หวาชิงเสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง แม้จะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่นางก็รู้ว่าบุรุษผู้นี้มีตำแหน่งทางการทหาร จึงรีบตอบว่า “ข้ามีเื่อยากจะพูดกับเขาเ้าค่ะ...”
จื่อฮุยเชียนซื่อคิดจะทำตัวดีต่อหวาชิงเสวี่ยเพื่อเอาใจ จึงยิ้มแย้มแจ่มใสเอ่ยว่า “ข้างนอกหนาวมาก แม่นางหวาเข้าไปรอข้างในเถิด รอท่านแม่ทัพฟู่หารือเื่ต่างๆ เสร็จก็จะได้พบเขาแล้ว”
หวาชิงเสวี่ยมองไปยังทหารยามทั้งสองด้าน เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ขัดขวาง จึงรวบรวมความกล้าเดินตามจื่อฮุยเชียนซื่อเข้าไปในกระโจม
กระโจมผู้บัญชาการของฟู่ถิงเย่มีขนาดใหญ่มาก เป็สถานที่สำหรับปรึกษาหารือและจัดการเื่ทหาร เมื่อเข้าไปข้างในจะเป็พื้นที่ว่างเล็กๆ ถัดไปจะเป็ม่านประตูสีน้ำตาลที่หนาและหนักกั้นเอาไว้ เพื่อป้องกันอากาศหนาวเย็นจากภายนอก
จื่อฮุยเชียนซื่อทิ้งหวาชิงเสวี่ยไว้ที่นี่ แล้วก็เปิดม่านประตูเข้าไปด้านใน
หวาชิงเสวี่ยเข้าใจในทันที สถานที่แห่งนี้น่าจะถูกจัดไว้สำหรับทหารที่รอเข้าพบ
ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว นางจึงยืนทำใจให้สงบอย่างเรียบร้อยข้างม่านประตู รอให้ฟู่ถิงเย่เสร็จธุระ
ดูเหมือนว่าภายในกระโจมกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด อาจเป็เพราะนิสัยธรรมชาติของทหาร แต่ละคนดุดันตรงไปตรงมา เสียงดังราวกับฟ้าร้อง เมื่อพวกเขาพูดคุยในเวลาเดียวกันจึงโหวกเหวกวุ่นวายเหมือนน้ำมันเดือดปุดๆ ในกระทะ
พอนึกเปรียบเทียบดู หวาชิงเสวี่ยก็พบว่าเวลาฟู่ถิงเย่ตะคอกใส่นางนั้นถือว่าอ่อนโยนมากแล้ว...
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินพวกเขาพูดถึงองค์รัชทายาท หวาชิงเสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟังเป็พิเศษ
“ส่งองค์รัชทายาทกลับเมืองหลวงเป็เื่เล็ก แต่จะส่งอย่างไรต่างหากที่เป็เื่ใหญ่! ฝ่าาตในเวลานี้ การเคลื่อนไหวของหนิงอ๋องเห็นได้ชัดว่า้าแย่งชิงราชบัลลังก์! หากองค์รัชทายาทกลับเข้าเมืองหลวง ผลที่ตามมาอาจเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิด!”
สีหน้าของหวาชิงเสวี่ยซีดเผือดลงทันที!
...ฮ่องเต้ตแล้ว?! แล้ว...แล้วหลี่จิ่งหนานจะทำอย่างไร?
ขณะที่นางกำลังตื่นตระหนก ก็ได้ยินอีกคนหนึ่งพูดว่า “จะเรียกว่าแย่งชิงราชบัลลังก์ได้อย่างไร หนิงอ๋องกับฝ่าาเป็พี่น้องร่วมสายโลหิต ฝ่าาต องค์รัชทายาทก็หายสาบสูญไป แว่นแคว้นจะขาดผู้ปกครองไม่ได้แม้แต่วันเดียว การที่หนิงอ๋องขึ้นครองราชย์นั้นสมเหตุสมผลแล้ว...”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร?! อยากให้ท่านแม่ทัพกลายเป็ขุนนางฏอย่างนั้นหรือ?!”
