“นางออกจากจวนกลับเรือนไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจียงชิงอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก่อนนางจากไปก็บอกว่า อาการเจ็บป่วยของโม่เสวียนไม่เป็อันตรายอันใดแล้ว เพียงดื่มยาให้ครบสามวันเป็พอพ่ะย่ะค่ะ”
พยาธิในท้องของโจวโม่เสวียนถูกขับออกมาส่วนใหญ่แล้ว และจะไม่เกิดอาการพยาธิไชทะลุถุงน้ำดีจนเป็รู ถือว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว
คนที่บ้านหลี่จะต้องเป็ห่วงมากแล้ว หลี่หรูอี้บอกกับเจียงชิงอวิ๋นว่าจะขอกลับไปก่อน เจียงชิงอวิ๋นจึงให้ลุงฝูไปส่งคนสกุลหลี่กลับหมู่บ้านหลี่
โจวจิ่งวั่งออกจะประหลาดใจ “ท่านหมอเทวดาน้อยไปแล้วหรือขอรับ”
“กลับไปแล้ว” เจียงชิงอวิ๋นตอบอย่างเนิบช้า “ท่านหมอเทวดาน้อยไม่มีหนังสือรับรองวิชาแพทย์ จึงตรวจรักษาเฉพาะโรคประหลาดที่รักษาได้ยาก อาการเจ็บป่วยของลุงโจวเมื่อคราก่อนก็เป็นางที่ช่วยรักษาจนหาย”
“จวนอ๋องของเรายังไม่ทันได้ขอบคุณนาง นางก็ไปเสียแล้วหรือ ไม่ไยดีต่อชื่อเสียงเงินทอง นี่คือหมอเทวดาโดยแท้” ภายหน้าเยี่ยนอ๋องจะยิ่งให้ความสำคัญต่อหมอเทวดาน้อยผู้นี้มากขึ้นไปอีก
โจวปิงพยักหน้าช้าๆ “ในป่าดงมีผู้สูงส่ง ที่แท้อาการเจ็บป่วยของตาเฒ่าโจวก็เป็ท่านหมอเทวดาน้อยรักษาจนหายนี่เอง”
เจียงชิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย แม้ยังอายุน้อย แต่กลับมีฐานะที่พิเศษยิ่ง ปกติแล้วจะไม่ออกทำการรักษา ครานี้เพราะพี่ชายทั้งสี่ของนางเปรียบเป็ดั่งสหายและศิษย์ของกระหม่อม นางจึงยอมตามกระหม่อมมาที่เมืองเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”
ในสายตาของเยี่ยนอ๋องสามีภรรยาแล้ว หากเป็หมอธรรมดา หรือแพทย์เลื่องชื่อทั่วไป หรือต่อให้เป็แพทย์หลวงก็จะไม่ปฏิบัติเช่นนี้
แต่หมอเทวดานั้นกลับไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็แพทย์เลื่องชื่อหรือแพทย์หลวงหลายสิบคน ก็ยังไม่อาจเทียบกับหมอเทวดาเพียงคนเดียว เฉกเช่นหลี่หรูอี้ ผู้เป็หมอเทวดาน้อยผู้หนึ่งที่สามารถช่วยชีวิตโจวโม่เสวียนเอาไว้ได้ จึงย่อมได้รับความนับถือจากเยี่ยนอ๋องสามีภรรยา
โจวปิงตื้นตันใจยิ่งนัก เอ่ยกับเจียงชิงอวิ๋นด้วยความซาบซึ้งว่า “ครานี้ขอบใจเ้าเหลือเกิน”
