ในชีวิตของหลินลั่วตงนั้นมีประสบการณ์การบินที่แตกต่างกันไปสามชนิด
ในตอนนั้นเขามีอายุเพียงเจ็ดแปดขวบเท่านั้น อีกทั้งยังขี้อายกว่าตอนนี้มากเขานั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวจินพร้อมกับกำมือของตัวเองไว้แน่นความรู้สึกที่ได้มองลงไปยังเขาชิงเฉิงนั้น คือความประหลาดใจที่ปะปนไปกับความกังวลทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงจนไม่อาจจะลืมเลือนได้
ตอนที่นั่งอยู่บนเครื่องบินก็เป็อีกความรู้สึกหนึ่งก้อนเมฆล้อมปกคลุมไปทั่วสายตาของเขา ท้องฟ้าสีครามก็ดูสงบและมั่นคงทำให้อดที่จะอยากล้มตัวลงนอนบนเตียงก้อนเมฆที่ดูน่าสบายเ่าั้ไม่ได้
แต่ว่าความรู้สึกทั้งสองนั้น ต่างก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเบาสบายมันไม่ได้ทำให้ความกล้าหาญของเด็กชายหายไปแต่อย่างใด
ไม่เหมือนกับตอนนี้!
หลินลั่วตงยืนอยู่หน้าดาบเจาเสวี่ย เกราะแสงปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของเขาก่อนจะปกป้องตัวของเขาและหลินลั่วหรานเอาไว้ ลมสบายๆกลางอากาศไหลซึมเข้ามาในเกราะแสงทำให้จิตใจเบาสบายขึ้นมาแต่ว่าแรงกระทบเสียดสีจากการบินท่ามกลางอากาศสูง กลับถูกเกราะแสงป้องกันเอาไว้มันช่างเป็ของที่จำเป็ต่อการเดินทางท่องเที่ยว ไม่สิการโบยบินบนอากาศเสียเหลือเกิน
พวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่พูดถึงเกมบนอินเทอร์เน็ตในทุกๆ วันทั้งชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่สามารถเข้าใจประสบการณ์ที่หลินลั่วตงมีแบบนี้ได้เลยก็ได้ยืนอยู่บนเจาเสวี่ย มองลงไปยังกำแพงเมืองจีนยาวหมื่นลี้จากกลางอากาศพวกนักท่องเที่ยวนั้นอยู่แค่ภายใต้สายตาเท่านั้นเอง แต่กลับดูเหมือนว่าพวกเขามองไม่เห็นทั้งสองพี่น้องที่อยู่บนหัวของพวกเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกนี้ช่างเต็มไปด้วยความกังวลและความแปลกใหม่
“พี่สาว พวกเขามองไม่เห็นเราเหรอ?”
หากว่ามองออกไปจากด้านใน ก็จะดูเหมือนว่าเกราะแสงนี้กำลังส่องแสงสลัวๆ อยู่แต่หากเป็ผู้คนที่อยู่ด้านล่างแล้ว พวกเขาก็ดูเหมือนกับคนตาบอดที่ลืมตาเท่านั้นพวกเขามองไม่เห็นเหรอ ว่ามี “ฟอง” ลอยอยู่บนหัวของพวกเขา?
วิธีที่นักปราชญ์ใช้ทำให้คนธรรมดามองไม่เห็นนั้นมีอยู่มากมายเหมือนอย่างเกราะนี้ ด้วยพลังของธาตุไม้และธาตุน้ำ มันจึงช่วยลดปัญหาแรงเสียดสีจากการบินด้วยความเร็วสูงได้เมื่อรวมเข้ากับ “เกราะเล็ก” ที่เป็เหมือนกับสิ่งที่สามารถใช้ปกปิดเรือนร่างได้ดังนั้นในสายตาของผู้คนธรรมดาก็จะไม่สามารถมองเห็นเกราะที่เต็มไปด้วยพลังปกคลุมอยู่ได้และแน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นคนที่อยู่บนดาบบินทั้งคู่ได้เลย
แน่นอนว่าของอย่าง “เกราะเล็ก” นั้น หากใช้ในตอนที่อยู่ระหว่างการบินมันช่างเป็เื่ที่ดูสิ้นเปลืองเสียเหลือเกินดังนั้นนักปราชญ์ในสมัยก่อนจึงใช้มันน้อยมากและทำให้เกิดภาพการใช้ดาบโบยบินในอากาศอย่างน่าเหลือเชื่อเ่าั้ขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานพยักหน้ารับ หลินลั่วตงก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาเขาคอยพูดออกมาว่า “ต่ำลงหน่อย” “ต่ำลงอีกนิด” อยู่ตลอด แต่คนที่คอยตามใจเขาอยู่ตลอดอย่างหลินลั่วหรานกลับยกมุมปากขึ้นก่อนที่จะร่ายเวทที่ทำให้ตัวดาบนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นสูงไปในอากาศ!
