มู่หรงอวี้เปลี่ยนความคิด ก่อนจะเลี้ยวไปยังหอฉุนโม่ที่อยู่ใกล้ๆ
บางครั้งมีงานต้องสะสางมากมาย ตกกลางคืนเขาจัดการกับฎีกาเสร็จก็จะพักผ่อนในวังซึ่งก็คือที่หอฉุนโม่นี่เอง
หอฉุนโม่งามแปลกตาและเงียบสงบ ปกติน้อยนักจะมีคนมา เขาพักที่นี่บ้างเป็บางครั้ง ในหอมีนางกำนัลอยู่สองคน แน่นอนว่านางกำนัลของคนนี้เป็คนของเขา
ดึกขนาดนี้ นางกำนัลสองคนนั้นคิดว่าอวี้หวางไม่มีทางมาแล้ว จึงพากันไปพักผ่อน
มู่หรงอวี้ไม่ได้ทำเสียงดังมากเพราะไม่อยากให้ข้าหลวงรู้
เขาวางมู่หรงฉือลงที่เตียงของตนเอง เรียกนางเบาๆ สองครั้ง นางยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
แสงไฟจากตะเกียงสีแดงสลัวส่องลงบนดวงหน้าเล็กและริมฝีปากขาวซีดของนาง
หน้าผากใสสะอาด ขนตางอนสวย จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเหมือนกลีบดอกไม้ เรียวคางขาวผ่อง ติ่งหูเล็กสวยราวกับหยก ลำคอขาวเนียน ผิวขาวหยกที่หากลมพัดก็อาจจะแตกสลายได้...
เขาเคยรู้สึกว่าประโยคที่ว่า “ความงามเป็อาหารของสายตา” ประโยคนี้ช่างเกินจริงไปเสียหน่อย แต่ว่าตอนนี้เขาได้ััจริงๆ แล้ว มันเป็เช่นนั้นจริงๆ
หิวนัก...
ความรู้สึกหิวกระหายชัดเจนถึงเพียงนั้น
นิ้วมือเรียวยาวลูบแก้มขาวนุ่มของนางเบาๆ ััของความนุ่มที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้นั้นทำให้เืลมของเขาไหลเวียนเร็วขึ้น ที่หน้าอกมีความร้อนกระจุกอยู่ตรงนั้น...
มู่หรงอวี้ลอบถอนหายใจก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา กดลงตรงจุดกลางเหนือริมฝีปากของนางเพื่อให้นางฟื้นขึ้นมา
มู่หรงฉือค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพบกับความมืดตรงหน้า ก่อนจะเกิดเป็แสงขาวโพลนครู่หนึ่งแล้วทุกอย่างจึงค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ความเงียบสนิท ความมืดสลัว ที่นี่คือที่ใด?
ในสถานที่มืดสนิท รอบๆ มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาที่เปล่งแสงอบอุ่นออกมา กับลำแขนแกร่งที่โอบประคองนางไว้
ชั่วขณะนั้น ใบหน้าเล็กของนางพลันเห่อร้อน ผลักเขาออกอย่างแตกตื่น
“น้ำชานี้เป็สิ่งที่ข้าหลวงเตรียมเอาไว้ทุกวัน ดื่มสักหน่อยเถิด”
เขาส่งถ้วยชาไปยังริมฝีปากของนาง การกระทำเงอะงะไม่ลื่นไหล เห็นได้ชัดว่าไม่เคยดูแลคนเช่นนี้
นางรับถ้วยชามาอย่างกระอักกระอ่วน ดื่มชาพลางครุ่นคิด หรือว่าที่นี่จะเป็หอฉุนโม่ที่เขาพักผ่อนตอนกลางคืนที่วัง?
เขาพานางมาที่นี่ทำไม?
คิดถึงคดีน่าสงสัยที่เกิดขึ้นหลายวันมานี้ คิดถึง่เวลาอันน่าใที่ตำหนักชิงหยวนก่อนหน้านี้ คิดถึงการที่เขาจงใจสร้างสถานการณ์ให้พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังหลายชั่วยามในค่ำคืนนี้ นางอดสงสัยในเจตนาของเขาไม่ได้ การระมัดระวังตัวกับการป้องกันที่ไม่เคยลดลงพลันถูกนำออกมา
น้ำชานี้จะถูกเขาทำอะไรมาก่อนหรือไม่?
