มีเื่เกิดขึ้นในจวนจิ่นอีโหวต่อเนื่องกันติดๆ กู้ชิงฮั่นดูแลเื่ภายในบ้าน ถึงแม้ต่อหน้าผู้คนจะไม่แสดงอาการออกมานัก แต่ในใจกลับกลัดกลุ้มยิ่ง คืนนี้ นางช่างดูเหนื่อยล้า เมื่อกลับถึงจวน หยางหนิงปลอบอยู่พักใหญ่ กู้ชิงฮั่นจึงกลับห้องไปพักผ่อน
หยางหนิงรู้ดีว่า หากฉีจิ่งยังอยู่ เื่พวกนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ว่าหลังจากที่ฉีจิ่งจากไปแล้ว มีแต่เื่เลวร้ายเข้ามาไม่หยุด
ถึงแม้โต้วเหลียนจงจะปรากฏตัวออกมาแล้ว แต่หยางหนิงกลับคิดว่าเขาเป็เพียงผู้ที่เชื่อมโยงเื่ราวผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ที่ชักใยอยู่เื้ัจริงๆ
เสนาบดีกรมพระคลังถือเป็ขุนนางระดับสูงของแคว้น แต่หากจะมามีเื่กับจวนจิ่นอีโหว แค่ตระกูลโต้วตระกูลเดียวเห็นทีจะไม่พอ
ถึงแม้จวนจิ่นอีโหวจะอยู่ใน่ที่ตกต่ำ แต่ผลงานของท่านจิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นนั้นยังคงประจักษ์ให้เห็นชัดอยู่ และผลงานทั้งหมดก็เป็ผู้บัญชาการทหารทั้งนั้น อย่างน้อยๆ ในด้านการทหารก็มีรากฐานที่มั่นคง ก็อย่างที่เห็นผู้บัญชาการเสวียหลิงเฟิงของค่ายหู่เสินก็ปกป้องตัวเขา สายสัมพันธ์ของจิ่นอีโหวไม่ได้จางหายไปพร้อมกับฉีจิ่ง ไม่ว่าผู้ก็ตามที่คิดจะลงมือกับจวนจิ่นอีโหว อย่างน้อยๆ ก็ต้องคิดวางแผนให้มากเสียหน่อย
ภาษีจากเจียงหลิงส่งมาไม่ถึงสักที ถูกลอบสังหารที่สุสานจงหลิง วันนี้โรงรับจำนำไฟยังมาไหม้อีก ดูผิวเผินเหมือนมันจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ว่าหยางหนิงกลับรู้สึกว่าเื่เหล่านี้มีเื้ั และจะต้องมีอะไรที่เชื่อมโยงกันอยู่
เขายังรู้สึกอีกว่า จวนจิ่นอีโหวเหมือนกำลังยืนอยู่บนหน้าผา ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่ทำแบบนี้แน่ หากเขาคาดเดาไม่ผิด น่าจะมีผู้ร่วมสมรู้ร่วมคิดกับเื่นี้อีกอย่างแน่นอน ขอแค่จวนจิ่นอีโหวพลาดเพียงก้าวเดียว ก็อาจจะทำให้เกิดหายนะขึ้นอย่างแน่นอน
เขามีลางสังหรณ์เกี่ยวกับเื่อันตรายที่จะมาถึงนี้ ในตอนนี้เขารู้สึกถึงมันอย่างรุนแรง
ที่น่าโมโหที่สุดคือพวกคนตระกูลฉีที่เหมือนกับกองทราย ซานเหล่าไท่เย๋กับฉีอวี้สองแม่ลูกเหมือนจะเป็พวกเดียวกัน ทั้งคู่ตีตัวออกห่างจวนโหว คนที่สามารถปรามตระกูลฉีได้ก็ตายหมดแล้ว เหลือไว้เพียงพวกเลี้ยงเสียข้าวสุก คนพวกนี้ไม่เพียงไม่มีประโยชน์ต่อจวนโหว มิหนำซ้ำยังเป็เนื้อร้ายอีกต่างหาก
หยางหนิงไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งกับจวนจิ่นอีโหวอยู่แล้ว แต่ว่าเขารู้ดีว่า กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะจัดการอะไรหลายอย่างได้ดี แต่ก็ยังเป็หญิง หากว่ามีคนอยู่เื้ัการวางแผนกำจัดจวนจิ่นอีโหวจริงๆ เช่นนั้นกำลังของอีกฝ่ายจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน กู้ชิงฮั่นอาจจะสามารถควบคุมทุกอย่างในจวนได้ แต่ข้างนอกคงไม่ง่ายนัก
