลิวเต้าเซียงฟังแล้วเจ็บกระดองใจ พี่สาวแสนดีรักใคร่นางมาก ตอนที่เพิ่งข้ามมิติมา หลิวชิวเซียงก็แอบเอาของกินอร่อยในครัวมาให้นางกิน
ไม่ใช่ใส่ชาม แต่ตักใส่มือแล้วยัดกับข้าวไว้ในนั้นและปั้นเป็ก้อน
ตอนนั้นอากาศหนาวเย็น ข้าวก็ยังร้อน เมื่อปั้นเสร็จก็กลัวว่าหลิวฉีซื่อจะเห็น นางมักจะซ่อนไว้ในท้อง
ถึงกระนั้นหลิวชิวเซียงก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาด้วยความเ็ป แม้ว่าฝ่ามือและท้องของนางจะถูกลวกจนเป็สีแดง แต่นางก็ยังคงยิ้มพร้อมน้ำตาและบอกว่ามันไม่เจ็บ
สำหรับพี่สาวแสนดีคนนี้ หลิวเต้าเซียงอยากให้นางได้นอนบนกองเงินสักวัน
จากนี้ไป นางจะต้องไม่ให้พี่สาวทรมานอีก
นางคิดว่าเื่ราวมากมายผ่านไปเพียงพริบตา จากนั้นก็เอื้อมมือออกมาจับมือขวาของหลิวชิวเซียงไว้ แล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มร่า “ท่านพี่ ต่อไปบ้านเราจะกินข้าวขาวทุกวัน แล้วก็กินเกี๊ยวแป้งขาวทุกวันด้วย”
“ใช่ ตราบใดที่ครอบครัวเราทำงานหนักไปอีกหนึ่งปี เราก็จะมีชีวิตที่ดีได้”
หลิวซานกุ้ยไม่สงสัยในแผนการของหลิวเต้าเซียง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผลมากเพียงใด เขาทอดถอนใจว่าพอกันทีกับชีวิตที่ลำบากตรากตรำ ชีวิตที่ดีของครอบครัวเขาเพิ่งเริ่มต้น “ทว่า เื่ไปถามรำข้าวที่ร้านขายเสบียงปล่อยให้เป็หน้าที่ข้าเถิด เ้ายังเด็กไปหน่อย อีกอย่างเ้าเป็เด็กผู้หญิง ครอบครัวเรามีชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อไม่อยากให้พวกเ้าต้องลำบากอีก”
คำพูดนี้เรียบง่าย แต่ในใจของหลิวเต้าเซียงกลับรู้สึกว่าคำพูดนี้ของหลิวซานกุ้ยสมกับเป็บุรุษยิ่งนัก!
ถูกต้อง หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าตนเองคือบุรุษ เื่ที่เลี้ยงดูครอบครัวเขาต้องเป็คนแบกรับไว้ให้ได้
“ท่านพ่อ ลืมแล้วหรือ? ปีนี้ท่านพ่อต้องไปสอบถงเซิง อย่าให้บัณฑิตเ่าั้ดูถูกเอาได้ ข้าได้ยินอาจารย์กัวบอกว่า บัณฑิตอะไรนะที่อยู่สูงสุด”
คิ้วสองข้างของหลิวเต้าเซียงเกือบจะบีบเข้าด้วยกัน เมื่อเห็นท่าทีคิดหนักของนาง หลิวซานกุ้ยอดขำไม่ได้ จางกุ้ยฮัวกับหลิวชิวเซียงที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะเช่นกัน
“มันคือนักวิชาการ ชาวนา อุตสาหกรรมและพ่อค้า ราชวงศ์โจวแบ่งลำดับขั้นตามนี้” หลิวซานกุ้ยตอบ สายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง
นอกจากนี้การแบ่งระดับอัตลักษณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นอยู่ทั่วไปในชีวิตปกติ
อย่างเช่นนักวิชาการ ในเื่การแต่งกายของพวกเขาก็มักจะสวมเสื้อผ้าที่มีรูปแบบมากกว่าคนอื่นๆ ส่วนพ่อค้าไม่สามารถสวมผ้าไหมจิ่น [1] ได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีเงินมากมาย แต่อนุญาตให้สวมได้เพียงผ้าไหมทั่วไป ผ้าทอด้ายหรือผ้าแพรต่วนต่างๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ส่วนชาวนานั้นสามารถสวมใส่ผ้าฝ้ายกับผ้าไหมทั่วไปได้
ดังนั้นเวลาที่ซูจื่อเยี่ยส่งคนมามอบของขวัญก็มักจะมอบผ้าฝ้ายให้แก่ครอบครัวของหลิวเต้าเซียง เพราะว่าถูกกฎบัญญัติของราชวงศ์โจว
“ไม่ต้องสนใจหรอก หากไม่ใช่เพราะความคิดของลูกรอง ถึงแม้บ้านเราจะมีเงินเหล่านี้ก็คงคิดเพียงอยากซื้อที่นาดี” จางกุ้ยฮัวกล่าวเช่นนี้ แต่ก็ยังคิดว่าต่อไปหากมีเงินคงต้องซื้อที่นาดีเพิ่มให้ครอบครัว
เมื่อชีวิตเพียบพร้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์จึงเริ่มคิดถึงเื่ประเพณี!
