กระดูกสัตว์ชิ้นนั้นเขาได้รับมาจากงานฉลองจับฉลากเมื่อตอนอายุหนึ่งขวบ
นับั้แ่ที่เขาหยิบกระดูกสัตว์ชิ้นนั้นขึ้นมาท่านตาและป้าใหญ่ของเขาก็รอคอยว่าสักวันหนึ่งพลังิญญาของเขากับกระดูกชิ้นนั้นจะเกิดการตอบรับซึ้งกันและกัน
น่าเสียดายที่จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังไม่สามารถทำให้กระดูกสัตว์ชิ้นนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆได้และตัวเขาเองก็ล้มเลิกความตั้งใจไปนานแล้ว
กระดูกสัตว์ชิ้นนั้นเขาเอาติดตัวไว้ตลอดเวลากลางดึกไร้เสียงผู้คน ก็มักจะหยิบเอาออกมาเล่นปรารถนาว่าจะััได้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน
แต่หลายปีมานี้กระดูกสัตว์ไม่เคยเกิดความผิดปกติมาก่อน
ทว่าวันนี้กลับต่างไปจากทุกวันอย่างเห็นได้ชัด
เขาจ้องมองมันอย่างละเอียดจึงเห็นว่าบนกระดูกสัตว์คล้ายจะมีประกายแสงสีแดงปะทุออกมา
ความรู้สึกร้อนแผดเผาที่ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากกระดูกตามประกายแสงสีแดงทำให้ตรงเอวเขาที่พกกระดูกชิ้นนี้เอาไว้แสบร้อนจนทนไม่ไหว
“แปลกจัง...”
เนี่ยเทียนมีสีหน้าแปลกใจจึงหยิบกระดูกชิ้นนี้มาวางไว้กลางฝ่ามือทดลองใช้พลังิญญาในร่างรับัั
ใช้จิตมองสำรวจดู เขาเหมือนมองเห็นแสงสีแดงระยิบระยับมากยิ่งกว่าเดิมในกระดูกสัตว์ แสงเ่าั้ปล่อยเปลวไฟสีแดงอมส้มคล้ายกำลังลุกไหม้
“เปลวเพลิงสีแดงอมส้มก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับอวิ๋นซงลูกไฟของอวิ๋นซงก็เป็สีนี้มิใช่หรือ?” ความคิดเขากระตุกเล็กน้อย
ยามนี้เขาดึงเอาความสนใจกลับคืนมาจากกระดูกสัตว์กลับไปครุ่นคิดถึงรายละเอียดตอนที่ต่อสู้กับอวิ๋นซงเมื่อบ่ายวันนี้
อยู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เขาฝ่าออกมาจากกลุ่มลูกไฟสีแดงอมส้มเ่าั้ ประกายไฟที่อยู่ในลูกไฟมากมายล้วนแตกปะทุออกมาด้านนอก
ทว่าดูเหมือนมีสะเก็ดไฟบางส่วนพุ่งกระเด็นเข้าหาตำแหน่งที่เขาเก็บกระดูกสัตว์เอาไว้ และสะเก็ดไฟนั้นก็ไม่ได้กระเด็นออกไป
ราวกับว่ามีประกายไฟบางส่วนที่หลงค้างอยู่ในนั้นไปตลอดกาล...
