บทที่ 50 เจ็ดปฐีปราบนภา, ยอดวิชาขั้นแก่นแท้! และคำขอของยัยก้อนน้ำแข็ง
“ลองใช้ตราคัมภีร์ดูก่อน”
หลี่โม่หยิบตราคัมภีร์ออกมาประทับลงไป ไร้ปฏิกิริยาใด ตัวอักษรเล็กจิ๋วบนตรามิได้ไหลเข้าสู่ตำราเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าตราคัมภีร์ไม่สามารถเติมเต็มวิชาการต่อสู้ที่ขาดหายไปได้
“หรือข้าควรลองฝึกแปดกระบวนท่าแรกดูก่อน?”
หลี่โม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย หากมีทางเลือก เขาก็ไม่อยากเรียนรู้ตำราวิชาที่ขาดหายนี้เลย
หากไร้หนทางอื่นใด คงต้องรอเมื่อลงจากเขาเพื่อทำภารกิจสำนัก แล้วจึงค่อยไปเสาะหาที่โรงประมูล หากมีวิชาการต่อสู้ที่เหมาะสมและสามารถใช้เงินซื้อได้ก็คงดีที่สุด หากยังคงไร้ซึ่งวิชาที่้า ก็อาจต้องทุ่มเงินก้อนโตเพื่อให้โรงประมูลช่วยตามหา
เื่ที่แก้ไขได้ด้วยเงินทอง ไม่ใช่เื่คอขาดบาดตายในยามนี้เลยแม้แต่น้อย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
เขาได้ทำความเข้าใจหลักการสำคัญของ ‘สิบสองค้อนกำราบวายุ’ จนขึ้นใจแล้ว
แม้จะไม่ค่อยอยากยอมรับนัก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเรียนรู้วิชาค้อนได้เร็วกว่าการเรียนรู้วิชาดาบมาก
“ส่วนที่ขาดหายไป...น่าจะสามารถเติมเต็มความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ได้”
หลี่โม่ลองทดสอบดูเล็กน้อย
[ป้อนความเข้าใจหนึ่งปีสำเร็จ]
[ปีแรก ด้วยพร์วิชาค้อนอันน่าทึ่งของท่าน แม้ว่าจะได้รับวิชาการต่อสู้ที่ไม่สมบูรณ์ แต่ท่านก็ยังคงพากเพียรฝึกฝนต่อไป หนึ่งเดือนก็บรรลุขั้นพื้นฐาน สามเดือนก็บรรลุขั้นเชี่ยวชาญ หกเดือนก็บรรลุขั้นชำนาญ]
[เมื่อครบหนึ่งปี ท่านก็เกิดประกายความคิด ััได้ถึงพรจากฟ้าดิน และสามารถทะลวงไปสู่ขั้นแตกฉานได้สำเร็จ!]
หลี่โม่ “.......?”
เดี๋ยวก่อนสหาย!
หนึ่งปีบรรลุขั้นแตกฉาน ทั้งที่ฝึกวิชาการต่อสู้ที่ไม่สมบูรณ์ นี่คือตัวข้าหรือนี่? ช่างแปลกยิ่งนัก แปลกพิกลเสียจริง
ข่าวดีคือ ในที่สุดเขาก็พบพร์อื่นๆ นอกเหนือจากความหล่อเหลาของตัวเองแล้ว
ข่าวร้ายคือ พร์นี้...มัน…
“แน่นอนว่าความสนใจกับพร์เป็คนละเื่กัน”
“กระบี่ หอก ดาบ ทวน อะไรก็ได้ทั้งนั้น เหตุใดต้องเป็ค้อนด้วยนะ”
หลี่โม่รู้สึกอัดอั้นตันใจ
เขามิอาจใช้ตำราที่ขาดหายนี้ ในการทำความเข้าใจวิชาค้อนจนบรรลุขั้นเข้าถึงแก่นแท้ได้เลยหรือ?