แม้ว่าหลิวซานกุ้ยจะสอนจางกุ้ยฮัวเื่นี้ แต่นางก็ยังคงรู้สึกว่าตนเองเป็เพียงผู้หญิงชาวบ้าน ในบ้านต้องมีเสบียงจึงจะหมดกังวล ส่วนเื่ธรรมเนียมของขวัญอะไรเ่าั้ เมื่อมีเงินมากมายค่อยให้ความสำคัญกับเื่เหล่านี้
หลิวเต้าเซียงซึ่งอยู่ข้างๆ เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “เอ๋ พอพูดถึงเื่นี้ ท่านพ่อ ท่านแม่ เราควรซื้อต้นไม้มาปลูกที่เนินเขาดีหรือไม่?”
จางกุ้ยฮัวมองนางอย่างสงสัย “ซื้อต้นไม้? อ้อ ใช่สิ เราควรซื้อต้นไม้ผลกลับมา ไก่ชอบกินหนอน ลิงบ้านเราก็ชอบกินผลไม้นี่นา”
ประโยคหลังนี้เห็นได้ชัดว่าเป็เื่ล้อเลียนที่หลิวเต้าเซียงเป็นักกิน
“ท่านแม่!” หลิวเต้าเซียงกระทืบเท้าเล็กๆ ของนาง
หลิวซานกุ้ยยิ้มและลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง จากนั้นก็ปลอบเด็กน้อยหลิวเต้าเซียง
เนื่องจากข่าวของจางอวี้เต๋อ และเงินสินเ้าสาวของจางกุ้ยฮัวที่เพิ่มมา ทั้งครอบครัวจึงมีความสุขล้นเหลือ
ชุ่ยหลิวยืนอยู่ข้างนอกประตูห้องปีกตะวันตก มือเล็กๆ กำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น นางไม่รู้ว่าครอบครัวสามที่ดูเหมือนยากจน แท้จริงกำลังจะรุ่งเรืองแล้ว
ไม่ได้ เื่นี้นางต้องบอกเ้านาย ไม่แน่ว่าหากเ้านายดีใจ ก็อาจจะตบรางวัลให้นางก็เป็ได้
นางเอื้อมมือไปััปิ่นปักผมเงินลายดอกท้อ นี่คือรางวัลจากหลิวฉีซื่อ บอกว่าหลิวเหรินกุ้ยพึงพอใจในตัวนางมาก รอเมื่อเสร็จการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิ หลิวเหรินกุ้ยก็จะมารับนางไปเป็ภรรยาน้อย
ภรรยาน้อย?
