หลังชูเซี่ยปรนนิบัตินางล้างหน้าบ้วนปาก และสวมชุดแต่งงานสีแดงสดชุดนั้นที่จวนเฉินอ๋องส่งมา...
จือชิวได้ยกเครื่องประดับที่ส่งมาในวันเดียวกันมายังหน้าโต๊ะเครื่องแป้งและท่านอาเซิ่นผู้มีฝีมือประณีตที่สุดในจวนเป็ผู้หวีผมให้นาง
ทันใดนั้นได้ยินเสียงเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกเพื่อรอคำสั่งเอ่ยขึ้นว่า“นายท่าน”
ท่านพ่อมาแล้ว
“พ่อเข้าไปได้หรือไม่?”แม่ทัพหรงเอ่ย
“ท่านพ่อรีบเข้ามาเถิดเ้าค่ะ”หรงหว่านซีเอ่ยและลุกขึ้นไปรับบิดา
ครั้นแม่ทัพหรงเข้ามาเห็นบุตรสาวของตนสวมชุดแต่งงานสีแดงขอบตาพลันแดงก่ำ เขารีบข่มสติอารมณ์เอาไว้และประคองบุตรสาว
“ไม่มีอะไรพ่อแค่จะมาดูเ้า” แม่ทัพหรงแสร้งกล่าวออกมาอย่างสบายใจ
เมื่อเห็นบุตรสาวของตนยังไม่หวีผมแม่ทัพหรงจึงเอ่ย “พ่อแค่มาดูเ้าเพียงครู่ เ้าไปเตรียมตัวต่อเถิดอย่าได้ชักช้าเสียเวลา”
“เ้าค่ะ”หรงหว่านซีคำนับบิดาและขานรับ
นางนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งและมองดูหวีในมือท่านอาเซิ่นหวีั้แ่โคนจรดปลายผม...
“หวีครั้งที่หนึ่งขอให้ครองคู่ชั่วชีวิต...”
ขณะท่านอาเซิ่นเอ่ยหวีในมือได้หวนกลับไปอยู่บนโคนผมอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆหวีลงมาจนถึงปลายผม“หวีครั้งที่สองขอให้ครองคู่จนผมขาว...”
หวีในมือท่านอาเซิ่นกลับมาอยู่บนโคนผมอีกครั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงระคนสะอื้นเล็กน้อย “หวีครั้งที่สามขอให้มีลูกหลานเต็มเมือง...”
“หวีครั้งที่สี่ขอให้ความรักยืนยาวตลอดกาล...”
หรงหว่านซีมองบิดาที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้กลมข้างเตียงผ่านกระจกพบว่าบิดาลอบมองนางผ่านหางตา... น้ำตาตีตื้นโดยพลัน ขอบตาแดงก่ำเล็กน้อยทว่านางยังอดทนเอาไว้ นางกลั้นน้ำตาที่พานจะไหลออกมาให้ไหลกลับเข้าไปอีกครั้งเมื่อกล้ำกลืนน้ำตาจนสิ้น ใบหน้าจึงกลับมาราบเรียบดังเดิม
นางไม่อยากให้บิดาต้องเป็ห่วงนาง
ท่านอาเซิ่นหวีผมั้แ่โคนจรดปลายอย่างเชื่องช้าเมื่อหวีผมเสร็จจึงเริ่มเกล้ามวยผม