เสียงของลมที่พัดเข้ามากระทบกับเกราะแสง กำแพงเมืองจีนค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ เหล่านักท่องเที่ยวต่างก็กลายเป็ราวกับมด...สูงขึ้นอีก สูงขึ้นอีกนิด...
หลินลั่วตงััได้ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรงความรู้สึกของการบินด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ทำให้สายเืในร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาลใน่วินาทีหนึ่งนั้น เขารู้สึกว่าหากเวลาตอนนี้สามารถย้อนกลับไปได้บางทีเขาอาจจะสามารถต่อกรกับพวกคนอันธพาลที่รังแกเขาในสมัยเด็กได้ก็ได้...
เมฆขาวลอยผ่านเกราะแสงไป ในระหว่างที่ไม่ทันได้รู้สึกตัว ทั้งสองก็บินสูงขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้ว
เมื่อเห็นว่าความกลัวในตอนแรกของหลินลั่วตงค่อยๆเปลี่ยนไปเป็การซึมซับภาพทิวทัศน์สวยงามจากเบื้องบนหลินลั่วหรานก็ไม่ได้พูดอะไรก็มา สถานการณ์ในตอนนี้นั้น ไม่ต้องพูดอะไรน่าจะดีกว่า
แล้วหลังจากนี้ ควรจะไปไหนต่อดีล่ะ?
*****
คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ในเมืองหลวง อย่างเช่นหัวหน้าหน่วยพิเศษเฉินหยุนหรือคุณชายมู่ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็แกนหลักสำคัญของแวดวงธุรกิจแล้วพวกเขาต่างก็อยากจะพบหลินลั่วหรานด้วยเหตุผลมากมายหลายอย่าง แต่ช่างน่าเสียดายเพราะเมื่อทั้งสองพี่น้องไปเที่ยวที่กำแพงเมืองจีนเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ย้อนกลับมา แต่กลับซื้อตั๋วรถไฟเพื่อไปยังซีอานและหลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมงพวกเธอก็ขึ้นรถไฟไปเสียแล้ว
ความจริงแล้ว หากหลินลั่วหรานจะใช้ดาบบินไป ก็อาจจะเร็วกว่ามากทีเดียวแต่ว่าการท่องเที่ยวในครั้งนี้ของเธอนั้นมีจุดประสงค์คืออยากจะแก้ไขความกลัวที่ลั่วตงมีต่อกลุ่มคนให้ได้ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะขึ้นรถไฟ และยังเลือกซื้อเป็ตั๋วนอนธรรมดามาอีกด้วย
ทั้งสองเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าหน้าร้อนสบายๆ ธรรมดาแต่เมื่อเข้าไปยืนอยู่ในโบกี้รถไฟแออัดนั้น ก็ยังคงให้ความรู้สึกเปล่งประกายขึ้นในสายตาของผู้คนอยู่ดีแม้แต่เหล่าผู้คนที่กำลังยุ่งอยู่จัดเก็บสัมภาระอยู่นั้นก็ยังอดที่จะลอบมองมายังพวกเขาไม่ได้
เมื่อหลินลั่วตงเห็นว่ามีคนเยอะเขาก็กลับไปเป็เด็กชายที่เก็บตัวคนนั้นอีกครั้ง แต่หลินลั่วหรานกลับเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปเพียงคนเดียวถึงจะบอกว่าแออัด แต่ด้วยท่าทางของเธอแล้วมันก็ทำให้ผู้คนส่วนมากต่างก็หลีกทางให้เธอโดยไม่ทราบสาเหตุเธอจึงสามารถเดินเข้าไปยังที่นั่งของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหันตัวกลับไป เธอก็เห็นว่าหลินลั่วตงยังคงยืนอยู่ที่หัวขบวนรถที่เต็มไปด้วยผู้คนเช่นเดิมเธอจึงยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อเรียกให้เขาเข้ามาท่าทางดูราวกับว่าเธอไม่คิดเลยแม้แต่น้อย ว่าเขาเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้หรือไม่และมีความกล้ามากพอที่จะเดินเข้ามาหรือเปล่า