ชุ่ยหลิวไม่เต็มใจอย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงพุงโย้ของหลิวเหรินกุ้ยก็รังเกียจเดียดฉันท์ นางชื่นชอบหลิววั่งกุ้ยที่รูปโฉมงามสง่ามากกว่า
เพียงแต่ หลิวฉีซื่อยังถือสัญญาทาสของนางไว้ในมือ นางไม่อาจคัดค้านได้โดยตรง
เมื่อคิดถึงเื่นี้จึงเงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นว่าครอบครัวสามไม่ได้พูดเื่สำคัญอะไรอีก จึงถอยออกไป
ชุ่ยหลิวประเมินว่าหลิวฉีซื่อกําลังจะกลับมา ดังนั้นจึงรีบเข้าไปอุ่นน้ำแกงไก่ในห้องครัว
น้ำแกงไก่แก่ตุ๋นนี้เอาไว้ให้หลิววั่งกุ้ยกิน เดิมทีหลิววั่งกุ้ยเห็นว่าอากาศหนาว และยังทำใจไปจากชุ่ยหลิวผู้เป็ดั่งแม่หญิงบุปผาบานสะพรั่งไม่ได้ จึงกลับไปเรียนล่าช้า แต่คิดไม่ถึงว่าหลายวันก่อนหน้านี้ไม่ทันระวังจึงเป็หวัด หลังจากกินยาไปไม่กี่สำรับก็ดีขึ้น หลิวฉีซื่อซึ่งรักและหวงแหนบุตรชาย ไม่รู้ว่าไปหาแม่ไก่แก่มาจากไหน จึงสั่งให้ชุ่ยหลิวตุ๋นไว้
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นที่ลานบ้าน
ชุ่ยหลิววางที่คีบฟืนลง แล้วแสร้งทำทีใสซื่อก้าวเท้าออกมาจากประตูห้องครัว หลังจากมองไปทางลานบ้านก็เห็นหลิวฉีซื่อพาหลิวเสี่ยวหลันกลับมา
เมื่อเห็นว่าพวกนางกำลังยิ้มอย่างได้ใจ สายตาของชุ่ยหลิวก็มองไปที่มือของทั้งสองคน ตามคาด หลิวฉีซื่อหิ้วห่อผ้าไว้ในมือ ชุ่ยหลิวจึงก้มศีรษะเพื่อบดบังสายตาดูแคลนของตนเอง
ไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อไปเตร็ดเตร่ที่ไหนมา
ชุ่ยหลิวมาจากจวนตระกูลหวง ได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลร่ำรวยมามากมาย
นางจึงดูถูกครอบครัวเล็กจ้อยนี้ อีกทั้งตนเองยังต้องมาเป็คนรับใช้ติดตัวของหลิวฉีซื่อ
แต่ในเมื่ออยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นก็จำต้องก้มศีรษะ
ชุ่ยหลิวจัดแจงท่าทีเคารพแล้วคำนับสองแม่ลูก
“ทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยหรือไม่?”
หลิวฉีซื่อวางมาดราวกับอยู่บนหิ้ง
ดวงตาของชุ่ยหลิวหลุบลงพร้อมกับกวาดตามองบ้านหญ้าฟางรอบทิศ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ดีเ้าค่ะ น้ำแกงไก่ตุ๋นอีกสักเดี๋ยวก็เสร็จ สามารถนำไปให้คุณชายสี่แล้วเ้าค่ะ”
หลิววั่งกุ้ยยังไม่ได้แต่งงาน จึงเหมาะสมที่จะเรียกเขาว่าคุณชาย
สิ่งที่หลิวฉีซื่ออยากได้ยินมากที่สุดคือเื่นี้ ก่อนจะยิ้ม “เด็กดี เ้าเป็คนละเอียดรอบคอบ เื่นี้ยกให้เป็หน้าที่เ้า ข้าออกจากบ้านก็วางใจ”
ชุ่ยหลิวเอื้อมมือไปพยุงหลิวฉีซื่อเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นว่าหลิวเสี่ยวหลันกับอิงเอ๋อร์เดินตามเข้ามา นางจึงห้ามความคิดที่จะพูดเื่ครอบครัวสามไว้
หลิวฉีซื่อเลียนแบบท่าทางของฮูหยินใหญ่ในจวนตระกูลหวงได้อย่างไร้ที่ติ เมื่อเห็นว่าชุ่ยหลิวทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูด จึงหันไปสั่งอิงเอ๋อร์ “พยุงคุณหนูไปพักผ่อนที่ห้อง ยังห่างจากเวลาทานข้าว จะได้พักหายใจสักครู่”
นางคํานวณในใจว่าวันนี้ได้รางวัลมาจากเซียงเซิน อีกเดี๋ยวจะเอาไปแลกเงินแล้วซื้อลามาทำรถลาก จะได้ไม่ต้องเดินเท้าเองให้เหนื่อย
หลิวเสี่ยวหลันเดินมาเหน็ดเหนื่อย เมื่อได้ยินจึงไม่ว่าอะไร และกลับห้องไปพร้อมอิงเอ๋อร์
“ว่ามา!” หากยามปกติหลิวฉีซื่อไม่ได้ด่ากราดเหมือนอยู่ตลาด มาดนี้ก็คงคล้ายกับฮูหยินตระกูลใหญ่พอสมควร
ชุ่ยหลิวจัดแจงความคิด ก่อนจะบอกเล่าทุกอย่างที่รู้เห็นมาจนหมด
“ฮูหยิน เดิมทีข้าเห็นผู้มาเยือน ข้าควรเชิญเขาเข้ามานั่งแล้วให้คนไปเรียกฮูหยินมา เพียงแต่ในบ้านมีข้าน้อยอยู่คนเดียว ข้าน้อยกลัวว่าจะพลาดเื่สำคัญไป ด้วยเหตุนี้จึง...”