ในเขตพระราชฐานมีอันตรายอยู่ล้อมรอบ ทั่วทั้งเมืองหลวงดูสงบ แต่หยางหนิงกลับรู้สึกว่าลมพายุที่รุนแรงจะมาหลังคลื่นลมสงบ เขาไม่มีทางรู้ได้ว่าเื่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะเลวร้ายเพียงใด แต่รู้ว่าควรจะต้องระวังเอาไว้ จวนจิ่นอีโหวอาจจะแหลกเป็จุณ จุดจบของกู้ชิงฮั่นกับพวกพ้องอาจจะไม่ดีนัก
หากเขาจากไปในตอนนี้ ดูจากสถานการณ์ของจวนจิ่นอีโหวแล้ว คงไม่มีกะจิตกะใจออกไปตามหาเขา แต่ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ไปสนใจ หยางหนิงเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ตอนนี้เขาคิดว่าจะพยายามปกป้องจนถึงที่สุดก่อน หากควบคุมไม่ได้จริงๆ เขาค่อยตัดสินใจดูอีกที
โต้วเหลียนจงเองก็ถือว่าเป็คนรักษาคำพูด เช้าอีกวันพระอาทิตย์ขึ้นไม่นานนัก หยางหนิงก็ได้รับแจ้งว่า คุณชายของเสนาบดีกรมพระคลังมาขอพบ
หยางหยิงเองก็ไม่ได้ไม่แยแส ให้เชิญโต้วเหลียนจงเข้ามาในจวน
จ้าวซิ่นมาพร้อมกับโต้วเหลียนจง บ่าวไพร่ได้พาพวกเขามายังห้องโถงหลัก แต่ว่าหยางหนิงไม่ได้อยู่ในห้องโถง บ่าวไพร่บอกแค่ว่าซื่อจื่อกำลังแต่งตัวอยู่ อีกสักครู่จะออกมาพบ
น้ำชาถูกยกมารับรอง โต้งเหลียนจงค่อยๆ ยกขึ้นดื่ม ชารสชาติดี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็คุณชายของเสนาบดีกรมพระคลัง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขายังไม่เคยมานั่งอยู่ในห้องโถงของจวนโหวเลยแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้มาในฐานะเ้าหนี้ เขารู้สึกสะใจไม่น้อย
“ได้ยินมาว่าฮูหยินสามเป็คนดูแลจวนโหวของพวกเ้า ที่ข้ามาวันนี้ มาธุระสำคัญ ไม่ได้พบซื่อจื่อก็ไม่เป็ไร แต่ยังไงก็ต้องขอพบฮูหยินสาม” โต้วเหลียนจงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วมองไปที่บ่าวไพร่ที่มาดูแล “จริงๆ แล้วซื่อจื่อของพวกเ้าก็จัดการเื่ใหญ่เช่นนี้ไม่ได้หรอก”
เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าผู้ดูแลจวนจิ่นอีโหวเป็หญิงงาม แต่ไม่เคยพบมาก่อน เมื่อคืนนี้พอได้เห็น ทำให้เขาใมาก เขาเป็คนเสเพลอยู่แล้ว พบหญิงงามมาก็ไม่น้อย เป็คุณหนูผู้ดีมีตระกูลก็มาก แต่ไม่เคยพบหญิงสาวที่งดงามเหมือนกับกู้ชิงฮั่นมาก่อน
บ่าวไพร่ได้แต่ก้มหน้า ไม่พูดสิ่งใด
จ้าวซิ่นมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร ก็เดินเข้าไปพูดเบาๆ ว่า “คุณชาย เมื่อคืนฉีหนิงดูมั่นใจยิ่งนัก หรือว่าเขาจะหาเงินหนึ่งหมื่นตำลึงได้จริงๆ? จวนจิ่นอีโหวเองก็ดูยิ่งใหญ่ เงินหนึ่งหมื่นตำลึงสำหรับพวกเขาแล้วน่าจะไม่ใช่เื่ใหญ่”