ฝีมือท่านอาเซิ่นประณีตเป็อย่างมากมวยผมทรงดอกบัวนี้งามยิ่งนัก นอกจากนั้นยังเหมาะกับเครื่องประดับทำจากทองคำบริสุทธิ์และหินโมราสีแดงที่ถูกส่งมาจากจวนเฉินอ๋องยิ่งนัก
เมื่อท่านอาเซิ่นหวีผมเสร็จเงาสะท้อนในกระจกได้กลายเป็เ้าสาวที่พร้อมออกเรือนเสียแล้ว
“คุณหนูให้หนูปี้แต่งหน้าให้คุณหนูดีหรือไม่เ้าคะ” ท่านอาเซิ่นเอ่ย
หรงหว่านซีพยักหน้า
ท่านอาเซิ่นรู้ดีว่าคุณหนูของตนไม่ชอบแต่งหน้าด้วยสีสันฉูดฉาดเพราะเหตุนี้นางจึงแต่งหน้าด้วยสีอ่อนให้คุณหนูเพื่อไม่ให้ความงามดุจดอกบัวงามของคุณหนูหายไป แต่ไม่ว่าอย่างไรก็กำลังจะออกเรือนหากแต่งหนาบางเบาจนเกินไปก็จะดูไม่โอ่อ่าเท่าใดนักเมื่อเป็เช่นนี้จึงใช้ผงชาดผสมน้ำจากนั้นหาก้านไม้สำหรับเขียนคิ้วที่ยังไม่ใช้จากในกล่องเครื่องแป้งหลังจุ่มลงบนชาดจึงวาดรูปดอกเหมยสีแดงหนึ่งดอกบริเวณหว่างคิ้วคุณหนู
“ท่านอาเซิ่นอย่างฝีมือประณีตยิ่งนัก”ชูเซี่ยโน้มกายเข้ามาดูเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ดอกเหมยนี้เบ่งบานอยู่ใต้หน้าผากตรงกึ่งกลางระหว่างคิ้วสีดำของคุณหนูช่างสวยงามราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้นเ้าค่ะ”
หรงหว่านซีมองดูการแต่งหน้าเช่นนี้แล้วรู้สึกพอใจเช่นกัน
หลังมองดูครู่หนึ่งจึงเอ่ย“ท่านอาเซิ่นวาดได้ดียิ่งนัก...”
“เป็เพราะคุณหนูเกิดมาหน้าตางดงามต่างหากเ้าค่ะ”ท่านอาเซิ่นมองคนงามในกระจกอย่างไม่อาจละสายตา“การได้แต่งงานกับคุณหนูที่งดงามเหนือผู้คนทั่วหล้าเช่นนี้ถือเป็บุญวาสนาของเฉินอ๋องจริงๆ เ้าค่ะ...”
รอยยิ้มของหรงหว่านซีแฝงความขมขื่นเล็กน้อย...
ทั้งมวยผมการแต่งหน้า และชุดแต่งงานล้วนดีงามยิ่งนัก ทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบ...แต่เหตุใดภายในใจของนางถึงไม่รู้สึกยินดีแต่ที่แปลกประหลาดคือนางกลับไม่รู้สึกเสียใจเช่นกัน
หรงชิงค่อยหยัดกายลุกขึ้นแล้วเอ่ย“ลูกกินข้าวสักหน่อยเถิด บ่ายวันนี้ยังต้องเหน็ดเหนื่อยอีก พ่อจะกลับไปที่เรือนด้านหน้าเสียก่อนคาดว่าแเื่คงมาถึงแล้ว”
หรงหว่านซีลุกขึ้นไปส่งบิดาทว่าหรงชิงในยามนี้ไม่กล้ามองบุตรสาวของตนเสียแล้ว
วันนี้บุตรสาวของเขาจะต้องออกเรือนแล้ว...