แต่ไม่ว่าอย่างไร หลินลั่วหรานก็ยังคงยืนส่งรอยยิ้มมาให้เขาอยู่แบบนั้นหลินลั่วตงยืนลังเลอยู่ที่เดิมในขณะที่เขากำลังจะบังคับให้ตัวเองเดินฝ่ากลุ่มคนเข้าไปหาหลินลั่วหรานนั้นใครจะรู้ว่า เมื่อเขาขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็ไปชนเข้ากับกระเป๋าเดินทางของนักเดินทางคนหนึ่งเข้า เมื่อได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้น หลินลั่วตงเองก็ใขึ้นมาเขาพูดว่า “ขอโทษครับ” ออกมาอย่างแ่เบาก่อนที่นักท่องเที่ยวคนนั้นจะพูดขึ้นในทันที “เด็กนี่เดินไม่ดูทางบ้างหรือไง!”
น้ำเสียงใหญ่ทำให้ร่างกายของหลินลั่วตงเกร็งขึ้นมา แต่ใครจะไปรู้ว่านักท่องเที่ยวตัวอ้วนใหญ่คนนั้นจะพูดเสริมขึ้นมาอีก “ถ้าโดนเท้าขึ้นมาจะทำยังไง?”
เอ๋ ไม่ได้ว่าหรอกเหรอ?
หลินลั่วตงรีบพยักหน้าลงหลายๆ ครั้ง ก่อนจะพูดว่า “ขอโทษครับ” ออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมอยู่ๆ เขาก็มีความกล้าขึ้นมา ก่อนจะเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปด้วยความคล่องแคล่วราวกับปลาไหล
ทุกอย่างเกิดขึ้นในสายตาของหลินลั่วหราน แต่เธอก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา
รถไฟส่งเสียงดังขึ้น ก่อนที่จะเริ่มขยับตัวออกเดินทางตั๋วที่หลินลั่วหรานซื้อมานั้นเป็ตั๋วนอนชั้นล่างที่อยู่ตรงข้ามกันหลินลั่วตงอยากจะเล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ แต่เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานเอาแต่มองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ พวกหลินลั่วหรานก็ขึ้นมายังรถไฟในทันทีจึงไม่ได้ไปซื้อขนมหรือของทานเล่นมาเตรียมไว้อย่างคนอื่นเขาอีกทั้งขบวนที่เธอเลือกก็เป็ขบวนตอนสี่โมงเย็น ทำให้เมื่อรถไฟออกเดินทางมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงพวกนักเดินทางที่อยู่ชั้นบนหรืออยู่โดยรอบต่างก็เริ่มพากันเอาของกินเล่นหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมากินกันแล้ว
อาหารสำเร็จรูปอย่างพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นภายใต้การควบคุมกวดขันในเื่การทานอาหารในทุกๆครั้งนั้นจะต้องทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนต่อร่างกายตลอดแล้วผู้เป็แม่นั้นจะยอมให้หลินลั่วตงทานบะหมี่สำเร็จรูปได้อย่างไรดังนั้นเมื่อตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาทานอาหารแล้ว กลิ่นของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ทำให้เขาเริ่มอยากกินขึ้นมา
หลินลั่วหรานสังเกตเห็นว่าเขามักจะแอบมองคนอื่นอยู่ตลอดในใจของเธอก็ได้แต่หัวเราะออกมาจนแทบจะห้ามไว้ไม่อยู่แต่ว่าเมื่อลั่วตงไม่พูดออกมา เธอก็จะทำเป็เหมือนว่ามองไม่เห็นมัน
เมื่ออดทนมาได้จนถึงตอนราวๆ สองทุ่มทุกคนส่วนมากก็ต่างพากันทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วหลินลั่วหรานก็ยังคงอดทนต่อไปแต่คนที่ดูท่าทางเหมือนนักศึกษาคนหนึ่งที่นอนอยู่ที่เบาะ้าของหลินลั่วตงกลับไม่อาจจะอดทนต่อไปได้อีก ทั้งสองคนนี้ดูเหมือนว่าเป็พี่น้องกัน แต่ั้แ่ที่ขึ้นรถมาอย่าว่าแต่ทานอาหารเลย แม้แต่น้ำสักอึกก็ยังไม่ได้แตะหรือว่าลำบากอะไรกันหรือเปล่า?