“แพ้เป็ฏ ชนะเป็เ้าผู้ครองแผ่นดิน คำว่าฏล้วนมาจากปากของผู้ชนะทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของแคว้นต้าฉีตอนนี้เป็เช่นไร? ...ขอให้ทุกท่านลองถามใจตัวเองดู การให้องค์รัชทายาทวัยแปดขวบขึ้นครองราชย์ ดีกว่าหนิงอ๋องจริงๆ หรือ?”
ภายในกระโจมที่เดิมทีกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด พลันเงียบเสียงลงเพราะคำพูดนี้...
ภายในใจของหวาชิงเสวี่ย ยิ่งร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม
หากปล่อยให้หนิงอ๋องขึ้นครองราชย์จริงๆ สถานการณ์ของหลี่จิ่งหนานจะยิ่งอันตรายมาก! ไม่ว่าใครได้เป็ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ย่อมไม่ยอมปล่อยให้อดีตองค์รัชทายาทอยู่เกะกะสายตา เพราะนั่นจะเป็การเตือนใจตัวเองว่าราชบัลลังก์นี้ไม่ได้มาโดยชอบธรรม...
หวาชิงเสวี่ยมือเท้าเย็นเฉียบ กลั้นหายใจฟังเสียงภายในกระโจมบัญชาการ กลัวว่าเสียงต่อไปจะเป็เสียงที่เห็นด้วยกับการให้หนิงอ๋องขึ้นครองราชย์
ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงหนึ่งที่ค่อนข้างทุ้มต่ำดังขึ้น “พวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงเื่ไกลตัว พูดถึงเื่ตรงหน้าก่อน ไม่ว่าจะสนับสนุนองค์รัชทายาทหรือหนิงอ๋องขึ้นสู่บัลลังก์ แม่ทัพใหญ่ของเราล้วนมีคุณูปการทั้งสิ้น ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนให้ผลประโยชน์มากกว่ากัน”
“แน่นอนว่าต้องเป็หนิงอ๋อง!” ทันใดนั้นก็มีคนพูดขึ้น “องค์รัชทายาทยังอายุเพียงแปดขวบ จะรู้จักใช้คนได้อย่างไร? เมื่อองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ เื้ัก็คือไทเฮา เมื่อถึงเวลานั้นคงหนีไม่พ้นการที่ญาติฝ่ายมารดาจะกุมอำนาจ เลื่อนตำแหน่งญาติของตนขึ้นมารั้งตำแหน่งใหญ่ จะมีที่ว่างสำหรับแม่ทัพใหญ่ของเราได้อย่างไร?!”
มีคนแย้งว่า “เ้าคิดว่าหนิงอ๋องเป็คนดีนักหรือ? หากจะสวามิภักดิ์ต่อหนิงอ๋อง องค์รัชทายาทก็ต้องตายอย่างแน่นอน เมื่อหนิงอ๋องขึ้นครองราชย์แล้ว อาจจะกลับคำใส่ร้ายเราได้ทุกเมื่อ เพียงแค่บอกว่าองค์รัชทายาทตายด้วยน้ำมือของแม่ทัพใหญ่ พวกเราไม่เพียงแต่จะต้องโทษตาย ยังต้องถูกตราหน้าว่าเป็คนทรยศไปชั่วลูกชั่วหลาน!”
หากพูดเช่นนี้ หลี่จิ่งหนานที่อยู่ในค่ายชิงโจวเวลานี้ เหมือนกลายเป็เผือกร้อนในมือคนอื่นไปเสียแล้ว...
แต่ที่แปลกก็คือ...นางไม่ได้ยินเสียงของฟู่ถิงเย่เลย
หวาชิงเสวี่ยคิดด้วยความกังวลใจ เ้าเคราเฟิ้มนั่น...จะคิดอย่างไรกันนะ?
ฉินเหลาอู่สบถออกมาอย่างหงุดหงิด “ให้ตายเถอะ พวกเราอยู่ที่นี่สู้รบกับทหารเหลียวจนตัวตาย บรรดาเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงก็ยังคงต่อสู้กันอย่างเอาเป็เอาตาย หากปกป้ององค์รัชทายาทก็ต้องเป็ศัตรูกับหนิงอ๋อง หากสนับสนุนหนิงอ๋องก็ต้องระวังว่าเขาจะหักหลัง! ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น ไม่สู้ให้พวกเรานั่งในตำแหน่งนั้นเองเสียเลย!”