เยี่ยนหวังเฟยเอ่ยเน้นเป็พิเศษว่า “ลูกผู้น้อง โชคดีที่เ้าช่วยชีวิตโม่เสวียนเอาไว้ได้ทัน ข้ากับลูกผู้พี่ของเ้าต้องแสดงความขอบคุณต่อเ้าอย่างดีทีเดียว”
“ระหว่างญาติพี่น้องไม่จำเป็ต้องเอ่ยคำขอบคุณหรอกพ่ะย่ะค่ะ” หากจะเอ่ยคำขอบคุณ เจียงชิงอวิ๋นยังต้องขอบคุณจวนเยี่ยนอ๋องเสียมากกว่า เพราะหากไม่ได้จวนเยี่ยนอ๋องคอยคุ้มครองและสนับสนุน จะมีเขาในวันนี้ได้อย่างไร หวั่นเกรงแต่ว่าสักวันระหว่างทางที่เขาเดินทางมาเมืองเยี่ยน ก็อาจจะกลายเป็ศพที่ไม่เหลือแม้แต่กระดูกไปเสียก่อน
โจวจิ่งวั่งเห็นว่าเจียงชิงอวิ๋นมีสีหน้าอ่อนเพลียแล้ว จึงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอาน้อยเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน เมื่อรับอาหารเช้าแล้วก็รีบไปนอนพักเถิดขอรับ”
“ลูกผู้พี่ พี่สะใภ้ กระหม่อมจะไปนอนพักก่อน ตื่นแล้วจึงค่อยเยี่ยมท่านน้าพ่ะย่ะค่ะ” เจียงชิงอวิ๋นร่างกายอ่อนแอ อดนอนไม่ได้ ยามนั่งอยู่ท่ามกลางญาติที่ล้วนมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เขาจึงไม่ได้ฝืนตนเองและกลับไปพักผ่อนที่เรือนของตนทันที
ที่จวนเยี่ยนอ๋อง จัดเรือนหนึ่งหลังเอาไว้ให้เจียงชิงอวิ๋นพักโดยเฉพาะ เมื่อคืนเขาต้องเฝ้าโจวโม่เสวียนจึงไม่ได้กลับไปที่เรือน แต่พักค้างคืนอยู่ที่นี่
เจียงชิงอวิ๋นเพิ่งกลับไป ท่านหญิงโจวฉยงรุ่ยก็มาถึงอย่างรีบร้อน ดวงตาของนางบวมเป็ลูกท้อ แค่ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนต้องร้องไห้มาอย่างหนัก
โจวฉยงรุ่ยเป็ห่วงโจวโม่เสวียนจนร้องห่มร้องไห้ถึงกลางดึก ร้องจนไม่รู้ว่าหลับไปยามใด พอตื่นขึ้นมาก็เช้าแล้ว ยังไม่ทันรับอาหารเช้าก็รีบร้อนมาเยี่ยมโจวโม่เสวียนเสียก่อน
“น้องพี่ เ้าเป็เช่นใดบ้าง ยังปวดท้องอยู่หรือไม่”
โจวโม่เสวียนเห็นพี่สาวเป็เช่นนี้ก็ตื้นตันใจยิ่งนัก จึงตอบยิ้มๆ ไปว่า “ไม่ปวดแล้ว ข้าสบายดี เมื่อครู่ยังกินโจ๊กใส่เนื้อสองถ้วยกับแป้งย่างไส้ไข่[1] ไปอีกสามอันด้วย”
โจวจิ่งวั่งเห็นว่าน้องชายไม่ได้รู้อะไรเอาเสียเลย จึงกล่าวว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยที่ท่านอาน้อยหามาสั่งยาให้ พอเ้ากินยาเข้าไปแล้ว ก็ระบายหนอนหนึ่งรังออกมา ทำให้อาการดีขึ้น ไม่ปวดท้องอีกแล้ว”
โจวฉยงรุ่ยนึกว่าตนเองฟังผิดไป “อะไรนะ! หนอนรึ?”