เมื่อครู่นางเพิ่งจะตื่น สมองยังสับสน จึงดื่มชาเข้าไปอย่างไม่ได้รู้ว่าเป็อะไร
“ที่นี่คือหอฉุนโม่” มู่หรงอวี้มองการระแวดระวังลึกๆ ในดวงตาของนาง สีหน้าเ็าลงหลายส่วน “เมื่อครู่เ้าหมดสติไป”
“ขอบคุณท่านอ๋อง เปิ่นกงไม่เป็อะไรแล้ว ขอตัวกลับไปที่ตำหนักบูรพาก่อน”
มู่หรงฉือยืนขึ้น แล้วเดินโอนเอนไปด้านนอกด้วยสภาพย่ำแย่
เขารีบก้าวไวๆ ตามออกไป “เวลานี้ดึกมากแล้ว ไม่มีผู้ใดอยู่ เ้ากลับไปที่ตำหนักคนเดียวไม่ปลอดภัย เปิ่นหวางไปส่งเ้ากลับก็แล้วกัน”
นางสาวเท้าไวจนแทบจะบิน ประหนึ่งด้านหลังมีหมาป่าสีเทาตัวใหญ่ไล่ตามมา “ไม่จำเป็”
ด้านนอกหอมีเกี้ยวซึ่งเขาสั่งเอาไว้ตอนเข้ามารออยู่
นางชะงักแล้วขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวเงียบๆ เมื่อครู่เรี่ยวแรงไม่เพียงพอจนหมดสติไป หากยังจะต้องเดินกลับไปอีก...นางแทบไม่อยากคิดถึงผลที่ตามมา การขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวเป็ทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
เกี้ยวเคลื่อนไปด้านหน้า จู่ๆ ไม่รู้เหตุใดแต่นางก็หันกลับไปมอง เห็นเขายืนอยู่ที่ประตูหอ แสงสลัวส่องไปยังใบหน้าขาว สิ่งเดียวที่เป็สีดำคือชุดสีดำที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับท่ามกลางสายลม ทั้งเฉียบคมและทิ่มแทงใจ
นางหันกลับมานั่งดีๆ แต่กลับรู้สึกเสียววาบที่หลัง
ค่อนคืนนี้วิ่งไปวิ่งมาทำให้นางเหนื่อยมากจริงๆ
ร่างที่เครียดเกร็งผ่อนคลายลง การระแวดระวังกับการป้องกันตัวพวกนั้นในที่สุดก็สามารถวางลงได้
มู่หรงอวี้มองนางที่ค่อยๆ ถูกความมืดกลืนหายไป ั์ตาสีเข้มก็หรี่ตาม เป็ความเฉียบคมเย็นเยียบตามความเคยชิน
...
“ผู้ตายคือฉางชิง อายุประมาณสี่สิบเจ็ดปี ใบหน้ามีสีเขียวดำ ริมฝีปากเป็สีม่วงเข้ม ลิ้นดำ...บนตัวไม่มีาแที่ชัดเจน เป็การตายเนื่องจากถูกพิษ”
เสิ่นจือเหยียนชันสูตรศพของฉางชิงอย่างละเอียด ก่อนจะให้ผลที่แน่นอนออกมา
ต่อมา เขาก็หยิบถ้วยชาบนโต๊ะจากห้องฉางชิงขึ้นมาดมใกล้จมูก “เป็สารหนู”
ระมัดระวังเอาไว้ก่อนเป็สิ่งสำคัญ เขาเอาเข็มเงินมาเล่มหนึ่งแล้วแทงเข้าไปที่คอของผู้ตาย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ดึงออกมา เข็มเงินเปลี่ยนเป็สีดำ
“สารหนูเข้าปากทำให้พิษกระจายไปทั่วร่างจนตาย” เขาถอดถุงมือขาวบางออก “คิดไม่ถึงว่าเมื่อคืนจะเกิดเื่มากมายถึงเพียงนี้”
“ฉางชิงผู้นี้น่าสงสัย อีกประเดี๋ยวข้าจะค่อยๆ เล่าให้เ้าฟัง จริงสิ เสี่ยวยินไม่ได้ตัดองคชาต” มู่หรงฉือพูดด้วยใบหน้าขึ้นสี
“จริงหรือ?” เขาใ รีบตรวจสอบองคชาตของเสี่ยวยินทันที จากนั้นก็กล่าวขอโทษ “เตี้ยนเซี่ย เป็ข้าที่หลงลืมไป ว่าแต่เตี้ยนเซี่ยรู้เื่นี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ...”