[ป้อนความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ห้าปีสำเร็จ]
[ปีแรก ท่านฝึกฝน ‘สิบสองค้อนกำราบวายุ’ จนบรรลุขั้นสมบูรณ์ แต่เนื่องจากไม่มีส่วนต่อเนื่อง จึงติดอยู่ในขีดจำกัด ไม่สามารถก้าวหน้าได้]
[ปีที่สอง ท่านเริ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ไตร่ตรองถึงแก่นแท้ของวิชาค้อนนี้ และพยายามค้นหาส่วนที่ขาดหายไป]
[ปีที่สาม เส้นทางที่เคยถูกตัดขาด กลับถูกค้นพบหนทางก้าวหน้าอย่างแท้จริง ท่านค่อยๆ เสาะหาหนทาง และสร้างกระบวนท่าที่เก้าและสิบขึ้นมาได้]
[ปีที่สี่ วิชาค้อนนี้ในใจของท่าน เปรียบเสมือนภาพปริศนาที่ขาดเพียงมุมเดียว ท่านรังสรรค์กระบวนท่าที่สิบเอ็ดและสิบสองขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย และได้รับ ‘สิบสองค้อนกำราบวายุ’ ที่สมบูรณ์สำเร็จ ซึ่งดูเหมือนจะเหนือกว่าต้นฉบับเล็กน้อย]
[ปีที่ห้า ‘สิบสองค้อนกำราบวายุ’ ของท่าน ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นเข้าถึงแก่นแท้]
“.....”
หลี่โม่กุมขมับ พลางรู้สึกกังขาในชีวิต
หนึ่งคือ ความเข้าใจในวิชาค้อนมากมายกำลังหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขา
สองคือ...พร์ด้านนี้ของเขา ดูเหมือนจะดีกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก!
ห้าปี!
วิชาการต่อสู้ที่ขาดหาย!
เขากลับสามารถเติมเต็มและฝึกฝนจนบรรลุขั้นเข้าถึงแก่นแท้ได้สำเร็จ!
เมื่อเทียบกับความเชื่องช้าในการเรียนรู้วิชาดาบแล้ว นี่นับเป็การก้าวหน้าอย่างรวดเร็วปานจรวดเลยทีเดียว
“เป็เพราะวิชาค้อนของข้าดีมาั้แ่แรก”
“หรือเป็เพราะได้เป็เ้าของค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ พร์ด้านนี้ถึงได้เพิ่มขึ้น?”
เทพศาสตรามิได้มีเพียงอำนาจแข็งแกร่งเท่านั้น
หลี่โม่รับรู้ถึงค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์ที่อยู่ในมิติเก็บของ แต่ในยามนี้เขามิได้เจาะลึกศึกษา เขายังมิอาจนำศาสตราเทพออกมาใช้ได้ การครุ่นคิดมากไปจึงไร้ประโยชน์
“เติมเต็ม ‘สิบสองค้อนกำราบวายุ’ ให้สมบูรณ์ก่อนเถอะ”
หลี่โม่เดินไปยังศิลาสีเขียวที่ค่อนข้างเรียบแบนก้อนหนึ่ง กางกระดาษลงบนนั้น แล้วจรดปลายปากกาเขียนอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก ตำราวิชาบำเพ็ญกายระดับสูงที่สมบูรณ์ก็ปรากฏอยู่บนกระดาษ
เขานำตราคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์โบราณออกมาประทับลงไป พลันตัวอักษรขนาดเท่าลูกอ๊อดก็ไหลพรั่งพรูเข้ารวมตัวอย่างรวดเร็ว จัดเรียงอักขระขึ้นใหม่
สุดท้าย ชื่อของวิชาการต่อสู้ก็เปลี่ยนไป
‘เจ็ดปฐีปราบนภา’
ยอดวิชาเล่มใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
‘เจ็ดปฐีปราบนภา’ อาจกล่าวได้ว่าเป็เวอร์ชันที่ได้รับการปรับปรุงอย่างก้าวะโ ของ ‘สิบสองค้อนกำราบวายุ’ โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนหลักการสำคัญของเดิม แต่กลับตีความหลักการแห่ง ‘ความช้า’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เน้นการใช้ความช้าเอาชนะความเร็ว และยกของหนักราวกับเบา
เมื่อฝึกจนบรรลุขั้นเข้าถึงแก่นแท้ การโจมตีที่ดูเหมือนจะเบาหวิว ก็สามารถะเิพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ผ่าูเา แหวกสมุทร แยกแม่น้ำ ล้วนมิใช่เื่ยากอีกต่อไป
ไม่ต้องรอช้า
ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์, เริ่มต้น!