“หรือว่าเปลวไฟสีแดงอมส้มเ่าั้ตกไปอยู่ในกระดูกสัตว์นี้รึ?”เนี่ยเทียนค่อยๆ กำมือแน่น
กระดูกสัตว์เดิมทีเป็สีน้ำตาลแก่ตอนนี้ราวกับเหล็กที่ถูกเผาตลอดทั้งชิ้นเปลี่ยนสภาพกลายเป็สีแดงสว่าง
อุณหภูมิที่สูงผิดปกติทำให้กลางฝ่ามือของเขาััได้ถึงความเ็ป เขาจำต้องลุกขึ้นยืนเอากระดูกสัตว์ชิ้นนั้นมาวางไว้บนโต๊ะหิน
เมื่อเขาเบิกตากว้างมองไปก็พบว่ากระดูกสัตว์ชิ้นนั้นคล้ายถูกเปลวเพลิงหลอมไหม้มีประกายไฟเปล่งวาบออกมาอยู่ตลอดเวลา
ลักษณะที่ผิดแผกไปจากเดิมของกระดูกสัตว์ไม่ได้อยู่นานนักผ่านไปครู่หนึ่งกระดูกสัตว์ชิ้นนั้นก็มืดดับแสงลงราวกับว่าประกายไฟที่อวิ๋นซงทิ้งไว้ด้านในถูกเผามอดไหม้ไปหมดแล้ว
หลังจากอุณหภูมิลดลง เนี่ยเทียนถึงได้ยื่นมือออกไปอีกครั้งเอาท้องนิ้วกดลงบนกระดูกสัตว์ชิ้นนั้น
เขาหลับตาลงเมื่อใช้ปลายนิ้วััอย่างละเอียดก็มองเห็นสะเก็ดไฟที่ราวกับดวงดาวมากมายกะพริบพราวอยู่ด้านในกระดูกสัตว์
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งสะเก็ดไฟด้านในนั้นก็สลายหายไป กระดูกสัตว์กลับคืนสู่สีเดิมมองไม่ออกถึงความพิเศษใดๆ อีก
เนี่ยเทียนเอามันขึ้นมาเล่นอยู่อีกครู่หนึ่ง และพยายามค้นหาความมหัศจรรย์ของมันทว่ากลับไม่พบอะไรเลย
ผ่านไปพักใหญ่กระดูกสัตว์ชิ้นนั้นยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้น เขาจึงทำได้เพียงยอมแพ้อย่างจนใจเก็บกระดูกชิ้นนั้นไว้ที่เดิมอีกครั้ง
ทว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดครั้งนี้เกิดขึ้นแล้วทำให้เขายิ่งสังเกตกระดูกสัตว์ชิ้นนี้เพิ่มขึ้นเป็พิเศษ
่เวลาหลังจากนั้นเนี่ยเทียนถูกกักบริเวณไม่ให้ออกไปข้างนอก เพียงแต่เนี่ยตงไห่พบว่ามีผู้ฝึกลมปราณที่ไม่รู้ที่มาที่ไปหลายคนคอยด้อมๆ มองๆ อยู่รอบจวนตระกูลเนี่ย
เนี่ยตงไห่รู้ชัดดีว่าผู้ฝึกลมปราณแปลกหน้าเ่าั้ย่อมเป็คนของตระกูลอวิ๋นหรือไม่ก็ขุนนางต่างรัฐตระกูลหยวนที่รับคำสั่งมาจากหยวนชิวอิ๋งแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะเป็ตระกูลอวิ๋นหรือตระกูลหยวนอยู่ในเมืองเฮยอวิ๋นพวกเขาก็ล้วนไม่กล้าลงมือโเี้กับตระกูลเนี่ยอย่างโจ่งแจ้ง
สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือหาคนแปลกหน้ามา เมื่อทำสำเร็จก็ตัดความสัมพันธ์กับคนเ่าั้ให้คนพวกนั้นไปจากเมืองเฮยอวิ๋นตลอดกาล
เพื่อป้องกันไม่ให้เนี่ยเทียนถูกทำร้าย เนี่ยเฉี่ยนจึงคอยจับตามองเขาตลอดเวลาไม่ยอมให้เขาออกจากจวนตระกูลเนี่ยแม้แต่ก้าวเดียว
และด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลาสามเดือน เนี่ยเทียนจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบาก คาดหวังว่าจะก้าวหน้าไปอีกขั้นภายในเวลาอันสั้นนี้
สามเดือนต่อมาพวกคนต่างถิ่นเ่าั้เห็นว่าอย่างไรก็ไม่มีโอกาสได้ลงมือถึงได้ค่อยๆ ถอยห่างออกจากจวนตระกูลเนี่ยไป
“เหนื่อยชะมัด” ใบหน้าเนี่ยเฉี่ยนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเดินส่งเสียงเอะอะเข้ามาในห้องของเนี่ยเทียน วางถุงผ้าใบหนึ่งลงบนโต๊ะส่งๆ “ยุ่งมาสามวันกว่าจะตรวจสอบหินเมฆอัคคีที่ขุดมาหลายเดือนนี้เสร็จ เอาส่วนใหญ่ส่งไปเป็บรรณาการให้กับสำนักหลิงอวิ๋นหินเมฆอัคคีส่วนที่เหลือก็เอาเข้าห้องสมบัติของตระกูล เหลือมาถึงมือข้าได้ก็มีแค่นี้แล้ว”