โจวจิ่งวั่งกล่าวว่า “ข้ากับเสด็จพ่อเห็นมากับตา เป็หนอน หนอนตั้งมากมาย”
โจวฉยงรุ่ยไม่เหมือนกับคุณหนูทั่วๆ ไป นางชำนาญทั้งการขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ ซ้ำยังเป็วิชายุทธ์ จึงไม่กลัวหนอนมาั้แ่เล็ก แต่กลับรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ จึงถามว่า “หนอนพวกนั้นยังอยู่หรือไม่ ข้าอยากจะดูสักหน่อย”
โจวปิงกลัวว่าบุตรีจะกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน จึงโบกมือบอกว่า “น่าขยะแขยงนัก เ้าอย่าดูเลย”
โจวฉยงรุ่ยไม่กล้าขัดคำโจวปิง ได้แต่พึมพำว่า “ของเสียที่น้องสี่ถ่ายออกมาครั้งยังเป็เด็ก ก็มิใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นนี่เพคะ”
“ข้าอยากดู” โจวโม่เสวียนผายมือสองข้างออกพร้อมใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ “ในท้องข้าจะมีหนอนได้อย่างไรกัน”
โจวจิ่งวั่งมองหน้าโจวโม่เสวียน ก่อนจะยกมือขึ้นเป็ทีบอกให้เขาอยู่ห่างเท่าใดได้ยิ่งดี “เ้าเพิ่งจะทานอาหารเช้าเข้าไป อย่าดูเลย พี่กลัวว่าเ้าเห็นแล้วจะอาเจียนไม่หยุดเอาน่ะสิ”
โจวโม่เสวียน ได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งใคร่รู้ บอกจะดูให้จงได้
ไม่นานจากนั้น ก็ได้ยินเสียงโจวโม่เสวียนอาเจียนมาจากในเรือน เสียงดังชนิดฟ้าดินะเืทีเดียว
“น่าคลื่นไส้จะตายแล้ว ขยะแขยงเหลือเกิน พี่หญิง ท่านอย่ามาดูเชียว!”
“เขาถ่ายออกมาเอง มีสิ่งใดน่าขยะแขยงกัน” โจวปิงคิดในใจว่า แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่อาเจียน แล้วเขาจะมาอาเจียนอันใด
โจวฉยงรุ่ยทนความอยากรู้ในใจไม่ไหว เมื่อเดินออกไปเห็นโจวโม่เสวียนกำลังโค้งตัวอาเจียนจนตัวโยน จึงถามอย่างเป็ห่วงว่า “น้องพี่ เ้าคงไม่ได้อาการกำเริบอีกหรอกกระมัง?”
“ไม่ใช่ขอรับ เ้าสิ่งนั้นมันทำให้ข้าคลื่นไส้ต่างหาก” โจวโม่เสวียนแทบจะอาเจียนเอาลำไส้ออกมาอยู่แล้ว พอหันมาเห็นว่าทุกคนในครอบครัวล้วนมายืนอยู่ข้างหลัง โดยเฉพาะเยี่ยนหวังเฟยที่ตอนนี้ร้องไห้ออกมาอีกแล้ว จึงรีบบอกว่า “โอ้โห ในท้องข้ามีหนอนอยู่ตั้งมากมาย แต่ข้าก็ยังไม่ตาย ข้านี่ช่างมีบุญใหญ่ยิ่งเหลือเกิน”
โจวจิ่งวั่งกล่าวว่า “เ้าอย่าเพิ่งตรากตรำให้มาก รีบกลับไปนอนพักในห้องก่อนเถิด”
“ข้ามีพระบิดาที่เปี่ยมบารมีแสนปราดเปรื่อง พระมารดาแสนอ่อนโยนดีงาม พี่ใหญ่ที่ทั้งหล่อเหลาเก่งกาจ และพี่สาวที่งดงามดั่งมวลบุปผา คนวาสนาดีเช่นข้านี้ จะมีหนอนอยู่ในท้องได้อย่างไร แล้วจะไม่ให้ข้าสงสัยได้หรือ” พอเขาเริ่มเอ่ยปากก็มีแต่คำพูดที่แสนรื่นหูพรั่งพรูออกมามากมาย สรรเสริญคนในครอบครัวทั้งสี่ประหนึ่งเป็ผกาช่องาม
โจวฉยงรุ่ยไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี พลันชี้นิ้วไปทางโจวโม่เสวียนและโอดครวญกับเยี่ยนหวังเฟยว่า “เสด็จแม่เพคะ ท่านดูสิเพคะ น้องชายยังปากหวานอยู่ได้อีก”