“ข้างนอกสุกใสข้างในเป็โพรง” โต้วเหลียนจงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “สถานการณ์ของจวนพวกเขา ข้ารู้ดี เมื่อคืนข้าส่งคนตามดูอยู่ หลังจากฉีหนิงกลับเข้าจวนแล้ว ก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก ไม่มีทางมีเงินหนึ่งหมื่นตำลึงแน่นอน” สีหน้าของเขามั่นใจมาก “เ้ารอดูเถอะว่า วันนี้ข้าจะจัดการพวกเขาอย่างไร”
เมื่อมองไปทางซ้ายทางขวา กลับไม่พบกู้ชิงฮั่นหรือหยางหนิงเลย โต้วเหลียนจงไม่ได้มีความอดทนมากมายเช่นนั้น เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามของพวกเ้าอยู่ที่ใด? ติดหนี้ก็ต้องชดใช้ หลบหน้าเช่นนี้คิดว่าเื่จะจบรึ?”
บ่าวไพร่เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฮูหยินสามไม่ค่อยสบาย เื่ในจวนตอนนี้ซื่อจื่อเป็คนดูแลทั้งหมดเ้าค่ะ”
โต้วเหลียนจงรู้สึกผิดหวัง แต่ก็พูดว่า “ในเมื่อซื่อจื่อเป็คนดูแล แล้วเขาอยู่ที่ใดเล่า?”
“เอ่อเื่นี้...!” บ่าวไพร่ลังเลเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ซื่อจื่ออยู่ที่ห้องโถงเล็กด้านข้าง กำลัง...!”
“เื่อันใดมันจะมาสำคัญกว่าการใช้หนี้อีก?” สายตาของโต้วเหลียนจงเปลี่ยนไป เขาเดินออกไปด้านนอกประตู “นำทางไป”
บ่าวไพร่ลังเล โต้วเหลียนจงก็เริ่มต่อว่า “ยืนเหม่ออยู่ทำไม ยังไม่นำทางข้าไปอีก ข้าไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น”
บ่าวไพร่จนปัญญา จึงต้องนำทางไป โต้วเหลียนจงเดินนำหน้า จ้าวซิ่นเดินตามหลังมา คนของเขาเดินตามมาเป็ทางยาว อ้อมมาจนถึงห้องโถงด้านหลัง ประตูห้องนั้นเปิดอยู่ โต้วเหลียนจงชะโงกหน้าไปมอง เห็นหยางหนิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ มือทั้งสองยกขึ้นมา กำลังจ้องมองบางสิ่งอยู่ เขาไม่ขยับตัวเลย เหมือนกำลังเหม่ออยู่
โต้วเหลียนจงรู้สึกสงสัย บ่าวไพร่กำลังจะเดินไปแจ้งหยางหนิง โต้วเหลียนจงยกมือห้ามไว้ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในห้อง ในห้องสว่างโปร่งโล่ง แต่ด้านข้างจะมืดสักหน่อย ตอนนี้จึงเห็นอะไรชัดขึ้น บนโต๊ะเหมือนมีของโบราณอยู่ชิ้นหนึ่ง โต้วเหลียนจงเป็คนรอบรู้ เขามองเพียงครั้งเดียวก็รู้เลยว่านี่คือม้าที่ทำจากหินหยกหลิวหลี
เขาเอามือไขว้หลังแล้วเดินไปที่ด้านหลังของหยางหนิง หยางหนิงราวกับว่าไม่รู้ตัว โต้วเหลียนจงมองไปที่ม้าหยกหลิวหลีตัวนั้น แอบคิดว่านึกว่าสมบัติล้ำค่าอะไร ของชิ้นนี้มันก็แค่ของราคาไม่กี่สิบตำลึงเท่านั้นเอง หลิวหลีจริงๆ ก็ไม่ใช่ของหายากอะไรมากนัก แต่ว่าพอเอามาทำเป็ม้าตัวนี้กลับเหมือนจริงยิ่งนัก ทั้งท่าทางที่องอาจ ที่เหมือนจะบินไปบนท้องฟ้าได้เลย