หลังบิดาออกไปได้ไม่นานได้ยินข้ารับใช้เข้ามาเรียนว่าไทเฮา ฝ่าา ฮองเฮารวมถึงกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงต่างส่งคนนำสิ่งของมาแสดงความยินดีจำนวนหนึ่ง
ทว่าหรงหว่านซีคือเ้าสาวจึงไม่จำเป็ต้องออกไปแสดงความขอบคุณแต่อย่างใด
หรงหว่านซีกินข้าวต้มและผักดองเข้าไปเล็กน้อยนางเช็ดปากและเม้มแผ่นชาดอีกครั้ง จากนั้นนั่งรออยู่บนเตียง
ขุนนางสื่อราชสำนักแซ่หงเดินทางมาถึงและรีบสวมผ้าปิดหน้าให้นางหลังกำชับหลักปฏิบัติที่อีกครู่จะต้องระวังก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก
ไม่นานนักได้ยินเสียงคนป่าวประกาศหน้าประตูว่า“ถึงฤกษ์งามยามดี— เฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยเสด็จมารับตัวเ้าสาว—”
ชั่วพริบตาภายในจวนแม่ทัพพลันบรรเลงเสียงเพลงแห่งความปีติยินดีเพราะเสียงนี้ดังขึ้นอย่างกะทันหันจึงค่อนข้างบาดหูหรงหว่านซีขมวดคิ้วเป็ปมเพราะรู้สึกไม่ดีนัก
แม่สื่อแซ่หงประคองนางเพราะเสียงดนตรีแห่งความปีติยินดีนี้ ฝีเท้าของหรงหว่านซีจึงหนักอึ้งยิ่งนัก...
“สามีคือหินใหญ่ภรรยาคือต้นอ้อ ต้นอ้อมั่นคงเหนียวแน่นดังเส้นไหม หินใหญ่ไม่มีวันโยกย้าย...พี่หลิง ข้าชอบกลอนบทนี้...”
ในความคิดของหรงหว่านซีพลันปรากฏประโยคที่นางเคยกล่าวในยามนั้นนางถือหนังสือที่ชื่อว่า “เพลงชาวบ้าน” และชี้ไปยังประโยคนั้นขณะอ่านให้เขาฟังนางใบหน้าแดงก่ำและเห่อร้อนยิ่งนัก ครั้นนางลืมตาขึ้นเบื้องหน้ากลับเต็มไปด้วยสีแดงสด
นั่นคือสิ่งที่นางอยากจะบอกกับเขานั่นคือสิ่งที่นางตอบกลับความรักมากล้นของเขา นางรู้ว่าเขาเข้าใจสิ่งที่นางเอ่ย
“สามีคือหินใหญ่ภรรยาคือต้นอ้อ ต้นอ้อมั่นคงเหนียวแน่นดังเส้นไหม หินใหญ่ไม่มีวันโยกย้าย...”
หรงหว่านซีชะงักฝีเท้า
ยามนี้ในหัวของนางปรากฏเป็ภาพใบหน้าของเขา
เขากำลังขี่ม้าและหันหลังกลับมายิ้มในนางรอยยิ้มนั้นช่างเปล่งประกายและอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์...
เขาบอกว่า“ซีเอ๋อร์ รอเ้าฉลองวันเกิดครบรอบสิบเจ็ดปีเสียก่อน ข้าจะไปที่จวนเพื่อสู่ขอเ้ากับท่านอาจารย์ดีหรือไม่?”
นางขวยเขินและไม่เอ่ยตอบ
เขารีบเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ“ซีเอ๋อร์ เ้าไม่อยากแต่งกับข้าหรือ? ข้ามีอะไรที่ยังไม่ดีพออย่างนั้นหรือ?”
เขาให้คำมั่น“ซีเอ๋อร์ ข้าสัญญาว่าชั่วชีวิตนี้จะดีต่อเ้าเพียงผู้เดียว จะไม่มองหญิงอื่นพวกเราจะครองคู่กันชั่วชีวิตไม่เหนื่อยหน่ายจนผมขาว เ้าว่าดีหรือไม่?”
นางวิ่งหนีไปไกลและเอ่ยทิ้งท้ายกับเขาเพียงสองประโยค“ท่านจะมาก็มาเพราะไม่มีผู้ใดห้ามท่านสักหน่อย!ถึงอย่างไรท่านพ่อข้าก็พอใจท่านไม่น้อย!”
เขาตามมาและวิ่งวนรอบกายนางเอ่ยด้วยความดีใจจนนึกอยากเอาตะกร้อครอบปาก “ดียิ่งนัก! ซีเอ๋อร์รับปากข้าแล้วซีเอ๋อร์จะมาเป็พระชายาของข้า... ข้าดีใจยิ่งนัก... ข้าดีใจมากจริงๆ ...”