ความจริงแล้วภายนอกนั้นสามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้กับคนอื่นได้เป็อย่างดีผู้ชายคนนี้จึงได้แต่คิดว่า ถ้าไม่มีเงินจะกินข้าวจริงๆ แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อตั๋วนอนแบบนี้ได้? แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพอ ที่จะคุยกับหลินลั่วหราน ดังนั้นเมื่อคิดได้แล้วเขาก็ลองโบกมือให้กับหลินลั่วตงดู
“นี่ น้องชาย มาเที่ยวกับพี่สาวเหรอ?”
หืม?!
มีคนมาคุยกับเราก่อนด้วย ดูท่าทางแล้วก็ไม่น่าจะเป็คนเลวอะไรน้ำเสียงของลั่วตงนั้นไม่ได้ดังมาก เมื่อพูดขึ้นมาแล้วก็ยังดูมีความสุภาพเรียบร้อยอยู่ เขาบอกออกไปว่า เขากำลังจะไปเที่ยวที่ซีอานกัน
“อย่างนี้นี่เอง พี่ชื่อหรงตงหลินนะ น้องล่ะ?”
เมื่อได้ยินว่าในชื่อของฝ่ายตรงข้ามเองก็มีคำว่า “ตง” อยู่จึงทำให้ลั่วตงยิ่งรู้สึกสนิทสนมกับเขามากขึ้นไปอีกแต่ว่าเด็กชายคนนี้ก็ไม่ได้สูญเสียความระมัดระวังในใจไปเขาจึงบอกออกไปเพียงแค่ชื่อของตัวเอง แต่ไม่ได้พูดไปถึงคนที่ “นอนหลับ” อยู่บนเบาะอย่างหลินลั่วหราน
ทั้งสองคนนั้นสนิทสนมกันขึ้นมาด้วยความรวดเร็วและในตอนนั้นเองหรงตงหลินก็หยิบเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาสามกระป๋องก่อนจะแสดงท่าทางอึดอัดใจออกมา “พี่เองก็ต้องลงรถที่ซีอานเหมือนกันแต่ว่าซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาเยอะเลย ไม่รู้ว่าจะจัดการคนเดียวหมดได้ยังไง...น้องลั่วตงช่วยพี่หน่อยได้ไหม?”
หลินลั่วตงแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ได้จริงๆ เหรอ?
สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังคงเป็เพียงเด็กอายุสิบสองปีเท่านั้นแล้วเขาจะไปเข้าใจคำพูดที่มีความหมายแฝงของคนอื่นได้อย่างไรเขาหันไปมองหลินลั่วหรานที่กำลัง “นอนหลับ” อยู่ก่อนจะคิดว่าพี่สาวเองก็น่าจะหิวแล้วเช่นกัน เขาจึงพยักหน้าลงอย่างอดไม่ได้
ในตอนที่หรงตงหลินกำลังจะลุกขึ้นมานั้น หลินลั่วตงก็คิดขึ้นมาได้ว่าจะกินของของคนอื่นเขา แล้วยังจะต้องให้เขามาทำให้แบบนั้นดูเหมือนว่าจะดูไม่ดีเท่าไร เขาจึงรวบรวมความกล้าขึ้นมา ก่อนที่จะบอกว่าเขาจะไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยตัวเอง
ความอดทนของหรงตงหลินนั้นค่อนข้างดีทีเดียวและเขาก็รู้และเข้าใจความถือตนของเด็กตัวน้อย เขาจึงบอกที่กดน้ำให้กับลั่วตงไปพร้อมกับกำชับเขาว่าให้ระวังโดนน้ำลวกด้วย นี่เป็ครั้งแรกที่ลั่วตงจะได้ต้มบะหมี่สำเร็จรูปดังนั้นแค่เพียงการใส่เครื่องปรุงไปตามขั้นตอนที่หรงตงหลินบอกเขาก็ใช้เวลาไปนานแสนนานในตอนที่กำลังจะยกหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เตรียมไว้เสร็จแล้วไปเติมน้ำนั้นเขาก็ร้อนใจจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเสียแล้ว
เมื่อลั่วตงเดินออกไปไม่นานนัก คนที่ “นอนหลับ” มาโดยตลอดอย่างหลินลั่วหรานก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ั์ตาสีดำสนิทนั้นดูเปล่งประกายออกมามากกว่าคนทั่วไป เมื่อได้สบตากันก็ทำให้หรงตงหลินก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างด้อยค่าและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เมื่อเห็นผู้ชายที่ดูเหมือนว่าจะเป็นักศึกษาหลบสายตาของเธอหลินลั่วหรานก็คลี่รอยยิ้มบางๆ ออกมา ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบาว่า “ทำเื่ดี จะต้องได้รับผลดีตอบแทนแน่”
ในตอนนั้นหรงตงหลินยังได้ยินไม่ชัดเท่าไรแต่ก็เห็นว่าหลินลั่วหรานหลับตาลงอีกครั้งแล้ว
ที่แท้หลินลั่วตงก็ถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เติมน้ำเอาไว้กลับมาแล้ว
หลินลั่วตงวางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้มเสร็จเรียบร้อยไว้บนโต๊ะก่อนจะพูดขึ้นว่า “พี่ตงหลินทานก่อนเลยครับ” พร้อมกับถืออีกถ้วยเดินออกไปทิ้งให้หรงตงหลินมองไปยังหญิงสาวที่ทำเป็นอนหลับอยู่ด้วยความไม่เข้าใจมากมายเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้หลับอยู่เสียหน่อยแต่กลับปล่อยให้น้องชายของตัวเองเดินออกไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแม้ว่าจะเป็เพราะเื่ที่จะฝึกให้ช่วยเหลือตนเองแต่ว่าแล้วทำไมถึงจะต้องลืมตาขึ้นมากลางคันแล้วบอกให้เขารู้ว่าเธอกำลังตื่นอยู่ด้วยล่ะ?
เมื่อหลินลั่วตงต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเสร็จเรียบร้อยและเดินกลับมาเรียกอยู่หลายครั้งหลินลั่วหรานถึงได้ “ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา” เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของลั่วตง เธอก็เพียงแค่หันมาพูดแสดงความ “ขอบคุณ” กับหรงตงหลินด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และท่าทีที่ห่างเหิน