เขาแอบหัวเราะ รู้สึกว่าจวนจิ่นอีโหวถึงคราวตกอับแล้วจริงๆ เป็ถึงจิ่นอีซื่อจื่อ แต่กลับมานั่งเหม่อกับแค่ม้าหยกหลิวหลีเช่นนี้ เหมือนกับหลงใหลปลาบปลื้มมันยิ่งนัก แต่ดูแล้วมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็ของดีอะไร
“ซื่อจื่อ ท่านกำลังดูสิ่งใดอยู่รึ?” โต้วเหลียนจงตั้งใจทำให้หยางหนิงใ เขาใช้มือตบไปที่บ่าของหยางหนิง หยางหนิงร้องด้วยความใอย่างที่คาดไว้ เขาแทบจะะโขึ้นมาเลย โต้วเหลียนจงมีท่าทางกลัว จากนั้นก็หัวเราะร่าออกมา แล้วพูดว่า “อย่างไรเสีย ซื่อจื่อก็เกิดในตระกูลนักรบ ทำไมถึงได้ใง่ายถึงเพียงนี้เล่า?”
หยางหนิงรู้สึกอายเล็กน้อย ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้ก็ท่านพี่โต้วนี่เอง...!”
โต้วเหลียนจงทำหน้าเข้ม แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ แม้แต่เป็พี่น้องกันแท้ๆ มีหนี้ก็ต้องชดใช้ วันนี้ไม่มีคำว่าพี่น้องอะไรทั้งนั้น เ้าน่าจะรู้ว่าข้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด” จากนั้นเขาก็มองไปที่จ้าวซิ่นที่ยืนอยู่ข้างนอก จ้าวซิ่นก็รีบเดินเข้ามา ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยมาตามสัญญาแล้ว”
หยางหนิงยกมือขึ้นมาแล้วจับที่หลังศีรษะแล้วพูดว่า “ข้ากำลังคิดเื่นี้อยู่พอดี ในเมื่อรับปากแล้ว ก็จะไม่เสียคำพูดแน่นอน”
โต้วเหลียนจงกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ข้าเป็คนตรงๆ มีสิ่งใดก็พูดตรงๆ ท่านสามารถหาเงินมาหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงได้หรือไม่?” จากนั้นก็พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “ที่เรา้าคือเงินสดเท่านั้น”
“เงินสดอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พูดตามตรง ตอนนี้ข้าไม่มีเงินสดมากเช่นนั้น”
โต้วเหลียนจงสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่มีเงินอย่างนั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นเมื่อคืนท่านจะให้คำสัญญาว่ามีหนี้ก็จะต้องชดใช้ด้วยปากของท่านเองได้อย่างไร? ซื่อจื่อ ชื่อเสียงของจิ่นอีโหว ตระกูลฉีทั้งสองรุ่นทำคุณงามความดีมาโดยตลอด หากท่านกลับคำเช่นนี้ หากเื่นี้แพร่งพลายออกไป ชื่อเสียงของจิ่นอีโหวจะเสื่อมเสียเอาได้ กว่าจะสะสมชื่อเสียงเกียรติยศมาได้เช่นนี้ ไม่ใช่เื่ง่ายเอาเสียเลย ท่านกำลังจะทำลายมันลงในชั่วพริบตา”
“เ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป” หยางหนิงพูดว่า “ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะไม่คืนให้ท่านเสียหน่อย” แล้วชี้ไปที่ม้าหยกหลิวหลีที่โต๊ะ แล้วพูดด้วยความเศร้าว่า “ข้ากำลังคิดว่าจะเอาสมบัติชิ้นนี้มาใช้หนี้แทนจะดีหรือไม่?”