“เป็อวี้หวางคิดถึงเื่นี้ขึ้นมาได้"
“เื่นี้สำคัญมาก” เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้ว “ฉางชิงเกี่ยวข้องกับเสี่ยวยินมาก ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าเขาได้ทำความสะอาดร่างกายหรือไม่ ที่ฉางชิงฆ่าตัวตาย มีความเป็ไปได้ว่าจะปกป้องความลับที่เสี่ยวยินไม่ได้ตัดส่วนนั้นทิ้ง”
นางพยักหน้าช้าๆ “ขันทีไม่ได้ตัดส่วนนั้นทิ้งเป็ความผิดร้ายแรงฐานหลอกหลวงฮ่องเต้ ต้องถูกโบยร้อยที ลงโทษถึงตาย แต่ว่าฉางชิงโทษไม่ถึงตาย เปิ่นกงรู้สึกว่า ฉางชิงกินยาตายไม่ใช่เพื่อปกป้องความลับที่เสี่ยวยินไม่ได้ตัดทิ้ง แต่เป็ชาติกำเนิดของเสี่ยวยิน”
ใบหน้าสง่างามของเขาพลันสดใสขึ้นมา “เช่นนี้ ชาติกำเนิดของเสี่ยวยินก็ไม่ธรรมดาแล้ว”
ต่อมา มู่หรงฉือก็เล่าสิ่งที่พบเมื่อคืนรวมถึงการวิเคราะห์ของนางกับมู่หรงอวี้ออกมา “เ้าคิดว่าฉางชิงมีความเป็ไปได้ที่จะเป็คนที่รุ่ยหวางทิ้งเอาไว้หรือไม่? เสี่ยวยินกับรุ่ยหวางจะมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่? คดีน่าสงสัยกับคดีคนตายพวกนี้จะเป็กลุ่มคนของรุ่ยหวางแฝงเข้ามาจัดฉากเพื่อสร้างแรงกระเทือนหรือไม่?”
ครั้นได้ยินว่าเื่เหล่านี้อาจจะเกี่ยวข้องกับรุ่ยหวางที่ตายจากไปหลายปีแล้ว เสิ่นจือเหยียนก็ใ “การคาดเดาของอวี้หวางนับว่าสมเหตุสมผล ฉางชิงมีความเป็ไปได้ที่จะเป็หูตาของรุ่ยหวาง ตอนนี้ฉางชิงกับเสี่ยวยินก็ตายไปหมดแล้ว ตายอย่างไร้หลักฐานใดยืนยัน เบาะแสจึงขาดไป”
“รุ่ยหวางกับจิงหวางตายไปตอนนั้น ข้าหลวงในวังถูกกวาดล้างไปรอบหนึ่ง คิดไปแล้วก็คงจะมีหนูเล็ดลอดออกมา นอกจากฉางชิงแล้ว คาดว่าคงจะมีหลิวอันที่รู้เื่เมื่อตอนนั้น แต่หากอยากจะซักให้เขาพูดสิ่งที่พวกเรา้าออกมา คาดว่าคงเป็ไปได้ยาก”
“ฉางชิงเก็บซ่อนเอาไว้ได้ลึกมาก หลิวอันไม่มีทางรู้”
“เสี่ยวยินดูแลหลิวอันมาหลายปีเพียงนี้ หลิวอันกลับไม่พบว่าเสี่ยวยินยังไม่ได้ตัด แต่เปิ่นกงคิดว่าหลิวอันคนนี้ไม่ธรรมดา น่าจะเก็บซ่อนความลับเอาไว้มากมาย”