หลิวฉีซื่อได้ยินว่าจางกุ้ยฮัวได้รับสินเ้าสาวจึงเกิดความสงสัย แม้ว่านางจะไม่เคยเจอจางอวี้เต๋อ แต่ก็เป็เพียงคนเท้าเปื้อนโคลนไม่รู้หนังสือ จะสามารถยกเงินสินเ้าสาวมากมายให้นางได้อย่างไรกัน
“เ้าได้ยินหรือไม่ว่าสินเ้าสาวของนางคืออะไร?”
“เดิมทีบ่าวก็ไม่ทราบ แต่ต่อมาได้ยินว่า น้าชายจางคนนั้นได้ส่งมาจำนวนนี้”
ชุ่ยหลิวกล่าวขณะที่ชูนิ้วชี้ขึ้นมาด้านหน้า
“เงินหนึ่งตำลึง?” น้ำเสียงของหลิวฉีซื่อดูถูกมาก “เขาก็คงมีความสามารถเพียงเท่านั้นแล เดิมทีก็ไม่รู้หนังสืออยู่แล้ว คิดว่าคงทำงานใช้แรงแลกเงินมา แล้ววานพ่อบ้านคนนั้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็พ่อบ้านของบ้านเ้านายเขาก็เป็ได้”
ชุ่ยหลิวส่ายหน้า
หลิวฉีซื่อจ้องมองที่นิ้วชี้ของนางและพินิจ จากนั้นถามอย่างไม่แน่ใจ “สิบตำลึงหรือ? ก็พอเป็ไปได้ หากว่าเจอเ้านายที่ใจดี สิบเอ็ดปีเก็บได้ไม่กี่สิบตำลึงก็เป็ไปได้ ถึงกล้าควักออกมาสิบตำลึง จางอวี้เต๋อนับว่ามีน้ำใจทีเดียว”
แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ในใจกลับไม่ยินดีนัก นี่เพิ่งแยกบ้านกันไม่นาน จางอวี้เต๋อก็ส่งเงินสินเ้าสาวมาให้นาง คงไม่ใช่ว่าครอบครัวเ้าสามมีความคิดแยกบ้านอยู่แล้ว พอจบเื่ก็ส่งข่าวให้กับจางอวี้เต๋อหรอกหรือ?
ทันทีที่นางคิดได้ ก็เอ่ยถามออกมา
“ฮูหยิน ข้าน้อยคิดว่าไม่น่าใช่ เพราะตอนที่พ่อบ้านท่านนั้นมาหา เขาไม่ได้รู้ถึงครอบครัวนายท่านสาม ต่อมาข้าน้อยได้ยินพ่อบ้านคนนั้นกล่าวว่า นายท่านจางเขียนจดหมายกลับมา แล้วก็ ข้าน้อยคิดว่ามีเื่หนึ่งที่น่าแปลก นายท่านสามเหมือนจะอ่านหนังสือได้ แล้วยังสอนภรรยากับลูกตัวดีอีกสองคนด้วยเ้าค่ะ”
นางเรียกจางกุ้ยฮัวและบุตรสาวเช่นนี้ ตั้งใจทำให้หลิวฉีซื่อพอใจ
“ซานกุ้ยพอรู้หนังสือบ้าง สามารถอ่านจดหมายบ้านๆ ได้ก็ไม่แปลก ตอนนั้น เขาเองก็เคยเล่าเรียนหนึ่งปี”
เข้าใจได้บ้าง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด
ดวงตาของชุ่ยหลิวเปล่งประกายแล้วเอ่ย “ฮูหยิน ข้าได้ยินว่าน้าชายคนนั้นได้มอบเงินให้นางตัวดีนั่นหนึ่งร้อยตำลึงด้วย”
อะไรนะ?
ดวงตาของหลิวฉีซื่อที่มองมายังชุ่ยหลิวนั้นเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ หนึ่งร้อยตำลึง เป็ไปได้อย่างไร
นางไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มตระกูลจางจะมีความสามารถเช่นนี้
บุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองของนางที่ได้ดิบได้ดีอยู่บ้าง กลับไม่เคยเอาเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาตอบแทนนางด้วยซ้ำ
-----
เชิงอรรถ
[1] 锦 จิ่น ผ้าไหมจิ่นเป็ 1 ใน 14 ชนิดของผ้าไหม ผ้าไหมจิ่นเป็ผ้าที่มีสีสันสวยงาม เนื้อผ้าหนา เมื่อมองในมุมมอง 360 องศาจะััได้ถึงความสวยงามและสีสันที่แตกต่างกันออกไป