และเดือนหน้าวันที่สิบก็คือวันเกิดครบรอบอายุสิบเจ็ดของนาง
แม่สื่อแซ่หงเอ่ยเร่งนางเสียงเบา“คุณหนู?”
หรงหว่านซีปิดเปลือกตาลงและสูดหายใจเข้า...ครั้นลืมตาขึ้นจึงย่างฝีเท้าอย่างเด็ดเดี่ยว
เมื่อก้าวผ่านธรณีประตูฝีเท้าของนางยิ่งเด็ดเดี่ยวมากขึ้น
บนโลกใบนี้ไม่มีหนทางให้ย้อนกลับ
จากสถานการณ์เมื่อครึ่งเดือนก่อนนางไม่มีทางเลือกอื่น
นางทำผิดต่อเขาจริงแต่หากเป็เื่ของหัวใจ นางไม่รู้สึกผิดต่อเขา
หรงหว่านซีเดินมาถึงเรือนหลักโดยมีแม่ซื่อแซ่หงเป็ผู้ประคองจากนั้นเดินจากเรือนหลักมายังหน้าประตู
ประตูใหญ่สีแดงถูกเปิดออก...
“คุณหนูออกเรือนแล้ว”แม่สื่อแซ่หงร้องประกาศเสียงดัง
แม่ทัพหรงเดินตามมาส่งบุตรสาวถึงหน้าประตูด้วยแข้งขาอ่อนล้าครั้นผู้อื่นพบเห็นเข้า ในวันมงคลเช่นนี้ แม่ทัพหรงกลับดูชรากว่าเดิมเป็สิบปีผลคือคำกล่าวที่ว่า “บุตรสาวออกเรือนเสมือนถูกตัดเนื้อ”ช่างเหมาะสมยิ่งนักเมื่อนำมาใช้กับแม่ทัพหรงผู้รักบุตรสาวดังชีวิตผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันถอดถอนหายใจ
หรงหว่านซีรับรู้ถึงฝีเท้าของบิดาและรู้ว่าบิดาหยุดฝีเท้าอยู่หลังธรณีประตู
ครั้นก้าวเท้ามาอยู่หน้าบันไดขั้นแรกหรงหว่านซีจึงชะงักฝีเท้าและค่อยๆ หลังกลับ
นางหันไปทางประตูที่บิดายืนอยู่และคุกเข่า..คำนับแนบศีรษะลงกับพื้นสามหน...
ไร้คำกล่าวใดทว่าน้ำตากลับเอ่อคลอ เพราะมีผ้าคลุมหน้าครั้งนี้หรงหว่านซีจึงไม่อดกลั้นเอาไว้และปล่อยให้หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมา
เฉินอ๋องสวมชุดมงคลสีแดงและนั่งอยู่บนหลังม้างามสีขาวที่กำลังยืนอยู่หน้ารูปปั้นหินรูปสิงโตเขามองสตรีบอบบางนางนี้โขกศีรษะคำนับแนบลงกับพื้นไม่ยอมลุก...แววตาของเขาวูบไหวต่างจากยามปกติชั่วครู่
การออกเรือนของสตรีชั่วชีวิตมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เฉินอ๋องมองเ้าสาวชุดแดงเดินลงบันไดจวนแม่ทัพนางหันมาทำความเคารพเขาอย่างรู้หลักปฏิบัติจากนั้นขึ้นเกี้ยวเ้าสาวโดยมีแม่สื่อแซ่หงเป็ผู้ประคอง
สตรีนางนี้สุขุมหนักแน่นั้แ่ต้นจนจบท่าทีเช่นนี้ช่างงามสง่าอย่างไม่เหมือนผู้ใด
“ท่านอ๋องรับพระชายากลับจวน...ยกเกี้ยว....” ขันทีฝ่ายในที่ไทเฮาทรงส่งมาเป็พิธีกรร้องประกาศ
เสียงเครื่องดนตรีบรรเลงขึ้นอีกครั้งอย่างครึกครื้นตรอกบนถนนสายยาวกว่าสิบตรอกต่างตกอยู่ภายใต้บรรยากาศครื้นเครงของเสียงบรรเลงนี้