“หลิวอันดูแลฮ่องเต้ หลายปีมานี้ควบคุมดูแลวังฝ่ายใน หากไร้ความสามารถจะยืนหยัดอยู่ในวังได้อย่างไร? เช่นนั้นก็คงถูกกำจัดออกไปนานแล้ว” เสิ่นจือเหยียนสวมชุดสีขาว แขนเสื้อกว้างปักด้ายเงินเป็รูปก้อนเมฆ คนทั้งคนจึงดูล่องลอยพลิ้วไหว “ถึงแม้เสี่ยวยิน ฉางชิงกับหลิวอันจะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ว่าหลิวอันมีไหวพริบเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำ ถึงได้ตัดตัวเองออกจากเื่นี้ได้อย่างหมดจด จะลงมือกับเขานั้นยากยิ่งนัก อาจถูกเขาปฏิเสธบ่ายเบี่ยงได้”
มู่หรงฉือััถึงความร้ายแรงได้ หากไม่มีหลักฐานยืนยันก็ยังไม่มีความจำเป็ที่จะแตะต้องหลิวอัน
เสี่ยวยินกับฉางชิงกินยาพิษตาย ทั้งยังไม่สามารถเริ่มต้นตรวจสอบได้จากอะไรทั้งสิ้น เหมือนเดินเข้าสู่ทางตัน
แต่ผมขาวสามเส้นนั้น ไม่ได้ชี้ไปที่อะไรเลย
เสิ่นจือเหยียนรู้ว่าเตี้ยนเซี่ยกับอวี้หวางได้ไปดูบ้านพักของเสี่ยวยินมาแล้ว ถึงแม้จะเดาได้ว่าอาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย แต่เขาก็ยังอยากจะไปดู
“เมื่อคืนหลังจากที่ข้าจากไป อวี้หวางไม่ได้กลับไปหรือ?”
“เขาไม่ได้จากไป เปิ่นกงเองก็หมดหนทาง” ในใจของนางกล้าๆ กลัวๆ กังวลว่าเขาจะพบอะไรเข้า
ความจริงแล้ว เสิ่นจือเหยียนอยากจะรู้ว่าเมื่อคืนเป็อวี้หวางหรือว่าเตี้ยนเซี่ยที่เสนอความคิดให้ไปดูบ้านพักของเสี่ยวยิน
เขาประสานมือเข้าด้วยกันแล้วพูด “เตี้ยนเซี่ย ข้าไปดูที่พักของเสี่ยวยินก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้น หรูอี้ก็ยกโอสถเข้ามา มู่หรงฉือทานเข้าไปแล้วก็เห็นฉินรั่วเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเป็กังวล
หรูอี้ถามนาง “มีอะไรหรือ?”
ฉินรั่วพูดกับมู่หรงฉือ “เตี้ยนเซี่ยเพคะ จี๋เสียงออกจากวังไปซื้อของ ถูกแมวตัวหนึ่งกัดเข้า มีเืไหลออกมาไม่น้อย หนูฉายเห็นนางาเ็หนัก จึงมาขอให้เตี้ยนเซี่ยอนุญาตให้นางไปหาหมอที่โรงหมอหลวงเพคะ”
หรูอี้พูดด้วยความใ “แมวมิใช่สัตว์นิสัยอ่อนโยนหรือ? กัดคนได้ด้วย?”