แสงอรุณสาดส่องเข้ามาที่หน้าประตูเนี่ยเทียนตื่นขึ้นจากการฝึกบำเพ็ญตบะ
“นั่นก็คือหินเมฆอัคคีหรือ?” เนี่ยเทียนมองไปยังหินหลายก้อนที่กลิ้งออกมาจากถุงผ้าบนโต๊ะด้วยความใคร่รู้
“อืม นี่ก็คือหินเมฆอัคคีวัตถุวิเศษขั้นต่ำระดับสี่” เนี่ยเฉี่ยนหยิบหินเมฆอัคคีขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งขึ้นมาโยนไปทางเนี่ยเทียน “วัตถุวิเศษคือวัตถุพิเศษที่ใช้ในการหลอมอาวุธวิเศษและสร้างค่ายกลวิเศษ ผู้ฝึกลมปราณทุกคนเมื่อบำเพ็ญตบะได้ถึงขอบเขตทั้งสาม์[1] ก็ล้วนต้องเริ่มัักับมัน เ้าลองดูสิ”
เนี่ยเทียนยกมือขึ้นรับหินเมฆอัคคีก้อนนั้นเอาไว้อย่างแม่นยำก้มหน้าสังเกตดูอย่างละเอียด
หินเมฆอัคคีขนาดเท่ากำปั้นมีสีแดงเข้มด้านในคล้ายมีกลุ่มเมฆสีแดงอยู่ในกลุ่มเมฆสีแดงเ่าั้แฝงเร้นไว้ด้วยพลังเปลวเพลิง
เนี่ยเทียนมองอยู่ครู่หนึ่ง ความคิดก็ฉุกวาบหยิบเอากระดูกสัตว์บนร่างออกมา
วางหินเมฆอัคคีก้อนนั้นแนบชิดเข้ากับกระดูกสัตว์เบาๆ ต่อหน้าเนี่ยเฉี่ยนทดลองใช้พลังเปลวเพลิงในหินเมฆอัคคีกระตุ้นกระดูกสัตว์
คราวก่อนที่ต่อสู้กับอวิ๋นซงลูกไฟจากอวิ๋นซงเหลือค้างอยู่ในกระดูกสัตว์ ทำให้กระดูกสัตว์เกิดการเปลี่ยนแปลงจึง ทำให้เขาระมัดระวังเป็พิเศษ
เขาอยากดูว่ากระดูกสัตว์ชิ้นนี้จะยังดูดรับเอาพลังเปลวเพลิงได้เหมือนคราวก่อนหรือไม่
“ฟู่ว ฟู่ว!”
สะเก็ดไฟเล็กๆ แตกปะทุออกมาจากจุดที่กระดูกสัตว์และหินเมฆอัคคีัักัน กระดูกสัตว์ที่เป็สีน้ำตาลแก่พลันกลายมามีสีเดียวกับหินเมฆอัคคี
เนี่ยเทียนเบิกตากว้างนิ้วของเขาที่กดลงบนหินเมฆอัคคีและกระดูกสัตว์ััได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังเปลวเพลิงหลายเส้นไหลทะลักจากหินเมฆอัคคีเข้าไปสู่กระดูกสัตว์
ก้อนเมฆกลุ่มเล็กๆ ในหินเมฆอัคคีเห็นได้ชัดว่ากำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ!”
เนี่ยเฉี่ยนเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน จึงรีบเดินเข้าไปใกล้สังเกตกระดูกสัตว์ชิ้นนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมกับเนี่ยเทียน
นางมองเห็นว่าก้อนเมฆสีแดงที่อยู่ในหินเมฆอัคคีสลายไปหมดภายในระยะเวลาสั้น
นางรู้แน่ชัดดีว่าวัตถุที่รูปร่างเหมือนก้อนเมฆสีแดงนั้นก็คือพลังเปลวเพลิงที่ซุกซ่อนอยู่ในหินเมฆอัคคี
“เปรี๊ยะๆ!”
หลังจากก้อนเมฆสีแดงที่อยู่ในหินเมฆอัคคีขนาดเท่ากำปั้นหายไปหมดมันก็พลันแตกออกเป็เสี่ยงๆ
หินเมฆอัคคีที่แตกออกเป็ชิ้นเล็กๆ ไม่ใช่สีแดงเข้มอีกต่อไปแต่กลายมาเป็หินสีเทาขาวธรรมดาที่ไม่มีประกายแสงใดๆ อีก
ทว่ากระดูกสัตว์สีน้ำตาลแก่นั้นกลับค่อยๆ สว่างแดงโร่ราวกับเหล็กที่ถูกไฟหลอม ร้อนจนเนี่ยเทียนต้องรีบคลายมือออก
“เสี่ยวเทียนเ้า...” เนี่ยเฉี่ยนดีใจยิ่งนัก ดวงตาเปล่งประกายตื่นเต้น “หรือว่าพลังิญญาของเ้ากับกระดูกสัตว์ชิ้นนี้เริ่มมีการตอบสนองต่อกันแล้ว? ธาตุในการฝึกบำเพ็ญตบะของเ้าคือเปลวไฟรึ?”