คำพูดนี้เหมือนตั้งตัวเป็ฏ เห็นได้ชัดว่ากำลังยุยงให้ฟู่ถิงเย่ก่อฏแย่งชิงอำนาจ!
ทันใดนั้นก็มีคนตวาดว่า “เหลาอู่! ท่านแม่ทัพตัดสินใจเองได้!”
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว หวาชิงเสวี่ยก็ได้ยินเสียงของฟู่ถิงเย่เอ่ยว่า “เื่นี้ค่อยปรึกษาหารือกันในตอนเย็น ขอให้ทุกคนเก็บเื่การตของฝ่าาไว้เป็ความลับ หากข่าวนี้แพร่ออกไป ชาวเหลียวจะต้องลงมือแน่”
ทุกคนรับคำ จากนั้นก็มีคนเดินเข้าไปพูดอะไรบางอย่างกับท่านแม่ทัพ ฟู่ถิงเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วตวาดว่า “ไร้สาระ! ที่นี่เป็เขตทหาร ปล่อยให้สตรีเข้ามาได้อย่างไร?!”
สีหน้าของหวาชิงเสวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถูกเกลียดขี้หน้าเข้าแล้วจริงด้วย...
ในอีกขณะหนึ่งก็ได้ยินเสียงแหบห้าวของฟู่ถิงเย่ดังขึ้น “ให้นางเข้ามา!”
หวาชิงเสวี่ย “...”
ตอนนี้แอบหนีไปจะทันไหมนะ?
ม่านที่ประตูถูกแหวกขึ้น หวาชิงเสวี่ยกัดฟัน เดินเข้าไปโดยไม่กล้าเงยหน้า
นางรู้สึกได้ว่ามีสายตานับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่นาง...ช่างน่าอายจริงๆ!
ฟู่ถิงเย่เอ่ย “พวกเ้าออกไปให้หมด”
มีคนเดินผ่านนางไปทีละคน หวาชิงเสวี่ยยังคงก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว นางก็ได้ยินเสียงฟู่ถิงเย่ถามว่า “มาหาข้าด้วยเื่อะไร?”
น้ำเสียงนั้นฟังไม่ออกว่ามีอารมณ์อย่างไร
เดิมทีหวาชิงเสวี่ยอยากจะให้ฟู่ถิงเย่จัดคนส่งนางออกจากค่ายทหาร แต่เมื่อครู่นางได้ยินเื่ราวทั้งหมดขณะยืนรออยู่ด้านนอก ตอนนี้ในหัวจึงมีแต่เื่ของหลี่จิ่งหนานเต็มไปหมด!
นางลังเลอยู่พักหนึ่ง ท่านแม่ทัพก็เริ่มหงุดหงิด เดินเข้ามาถามว่า “มีเื่อะไรกันแน่?”
หวาชิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีดำอันคมกริบของฟู่ถิงเย่ ก็รีบก้มหน้าลงอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว “ข้า...ข้าอยาก อยากจะรบกวนท่านแม่ทัพส่งข้าออกจากค่าย...”
“ออกจากค่าย?” ฟู่ถิงเย่ชะงักกึก ถามว่า “เ้าจะไปที่ไหน?”
หวาชิงเสวี่ยหยิบ ‘บัตรประจำตัว’ ที่หลี่จิ่งหนานทำไว้ขึ้นมา แสดงให้ฟู่ถิงเย่ดู พูดด้วยเสียงแ่เบาว่า “องค์รัชทายาทตรัสว่า ใช้สิ่งนี้แล้วจะสามารถตั้งถิ่นฐานในแคว้นต้าฉีได้ ข้า...ข้าอยากจะไปดูที่เมืองผานสุ่ย แล้วหาที่พักแรมตั้งรกรากที่นั่น”
ฟู่ถิงเย่เท้าคางครุ่นคิด เมืองผานสุ่ย...อืม อยู่ไม่ไกลนัก จวนของเขาก็ตั้งอยู่ในเมืองผานสุ่ย พอดีให้สตรีนางนี้ย้ายไปอยู่ที่นั่น รอให้กำหนดฐานะชัดเจนแล้ว ค่อยจัดงานแต่งงานก็สะดวกดี
“เดี๋ยวข้าจะจัดรถม้าให้เ้ากลับเข้าเมือง” ฟู่ถิงเย่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว น้ำเสียงเองก็ผ่อนคลายลง “ที่จวนของข้าไม่มีคน ถ้ามีเื่อะไรเ้าสามารถไปหาจ้าวเซิงผู้เป็พ่อบ้านได้โดยตรง”
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกขอบคุณสุดซึ้ง เดิมทีไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คน ในใจก็อดกังวลไม่ได้ แต่หากสามารถติดต่อกับคนในจวนแม่ทัพได้ ไม่ว่าเื่ใดก็จะมีที่พึ่ง! อะไรๆ ก็คงจะง่ายขึ้นมาก!