ในหัวของมู่หรงฉือมีสายฟ้าแล่นผ่าน “ไปบอกจี๋เสียง เปิ่นกงอยากจะดูแผลของนาง”
ไม่นาน ฉินรั่วก็พาจี๋เสียงมาเข้าเฝ้า
จี๋เสียงคุกเข่าลงกับพื้น ดวงหน้าขาวซีด ชุดสีชมพูม่วงของข้าหลวงมีรอยเื โดยเฉพาะบริเวณแขนเสื้อด้านซ้ายขาดรุ่ย มีรอยเืเป็ดวงๆ กลิ่นคาวเืลอยออกมา
“ลุกขึ้นเถิด” มู่หรงฉือพูดเสียงเรียบ
“เตี้ยนเซี่ย เชิญทอดพระเนตรเพคะ”
ฉินรั่วให้จี๋เสียงนั่งลง จากนั้นก็ถลกแขนเสื้อที่ขาดวิ่นขึ้น
หรูอี้ใ “แมวตัวนั้นดุร้ายยิ่งนัก ถึงได้กัดคนจนกลายเป็เช่นนี้”
จี๋เสียงเ็ปจนน้ำตารื้น นางกัดริมฝีปากเบาๆ จนไม่มีสีเื ดูแล้วเืคงไหลออกมาไม่น้อย แขนซ้ายได้รับาเ็หนัก เต็มไปด้วยเื มีรอยกรงเล็บ ทั้งยังมีรอยฟันลึก ยิ่งมองาแที่ถูกกัดก็เห็นว่าตรงบ่าซ้ายก็มีรอยกรงเล็บ ดูน่าใ
“เ้าถูกกัดได้อย่างไร?” หรูอี้ถามแทนเตี้ยนเซี่ย
“ระหว่างทางที่หนูปี้กลับวัง ก็เห็นแมวตัวหนึ่งกระโจนเข้ามาจากด้านข้าง...” จี๋เสียงพูดเสียงสะอื้น “หนูปี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมแมวตัวนั้นถึงได้ดุร้ายขนาดนั้น...มันกัดแขนของหนูปี้ไม่ยอมปล่อย...ทั้งยังกัดต่ออีกหลายครั้ง โชคดีที่มีคนใจดีผ่านมาช่วยหนูปี้ไล่แมวตัวนั้นไป...”
“ฉินรั่ว อีกเดี๋ยวเ้าสั่งคนส่งนางไปที่รักษาที่โรงหมอหลวง จี๋เสียง หลายวันนี้เ้าพักผ่อนดีๆ ไม่ต้องมาดูแลงานในตำหนัก” มู่หรงฉือสั่ง ดวงตาทอประกาย
“ขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ยที่กรุณาเพคะ” จี๋เสียงก้มหัวลงขอบคุณ จากนั้นก็ออกไป
หรูอี้เห็นองค์หญิงตวนโหรวเข้ามาโดยไม่ได้รายงาน แล้วมองมาทางเตี้ยนเซี่ยอย่างทำอะไรไม่ได้
มู่หรงฉือหมดวาจาจะพูด
มู่หรงสือเกิดความรู้สึกอยากพูดคุยขึ้นมา ถามหรูอี้อย่างอยากรู้อยากเห็น “ข้าหลวงคนนั้นเป็อะไรหรือ? เหตุใดถึงได้าเ็ถึงเพียงนั้น?”
“ถูกแมวกัดเพคะ” หรูอี้ตอบ
มู่หรงสือคิดถึงเป้าหมายที่นางมาวันนี้ ก็ทำความเคารพอีกฝ่ายพลางยิ้มหน้าบาน “เตี้ยนเซี่ย ข้าท่อง เมิ่งจื่อ สองประโยคหน้ามาแล้ว ข้าจะท่องให้ท่านฟังตอนนี้”
“รอองค์หญิงท่องท่อนล่างได้แล้วค่อยมาหาเปิ่นกง” มู่หรงฉือยกถ้วยชาขึ้นดื่ม
“เช่นนั้นก็ได้เพคะ” มู่หรงสือคิดถึงเื่สำคัญขึ้นมาได้อีกเื่หนึ่ง จึงถามด้วยความเป็ห่วง “เตี้ยนเซี่ย ได้ยินว่าเมื่อวานท่านถูกลอบสังหาร อาการาเ็หนักมากหรือไม่เพคะ?”
“เป็เพียงแผลถลอกภายนอกเท่านั้น องค์หญิงอย่าได้กังวลใจไป” ดวงตาของมู่หรงฉือแพรวพราว ก่อนจะทอประกายเ้าเล่ห์ “เมื่อครู่แผลของข้าหลวงคนนั้น องค์หญิงเห็นชัดเจนหรือไม่”
“เห็นชัดเจนเพคะ” มู่หรงสือไม่เข้าใจ เตี้ยนเซี่ยถามไปเพื่ออะไร?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้