เื่ที่นางพะวงอยู่ในใจมาตลอดก็คือเนี่ยเทียนยังไม่มีธาตุในการฝึกบำเพ็ญตบะเฉพาะตัวไม่มีการขานรับกับกระดูกสัตว์
ตอนนี้มองเห็นว่ากระดูกสัตว์ชิ้นนั้นกลายเป็สีแดงทั้งชิ้นนางก็เข้าใจไปว่าเนี่ยเทียนเป็ผู้กระตุ้นมัน จึงปิติยินดีและมีหวังอย่างยิ่ง
“ไม่เกี่ยวกับข้า” เนี่ยเทียนยิ้มเจื่อนๆ และส่ายหัว “หากข้ากระตุ้นให้กระดูกสัตว์เกิดการเปลี่ยนแปลงธาตุในร่างกายข้าก็คือพลังเปลวไฟ ข้าก็ต้องจับมันได้โดยไม่ต้องปล่อยมือออก”
“แล้ว...” เนี่ยเฉี่ยนผิดหวังอดถามขึ้นมาไม่ได้ “แล้วนี่มันเื่อะไรกันเล่า?”
“หินเมฆอัคคีทำให้กระดูกสัตว์ชิ้นนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง” เนี่ยเทียนอธิบายความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระดูกสัตว์ในคืนนั้นหลังจากที่เขาต่อสู้กับอวิ๋นซงอย่างละเอียดหนึ่งรอบ จากนั้นถึงได้พูดว่า “ดูเหมือนว่ากระดูกสัตว์ชิ้นนี้จะสามารถดูดซับพลังเปลวเพลิงเอาไว้ได้ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักคราวนี้พลังเปลวเพลิงในหินเมฆอัคคีถูกกระดูกสัตว์ดูดดึงเอาไป ข้าถึงได้กล้ายืนยัน”
ขณะที่คนทั้งสองพูดคุยกันกระดูกสัตว์ที่ส่องแสงจัดจ้าก็ค่อยๆ กลับมาเป็สีน้ำตาลแก่อีกครั้งไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆอีก
“เหตุใดถึงกลับไปเป็เหมือนเดิมอีกแล้วเล่า?” เนี่ยเฉี่ยนกล่าวอย่างแปลกใจ
“ดูดเอาพลังเปลวเพลิงไปเสร็จมันก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ถ้าจะให้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็ต้องให้มันดูดซับพลังเปลวเพลิงอีกครั้ง” เนี่ยเทียนกล่าวอย่างมั่นใจ
“ไหนข้าขอลองดูหน่อย” เนี่ยเฉี่ยนเกิดความสนใจ
นางหยิบเอาถุงผ้าที่บรรจุหินเมฆอัคคีขึ้นมา หยิบหินเมฆอัคคีก้อนที่ใหญ่กว่าเดิมส่งให้กับเนี่ยเทียน “ลองดูอีกครั้ง”
“ได้” เนี่ยเทียนลองอีกครั้งตามสั่ง
“ฟู่ว ฟู่ว!”
จุดที่กระดูกสัตว์และหินเมฆอัคคีัักันมีประกายไฟแตกปะทุออกมาใหม่ กระดูกสัตว์เปลี่ยนมาเป็สีแดงจ้าอีกครั้ง
ภายใต้การจับตามองของเนี่ยเทียนและเนี่ยเฉี่ยนหินเมฆอัคคีก้อนใหญ่กว่าเดิมก้อนนั้นถูกกระดูกสัตว์ดึงพลังเปลวเพลิงไปอย่างรวดเร็วไม่นานก็แตกออกเป็เสี่ยงๆ
ส่วนสะเก็ดไฟในกระดูกสัตว์ก็ราวกับดาวดวงเล็กดวงน้อยสีแดงมากมายที่เปล่งแสงกะพริบออกมา
เนี่ยเฉี่ยนที่เตรียมตัวรออยู่นานแล้วยื่นมือออกไปช้าๆ ใช้ปลายเล็บบางใสแตะลงบนกระดูกสัตว์เบาๆ คิดจะตรวจสอบความมหัศจรรย์ของมัน
“ว้าย!”
เพิ่งจะััโดนกระดูกสัตว์เนี่ยเฉี่ยนก็กรีดร้องเสียงแหลมดึงมือกลับไปเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ท้องนิ้วของนางถูกเผาไหม้จนเป็แผลในพริบตาเดียว
ขณะที่นางรวบรวมพลังิญญาซึ่งแฝงเร้นไว้ด้วยธาตุน้ำคิดจะทดลองดูอีกครั้งแต่กระดูกสัตว์ชิ้นนั้นดันกลับคืนสู่สภาพเดิมเสียแล้ว
“อีกรอบ!”