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพเ้าค่ะ!” หวาชิงเสวี่ยรีบขอบคุณ โอกาสดีๆ เช่นนี้นางจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด “ต่อไปนี้คงต้องรบกวนพ่อบ้านจ้าวเซิงบ่อยๆ แล้ว”
ฟู่ถิงเย่พยักหน้าเล็กน้อย พอใจอย่างยิ่งกับการตอบสนองของหวาชิงเสวี่ย
หวาชิงเสวี่ยเห็นว่าฟู่ถิงเย่เหมือนจะอารมณ์ดี นางนึกถึงเื่ของหลี่จิ่งหนานขึ้นมา จึงรวบรวมความกล้าถามลองเชิงว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าไปเมืองผานสุ่ย...สามารถพาองค์รัชทายาทไปด้วยได้หรือไม่เ้าคะ?”
สีหน้าของฟู่ถิงเย่มืดครึ้มลงในทันที เขาจ้องมองนางด้วยสายตาจับผิด
หวาชิงเสวี่ยอดรู้สึกประหม่าไม่ได้ พอประหม่าแล้วก็พูดตะกุกตะกัก “ข้าคิดว่า...การเปลี่ยนชื่อและแซ่ คงจะไม่...ไม่ใช่เื่ยาก เดิมทีตอนที่อยู่ในเมืองเหรินชิว ข้ากับองค์รัชทายาทก็แสร้งเป็พี่น้องกัน พอไปเมืองผานสุ่ยแล้ว ก็ยังสามารถอยู่ด้วยกันได้...”
ฟู่ถิงเย่มองนางเงียบๆ อยู่นาน แล้วถามว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?”
หวาชิงเสวี่ยก้มหน้าลง ตอบเสียงอ้ำอึ้ง “ท่านแม่ทัพ องค์รัชทายาท...อายุเพียงแปดขวบ ขอท่านแม่ทัพเมตตาด้วยเ้าค่ะ...”
หวาชิงเสวี่ยไม่ใช่คนโง่ แคว้นต้าฉีสถานการณ์กำลังระส่ำระสาย หากผู้ที่ขึ้นครองราชย์ตอนนี้เป็เด็กอายุแปดขวบ ทั้งราษฎรหรือทหารที่อยู่ชายแดน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนหมดกำลังใจ เพราะทุกคนรู้เื่นี้ดี ถึงได้มีการโต้เถียงกันในกระโจมบัญชาการ
กล่าวโดยสรุปก็คือ ในบรรดาคนเหล่านี้ไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวหลี่จิ่งหนานเลย
ั้แ่โบราณมา ฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์ไม่ใช่เื่ดี หากไม่เป็เหตุทำให้ข้าศึกฉวยโอกาสรุกราน ก็เป็เหตุทำให้ราชสำนักตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระญาติฝ่ายไทเฮาหรือฮองเฮา
ตอนที่หารือกันเมื่อครู่ ฟู่ถิงเย่ไม่ได้ห้ามปรามการโต้เถียงของพวกเขา แสดงให้เห็นชัดเจนว่าในใจของเขายังลังเลอยู่เช่นกัน...
เขาช่วยเหลือองค์รัชทายาท ด้วยเหตุผลว่าฮ่องเต้ประชวรหนัก แว่นแคว้นจะขาดผู้ปกครองไม่ได้แม้แต่วันเดียว องค์รัชทายาทจึงต้องได้รับการช่วยเหลือออกมา แต่ตอนนี้...ฮ่องเต้ตแล้ว ราชบัลลังก์มีโอกาสตกเป็ของหนิงอ๋อง ดังนั้น ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป...