ใบหน้าของหลินลั่วตงแดงขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวที่พูดคุยง่ายของเขาในครั้งนี้ถึงได้ดูเ็าเสียเหลือเกินเขาจึงได้แต่พยายามพูดเื่อื่นกับหรงตงหลินเพื่อที่จะทำให้ “พี่ตงหลิน” ที่มีจิตใจดีคนนี้ของเขาไม่รู้สึกอึดอัด แต่เขาก็เป็เพียงแค่เด็กชายที่ไม่ค่อยพูดคุยกับคนอื่นแล้วจะไปมีเนื้อหาอะไรให้ใช้คุยกับคนอื่นได้บ้างล่ะ? เื่ของเสี่ยวจินพูดไม่ได้ เื่เวทมนตร์ ก็พูดไม่ได้ เื่ของดาบบินแน่นอนว่าก็พูดไม่ได้เหมือนกัน เื่ในโรงเรียนก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ...สิ่งเดียวที่เขามีก็คือคฤหาสน์ที่ไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่นเท่าไรแต่นี่ก็น่าจะเป็เื่เดียวที่เขาพอจะพูดออกมาได้บ้าง
เมื่อได้ยินลั่วตงบอกว่าในบ้านของเขามีผลท้อที่มีรสชาติอร่อยมากอยู่แถมพี่สาวของเขาก็ยังหมักเหล้าผลไม้ด้วยตัวเองในบ้านนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้บานตลอดทั้งสี่ฤดูเขาไม่ได้มองว่าบ้านหลังใหญ่จากปากของลั่วตง เป็คฤหาสน์อะไรแต่เพียงแค่คิดว่าลั่วตงกำลังเล่าเื่ของบ้านที่ชานเมืองหรือในป่าให้ฟังดังนั้นเขาจึงฟังมันด้วยความสนใจอันเต็มเปี่ยม
แน่นอนว่าในใจของเขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเพราะว่าไม่ว่าจะดูอย่างไรทั้งสองพี่น้องนี้ก็ดูท่าทางไม่เหมือนคนที่ออกมาจากชานเมืองหรืออาศัยอยู่ในป่าเขาเลยแม้แต่น้อย
หลินลั่วตงเชิญชวนให้เขาไปเยี่ยมบ้านที่บ้านด้วยความกล้าหาญเขาเองจึงตกลงไปตามน้ำ แต่ในใจนั้น เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานไม่ได้พูดอะไรออกมาเขาก็เพียงคิดว่าเป็เพียงการพูดไปเรื่อยของเด็กเท่านั้น
ไม่นานนัก ก็เป็เวลาปิดไฟของขบวนรถไฟหลินลั่วตงหลับใหลเข้าสู่ความฝันไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้มีเพื่อนใหม่ใน่ยามดึกตีสองตีสาม ทุกๆ คนต่างหลับสนิทกันไปแล้ว
หลังจากแสงของไฟฉายวับวาวขึ้นมา หลินลั่วหรานก็ลืมตาขึ้น “ใคร?”
อีกฝ่ายใช้ไฟฉายฉายไปยังชั้นวางสัมภาระเมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้นมา เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ก่อนจะตอบกลับไป “หาเด็กน่ะ ไม่รู้ว่าวิ่งไปที่โบกี้ไหนแล้ว”
หลินลั่วหรานเหยียดรอยยิ้มออกมา หาเด็กเหรอต้องไปหาบนชั้นวางสัมภาระด้วยเหรอ คิดว่าเธอมีไอคิวเท่ากับเด็กอายุสามขวบหรือไง? ถ้าหากว่าเป็คนอื่นเธอก็คงจะไม่สนใจอะไรแต่เมื่อเห็นว่ากระเป๋าสัมภาระของคนที่ดูท่าทางเหมือนกับนักศึกษาคนนั้นถูกวางเอาไว้ที่ข้างเท้าเธอก็ไม่สามารถที่จะไม่สนใจได้อีก
คนที่ถือไฟฉายนั้นได้ยินเสียงดัง ฮึ ของหลินลั่วหรานแสงของไฟฉายจึงสาดส่องมาที่เธออีกครั้ง ริมฝีปากของหลินลั่วหรานขยับออกเป็คำว่า “ไสหัวออกไป” ก่อนที่เขาจะยกมือกุมเข้าที่หัวจนไฟฉายที่ถืออยู่ตกลงไปที่พื้น
มีผู้โดยสารบางคนถูกเสียงเหล่านี้ทำให้ตื่นขึ้นคนคนนั้นไม่สนใจอาการปวดหัวที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา พร้อมกับวิ่งหางจุกตูดออกไป
หลินลั่วหรานพลิกตัวไปอีกทาง ก่อนที่จะหลับไปอีกครั้ง
ในโบกี้นั้นเต็มไปด้วยเสียงลมหายใจ เสียงขบฟัน เสียงกรนแต่หลินลั่วตงก็ยังคงนอนหลับใหลด้วยความสบายใจ สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็ที่จะต้องพูดถึงเลยแววตาของหลินลั่วหรานประกายขึ้นมาในความมืดก่อนที่รอยยิ้มของก้าวแรกแห่งความสำเร็จจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอค่ำคืนหนึ่งในการท่องเที่ยวนี้ก็ดูไม่แย่ใช่ไหมล่ะ