ความห้าวหาญของนางถูกปลุกเร้าขึ้นมาจึงหยิบหินเมฆอัคคีออกมาอีกหนึ่งก้อน พอวางลงบนกระดูกสัตว์ชิ้นนั้น กระดูกสัตว์ก็กลายเป็สีแดงราวกับไฟ
คราวนี้นางรวบรวมพลังิญญาธาตุน้ำไว้ที่ปลายนิ้วแล้วจึงยื่นมือออกไปอีกรอบ
“ฟู่ว ฟู่ว!”
ไอน้ำเป็เส้นๆ พลันระเหยออกมาจากจุดที่ปลายนิ้วของนางและกระดูกสัตว์ัักันทว่าค้างไว้ได้เพียงสามวินาทีนางก็ทนความร้อนแผดเผาบนกระดูกสัตว์ไม่ไหวจำต้องปล่อยมือออก
“อีกรอบ!”
เนี่ยเฉี่ยนทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าหินเมฆอัคคีแต่ละก้อนพอถูกกระดูกสัตว์ดูดเอาพลังเปลวไฟไปหมดก็แตกกระจาย
ทุกครั้งที่นางแตะนิ้วลงไปบนกระดูกสัตว์ล้วนไม่สามารถค้างไว้ได้นาน พอพลังิญญาของนางเพิ่งจะแทรกซึมเข้าไปในกระดูกสัตว์ นางก็ทนไม่ไหวจนต้องดึงมือออก
ผ่านไปครู่ใหญ่หินเมฆอัคคีทุกก้อนที่นางมีอยู่ล้วนกลายเป็เศษหินสีเทาขาว
บนหน้าผากเนี่ยเฉี่ยนมีเหงื่อผุดซึม มองกระดูกสัตว์ชิ้นนั้นด้วยจิตใจห่อเหี่ยวส่ายหัวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ของชิ้นนี้ออกจะประหลาดไปเสียหน่อย”
บางทีอาจเป็เพราะดูดซับเอาพลังเปลวเพลิงไปมากมายภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากที่หินเมฆอัคคีก้อนสุดท้ายแตกออกกระดูกสัตว์จึงไม่ได้กลับคืนสู่สภาพปกติทันทีทันใด ยังคงเป็สีแดงโร่ราวกับเหล็กที่ถูกหลอมไฟ
“ข้าขอลองบ้าง” เนี่ยเทียนกดนิ้วลงไปบนกระดูกสัตว์อย่างแรง
“อย่า! มันร้อนมากเดี๋ยวเ้าจะาเ็เอาได้!” เนี่ยเฉี่ยนเอ่ยห้ามเสียงดัง
นางทดลองมาหลายครั้งจนแน่ใจแล้วว่ายิ่งกระดูกสัตว์ดูดเอาพลังเปลวเพลิงมามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งร้อนแผดเผามากเท่านั้นดังนั้นต่อให้ตอนหลังปลายนิ้วของนางจะรวบรวมพลังิญญาธาตุน้ำไว้เป็จำนวนมาก ทว่าก็ยังไม่สามารถทนได้
ตอนนี้หลังจากที่กระดูกสัตว์ชิ้นนั้นดูดเอาพลังเปลวเพลิงจากหินเมฆอัคคีทั้งหมดไปแล้ว จึงเป็่เวลาที่มันร้อนระอุมากที่สุดหากเนี่ยเทียนเอามือวางลงไป จึงเท่ากับหาเื่ให้ตัวเองเจ็บตัว
ทว่าเสียงห้ามปรามของนางไม่ทันความเร็วของมือเนี่ยเทียน
เสียงนางเพิ่งดังขึ้นปลายนิ้วของเนี่ยเทียนก็กดลงบนกระดูกสัตว์แล้ว
“รีบปล่อยมือเร็วเข้า!” นางะโเสียงดังร้อนรน
แต่เนี่ยเทียนกลับไม่ได้รีบชักมือออก และไม่ได้ร้องโหยหวนอย่างที่นางคิดเอาไว้
ที่น่าแปลกก็คือนิ้วมือของเนี่ยเทียนที่กดลงบนกระดูกสัตว์ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงความเ็ปแม้แต่นิด ดวงตาของเขากลับยังเปล่งประกายวาววับราวกับค้นพบเื่ที่น่าตกตะลึงมากอีกด้วย
------
[1]ขอบเขตสาม์ = ท้าย์ กลาง์ ต้น์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้