ประชาชนทั่วไปต่างออกมาดูตามข้างทางด้านหลังเกี้ยวเ้าสาวคือเหล่าขุนนางใหญ่ที่แสดงความยินดีในจวนแม่ทัพเสร็จเรียบร้อยและกำลังตามไปแสดงความยินดีที่จวนเฉินอ๋อง
ด้านหน้าเกี้ยวเ้าสาวคือทหารกองเกียรติยศเฉินอ๋องนั่งอยู่บนหลังม้าหน้ากองทหารเกียรติยศ ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีแดงบริเวณหน้าอกมีดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ของเ้าบ่าวห้อยเอาไว้ทว่ายังคงไม่อาจบดบังความสง่างามของเขา สีแดงสดเช่นนี้โดยปกติบุรุษทั่วไปสวมใส่แล้วไม่น่ามองนัก แต่เมื่ออยู่บนร่างสูงสง่าของเขาชุดสีแดงที่ไม่เหมาะกับบุรุษเช่นนี้กลับแลดูงามสง่าอย่างน่าประหลาดใจทำให้ผู้คนรู้สึกั้แ่คราแรกที่ได้เห็นว่าเดิมทีสีแดงสดเช่นนี้สามารถสื่อถึงแข็งแกร่งของบุรุษเช่นกัน
ท่ามกลางผู้คนมีสตรีสวมอาภรณ์สีม่วงดึงทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือตน
สายตาของนางมองตามร่างของเขาแม้จะมองอย่างลุ่มหลงเมามาย ทว่าภายในใจกลับเ็ป...
“คุณหนู”หญิงรับใช้สวมอาภรณ์สีเขียวด้านข้างเอ่ย “พวกเรารีบกลับกับเถิดเ้าค่ะบนถนนมีผู้คนมากมาย ชาวบ้านทั่วไปเหล่านี้จะชนคุณหนูเอาได้นะเ้าคะ”
ฉินอิ่งเซวียนตำหนินาง“ปากมาก”
เพราะเหตุใดเพราะเหตุใดผู้ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวถึงไม่ใช่นาง...
การคัดเลือกนางในเมื่อสามปีก่อนเดิมทีนางมีโอกาสได้เข้าไปรับใช้ในจวนเฉินอ๋องแต่นางกลับล้มป่วยจนพลาดการคัดเลือกนางใน ทำให้ต้องล่าช้ามาถึงสามปีอีกสามเดือนพระราชวังจะมีการคัดเลือกนางในอีกครั้งทว่ายามนี้เฉินอ๋องมีพระชายาไปแล้ว ฝ่าากับไทเฮาอาจไม่พระราชทานนางในให้เขาอีก
นางรู้สึกเสียดายยิ่งนักหากไม่ใช่เพราะต้องรักษาเกียรติและไม่อยากให้บิดารู้ว่าตนมีความคิดเช่นนี้ผู้ที่นั่งอยู่ในเกี้ยววันนี้อาจเป็นางก็ได้...
เสียงดนตรีบรรเลงอย่างครื้นเครงหรงหว่านซีนั่งเงียบอยู่ภายในเกี้ยว เกี้ยวเ้าสาวสั่นโคลงเคลงเสียงดนตรีบรรเลงอย่างสนุกสนาน ทว่าภายในใจของนางกลับเงียบสงบยิ่งนัก
อีกครู่คงมีพิธีเล็กน้อยให้นางทำนางแค่ทำตามผู้ชักนำก็พอ ไม่มีอะไรสำคัญนัก
ทันใดนั้นได้ยินเสียงของความผิดปกติตามด้วยเสียงร้องอุทานด้วยความใผสมปนเปกันไป เสียงดนตรีบรรเลงต่อไม่เท่าใดก็หยุดลง