“สมบัติรึ?” โต้วเหลียนจงเหลือบไปมองที่ม้าหยกหลิวหลี จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อข้าว่า ท่านคงไม่คิดว่าของไร้ราคาเช่นนี้มันจะมีมูลค่าถึงหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงหรอกนะ?” จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ไม่ดีว่า “ข้าบอกเ้าตามตรง ของเช่นนี้ แทบจะเข้าประตูจวนของเสนาบดีกรมพระคลังไม่ได้ด้วยซ้ำ มันมีค่าไม่ถึงห้าสิบตำลึงเลย เ้ากลับกล้าเอามันมาใช้หนี้ หรือว่าเ้าดูไม่ออกหรืออย่างไร?”
“ไม่มีค่าอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงยิ้ม “ท่านพี่โต้วหรือว่าท่านคิดว่านี่มันแค่ม้าหยกหลิวหลีธรรมดาเล่า? ถ้าเป็อย่างนั้นจริง มันจะเป็มรดกตกทอดของตระกูลฉีของข้าได้อย่างไรกัน?”
เมื่อโต้วเหลียนจงได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้วพูดว่า “เ้าบอกว่านี่เป็มรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวอย่างนั้นรึ?”
หยางหนิงถอนหายใจ แล้วพูดว่า “นี่เป็ของที่ตกทอดมาจากท่านปู่ข้า แต่ว่าที่ผ่านมาท่านย่าข้าเป็คนดูแลมาโดยตลอด ในตอนนี้ในจวนของข้าไม่มีเงินสดมากมายเช่นนั้น ท่านย่าจึงฝืนใจเอามันออกมา หากไม่ถึงยามคับขัน คนปกติแทบจะไม่ได้เห็นมันเลย” เขาแสร้งพูดต่อไปว่า “ท่านพี่โต้วเองก็น่าจะเป็คนที่รู้เื่ของโบราณเก่าแก่ ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงมองไม่ออกเล่า?”
โต้วเหลียนจงเห็นหยางหนิงสีหน้าจริงจัง แอบคิดในใจ หรือว่าตัวเขาจะดูผิดไปจริงๆ เพราะอย่างไรเสียจวนจิ่นอีโหวก็มี่เวลาที่รุ่งเรืองถึงขั้นสุด หากพวกเขาจะมีสมบัติที่มีมูลค่าสูง โต้วเหลียนจงเองก็ไม่ได้แปลกใจ หยางหนิงบอกว่าม้าหยกหลิวหลีตัวนี้เป็มรดกตกทอดของตระกูลฉี เกรงว่ามันจะต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นอย่างแน่นอน
“ซื่อจื่อ ขอข้าดูอย่างละเอียดจะได้หรือไม่?” ปกติโต้วเหลียนจงเป็คนที่รู้เื่ของโบราณเหล่านี้อยู่แล้ว เขาแอบคิดในใจว่าจะมาเสียหน้าต่อหน้าหยางหนิงไม่ได้
หยางหนิงลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “อย่างไรเสียของชิ้นนี้ก็ต้องให้พวกท่านอยู่ดี ให้ท่านดูก็ไม่เสียหายอันใด แต่ว่าจะต้องระวังให้ดี”
โต้วเหลียนจงยื่นมือออกไป จับมรดกตกทอดของจวนจิ่นอีโหวอย่างระมัดระวัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้