โจวปิงกลั้นหัวเราะบอกกับเยี่ยนหวังเฟยว่า “ลูกเวรกรรมนี่ไม่เป็ไรแล้ว เ้าก็ไม่ต้องเป็ห่วงเขามากนักหรอก”
โจวโม่เสวียนใช้ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมเช็ดปาก คาง และมือจนสะอาด ใบหน้ายังซีดขาว แต่กลับมีรอยยิ้มสดใส “เอาเถิด วันหน้าข้าจะไม่อยากรู้อยากเห็นสิ่งใดอีกแล้ว”
เมื่อครู่เยี่ยนหวังเฟยที่ได้ยินคำว่า อ่อนโยนและดีงาม ทำให้คลายเศร้าโศกไปได้ จึงเข้าไปบิดหูโจวโม่เสวียนคราวหนึ่ง และเอ็ดไปว่า “เ้านี่ ไม่รู้จักระวังเสียจริงๆ ยามหมั้นหมายให้เ้าในวันหน้า จะแต่งภรรยาที่เก่งกาจมาคอยกำราบเ้า”
โจวโม่เสวียนดึงมือเยี่ยนหวังเฟยมาวางไว้แนบอก ออดอ้อนว่า “เสด็จแม่ ข้าจะไม่หมั้นหมาย จะไม่แต่งภรรยา จะอยู่กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ไปตลอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดเยี่ยนหวังเฟยก็ยิ้มออกมา แล้วกล่าวว่า “เชอะ... ข้าอยากอยู่กับเ้าไปตลอดชีวิตเสียเมื่อไร”
วานนี้ทุกคนในครอบครัวยังเป็ทุกข์สาหัส แต่วันนี้กลับยิ้มเริงร่าได้แล้ว โจวจิ่งวั่งหวังให้เป็เช่นนี้ทุกวัน
คนกินธัญพืชทั้งห้า[2] เกิดโรคนับร้อย การที่มีหนอนอยู่ในท้องของโจวโม่เสวียน นับเป็โรคชนิดหนึ่ง หาใช่เื่ที่น่าอับอายไม่ หนำซ้ำคนที่รู้เื่นี้ก็มีอยู่ไม่น้อย โจวปิงจึงไม่ได้มีคำสั่งให้ปิดเื่นี้ และยังส่งคนไปสอบถามที่ค่ายทหารด้วยว่า มีนายทหารเจ็บป่วยด้วยโรคนี้หรือไม่ จะได้ใช้ยานี้รักษาไปพร้อมกัน
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทั่วทั้งจวนอ๋องก็รู้เื่ที่เจียงชิงอวิ๋นพาหมอเทวดาท่านหนึ่งมากลางดึก ด้วยฝีมือล้ำเลิศประหนึ่งชุบชีวิตคนได้ จึงช่วยชีวิตโจวโม่เสวียนเอาไว้ได้
“ข้าเห็นว่าท่านชายะโโลดเต้นอยู่ในเรือนได้แล้ว ท่านอ๋อง พระชายา รัฐทายาท[3] และท่านหญิง ล้วนมีรอยยิ้มบนใบหน้า ท่านชายจะต้องหายจากอาการเจ็บป่วยแล้วเป็แน่”
“โรคของท่านชายมิใช่ได้แพทย์หลวงรักษาจนหายหรอกหรือ”
“ไม่ใช่ แต่เป็หมอเทวดาที่นายท่านน้อยพามารักษาจนหายต่างหาก”
“นายท่านน้อย? เหตุใดเป็นายท่านน้อยเล่า”
“นายท่านน้อยเป็อันใดหรือ”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] แป้งย่างไส้ไข่ คือ แผ่นแป้งที่มีวิธีนวดพิเศษ เมื่อทอดบนกระทะแล้วแป้งก็จะพองขึ้น ด้านในกลวง จากนั้นก็เจาะแป้งให้เป็รู กรอกไข่ไก่ที่ตีแล้วใส่เข้าไปข้างใน และย่างต่อจนไข่สุก
[2] ธัญพืชทั้งห้า คือ ข้าว ข้าวฟ่าง ถั่ว ข้าวโพด และพืชหัว
[3] รัฐทายาท (ซื่อจื่อ/世子) หมายถึง ตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ชินอ๋อง (อ๋องที่ได้ถวายงานรับใช้ฮ่องเต้) มักเป็บุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้