ในเวลาเดียวกัน
บนยอดเขาหลักสำนักชิงเยวียน
หลังจากผ่านการทดสอบหลายชุด เหล่าผู้าุโก็เริ่มหารือกัน
ในขอบเขตปราณโลหิต นางก็สามารถใช้พลังแก่นแท้แห่งแสง และแสดงวิชาดาบระดับสูงขั้นเข้าถึงแก่นแท้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ร่างกายของนางผ่านการหลอมรวมด้วยพลังแห่งหยินอย่างยิ่งยวดทุกวัน ความแข็งแกร่งของร่างกายจึงน่าสะพรึงกลัวเป็อย่างมาก นับเป็กระดูกหยกผิวน้ำแข็งอย่างแท้จริง
ส่วนพลังจิติญญาก็แปลกประหลาดกว่าคนทั่วไปโดยไร้ซึ่งสาเหตุอธิบายได้
“พลังต่อสู้ของเสี่ยวปิงเอ๋อร์ ไม่ได้ด้อยไปกว่าขอบเขตปราณภายในเลยแม้แต่น้อย”
“หากมิใช่เพราะสายเืของนางบริสุทธิ์ ข้าคงสงสัยว่านางเป็ร่างแปลงของสัตว์มงคลที่แข็งแกร่งเป็พิเศษเสียอีก”
“ใช่แล้วนางเปิดเส้นชีพจรถึงยี่สิบสี่เส้นโดยกำเนิด ขอบเขตปราณโลหิตของนางเพิ่งจะผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น...”
เหล่าผู้าุโหลายท่านใช้ชีวิตมาเกือบตลอดชีวิต
วันนี้พวกเขากลับรู้สึกจนถ้อยคำ ไม่อาจบรรยายความตกตะลึงในใจที่พรั่งพรูไม่ขาดสายได้
ทว่า สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ นี่ไม่ใช่ทั้งหมดของอิ๋งปิง
นางยังมีพลังหยินยิ่งยวดบางส่วนที่สามารถนำมาใช้ได้
ยังมีแก่นแท้แห่งแสงที่ลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด
และพร์การต่อสู้อันเป็เลิศที่หาผู้ใดเปรียบได้ยากยิ่ง
รวมถึงประสบการณ์และความหยั่งรู้ของจักรพรรดินีหงส์์ในอดีต
เหล่าผู้าุโไม่ทันสังเกตเห็น เช่นเดียวกับอิ๋งปิงที่มิได้ตั้งใจจะเปิดเผยมันออกมา
การแสดงความสามารถของนางในวันนี้ มิได้มีเจตนาจะแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คน เพราะนางมิได้สนใจความคิดเห็นของผู้อื่นมาั้แ่แรกแล้ว
“ข้าอยากลงจากเขา ไปยังเมืองจื่อหยางสักครา”
อิ๋งปิงกล่าวเบาๆ พลางกอดกระบี่ไว้ เสียงอันเยือกเย็นแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน ทำให้เหล่าผู้าุโเงียบไปชั่วขณะ
ซ่างกวนเหวินชางเอ่ยถาม “เ้าจะลงจากเขาไปทำอะไรหรือ?”
“ภารกิจสำนัก”
“มีภารกิจที่ทำในสำนักได้นะ เ้าเองก็ไม่ได้ขาดแคลนคะแนนผลงานนี่”
“น่าจะมีเื่อื่นต้องไปทำใช่หรือไม่?”