ฟู่ถิงเย่จ้องมองนางอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยว่า “เื่นี้ข้าจะตัดสินใจเอง เ้าออกไปได้แล้ว”
ใจของหวาชิงเสวี่ยเต้นระรัว นางก้มหน้าลง เดินออกไปด้วยท่าทางที่ค่อนข้างเกร็ง
นางยืนอยู่นอกกระโจมบัญชาการ ผ่อนลมหายใจอยู่นานจึงได้สติกลับมา พอนึกย้อนกลับไปก็รู้สึกเหลือเชื่อ นางกล้าพูดกับท่านแม่ทัพเช่นนั้นได้อย่างไร? พูดออกไปได้อย่างไร?
พาองค์รัชทายาทหนีไปโดยการเปลี่ยนชื่อและซ่อนตัวตนอะไรแบบนั้น...
บางทีอาจเป็เพราะนางขาดความเคารพยำเกรงที่ควรมีในยุคนี้ จึงมีคำพูดและการกระทำที่เกินขอบเขตเช่นนั้นใช่หรือไม่? โชคดีที่เขาไม่ได้โกรธ...
หวาชิงเสวี่ยกลับไปที่กระโจมของหลี่จิ่งหนาน องค์รัชทายาทน้อยกำลังเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นนางเข้ามาก็รีบบ่นว่า “เหตุใดเ้าไปนานนัก! ข้าเกือบจะออกไปตามเ้าแล้ว!”
หวาชิงเสวี่ยฝืนยิ้มออกมา “ท่านแม่ทัพฟู่กำลังประชุม ข้าต้องรออยู่ครู่หนึ่งถึงได้พบเขา”
“อ้อ! แล้วเขาพูดว่าอย่างไร?” หลี่จิ่งหนานถาม “เขาตกลงจะส่งเ้าไปเมืองผานสุ่ยหรือไม่?”
หวาชิงเสวี่ยยิ้มและพยักหน้า “อืม! ท่านแม่ทัพฟู่ใจดีมาก ยังบอกว่าจะให้พ่อบ้านของเขาดูแลข้าอีกด้วย”
หลี่จิ่งหนานโล่งใจ “เช่นนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นเ้าเป็สตรีตัวคนเดียวอยากจะตั้งหลักได้ มันก็ยากอยู่”
หวาชิงเสวี่ยไม่เห็นด้วย จึงแย้งเขาในทันที “เป็สตรีแล้วอย่างไร? ตอนที่อยู่ในเมืองเหรินชิว ข้าก็ไม่ใช่สตรีตัวคนเดียวหรือ? แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูแลเ้าได้สบายมาก!”
หลี่จิ่งหนานมองมาด้วยสีหน้าดูถูก “นั่นเป็เพราะเปิ่นเตี้ยนเซี่ยมีบุญญาธิการมาก บุญบารมีส่องถึงเ้า! ไม่อย่างนั้นแค่สตรีอย่างเ้า...หึ ร้องไห้จนตาบวมไปคนเดียวเถอะ!”
หวาชิงเสวี่ยยังอยากจะพูดต่ออีก แต่ในตอนนั้นมีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามา คารวะแล้วกล่าวว่า “แม่นางหวา รถม้าเตรียมพร้อมแล้วขอรับ”
องค์รัชทายาทชะงักไปครู่หนึ่ง พึมพำว่า “เร็วขนาดนี้เชียว...”
ฟู่ถิงเย่เพียงสั่งลงไปประโยคเดียวรถม้าก็ถูกเตรียมเสร็จอย่างรวดเร็ว
หลี่จิ่งหนานมองไปที่หวาชิงเสวี่ย เกิดความรู้สึกไม่อยากจากกัน เพิ่งเจอกันได้ไม่นานแท้ๆ ...
หวาชิงเสวี่ยก็ตกตะลึงเช่นกัน นางจะจากไปเช่นนี้หรือ? ...แต่ว่า เ้าเคราเฟิ้มผู้นั้นจะจัดการกับหลี่จิ่งหนานอย่างไร นางยังไม่รู้เลย!
หวาชิงเสวี่ยมองเ้าซาลาเปาน้อยที่แสดงสีหน้าอาวรณ์ แล้วหันไปมองทหารที่ยืนรอกลับไปรายงาน ในใจเต็มไปด้วยความขัดแย้งและความลังเล...