เหล่าผู้าุโต่างกล่าวเสริมตามคำพูด
แม้ว่าอิ๋งปิงจะฝึกฝนวิชามาไม่นานนัก ทว่าพลังฝีมือของนางก็แข็งแกร่งถึงขั้นเทียบเท่ากับขอบเขตปราณภายในแล้ว การไปเมืองจื่อหยางจึงไม่น่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรประมาทเป็อันขาด!
อิ๋งปิงไม่ตอบ ถือเป็การยอมรับโดยปริยาย
เซวี่ยจิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะ
“หากเป็เื่ใหญ่ ก็ลองปรึกษาพวกเราดูเถิด พวกข้าผู้ผ่านโลกมานานครึ่งค่อนชีวิต ก็พอจะมีอำนาจพูดในแคว้นจื่อหยางอยู่บ้าง”
“หากเป็เื่เล็กน้อย สู้มอบหมายให้คนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้ไปทำ จะได้ไม่เกิดเื่วุ่นวายตามมา”
“ข้าไม่มี...”
อิ๋งปิงขยับริมฝีปากสีแดงระเรื่อ พลางจะเอ่ยว่าตนมิมีทั้งคนที่ไว้ใจได้และคนใกล้ชิดเลยแม้แต่น้อย
ทว่าในห้วงความคิดของนาง กลับพลันปรากฏภาพเด็กหนุ่มผู้ร่าเริงสดใสผู้หนึ่งขึ้นมาโดยไร้เหตุผล
เขา...น่าจะถือเป็คนที่ไว้ใจได้กระมัง?
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อิ๋งปิงก็พยักหน้า:
“เ้าค่ะ ข้ารับทราบแล้ว”
อีกด้านหนึ่ง
“ฮัดเช้ย!”
เ้าของระบบที่กำลังเดินทางกลับจากน้ำตกสู่ศาลาชิวสุ่ย จามออกมาหนึ่งครั้ง
แปลกจริง
ร่างกายของเขากำยำถึงเพียงนี้ บดขยี้ศิลาเขียวดุจดั่งบดขยี้ลูกพลับ ไฉนยังจะป่วยเป็หวัดได้อีกเล่า?
อืม...
ยังต้องฝึกฝนให้มากขึ้นอีกสินะ
น่าเสียดายที่ในมิติเก็บของ มิอาจใช้ค้อนอุกกาบาตบรรลัยกัลป์มาฝึกฝนร่างกายได้ และก็มิอาจนำออกมาได้ด้วย
การบำเพ็ญกายจึงต้องพักไว้ก่อนชั่วขณะ
“‘เจ็ดปฐีปราบนภา’ ใช้เวลาเพียงยี่สิบปีก็บรรลุขั้นเข้าถึงแก่นแท้แล้ว”
“น่าเสียดายที่วิชาค้อนนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณโลหิตใช้ั้แ่แรก”
“ยามนี้ข้าใช้กระบวนท่าแรกได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น”
หลี่โม่ส่ายหน้าพึมพำ ครุ่นคิดคำนวณพลังของการฟาดค้อนของตนว่าจะมีอานุภาพเพียงใด
อย่างไรเสีย...การฟาดหัวผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปราณภายในให้ตาย คงมิใช่ปัญหาอันใดกระมัง?
สิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนคือ
ยามนี้เขานอกจากศาสตราอทะที่มองเห็น แต่มิอาจใช้ได้แล้ว ก็ยังไม่พบอาวุธค้อนที่ถนัดมือเลย
ตึง—
เพิ่งก้าวเข้ามาในศาลาชิวสุ่ยได้ไม่นาน
รถม้าของเ้าสำนักก็มาถึงหน้าประตูพอดี
เมื่อยัยก้อนน้ำแข็งก้าวลงมา ดวงตานางพลันจ้องตรงมายังเขา
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ข้าอยากให้เ้าช่วยอะไรบางอย่าง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้