ท่าทางของเว่ยจิ้นจงกลับดูผิดปกติ เขาขมวดคิ้วลึกก้มหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
หากเฉินเฟยยอมประนีประนอมคนต่อไปที่หลินเยว่ต้องเผชิญหน้าก็คือเขา เขาก็ควรจะยอมประนีประนอมด้วยหรือเปล่า?หากทำเช่นนี้เป้าหมายที่้าให้เฮ่อฉางเหอสูญเสียชื่อเสียงจนไม่มีที่ยืนก็ไม่มีทางสำเร็จลงได้สำหรับเว่ยจิ้นจงแล้ว ความแค้นที่เขามีต่อเฮ่อฉางเหอก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเฉินเฟยเลยแต่ก่อนเวลาโจมตีหรือเล่นงานเฮ่อฉางเหอก็ล้วนเป็ความร่วมมือกันระหว่างเขากับเฉินเฟยภายหลังเวลาเฮ่อฉางเหอแก้แค้นกลับคืน อีกฝ่ายก็แก้แค้นจนเขาแทบจะไม่มีที่หลบหนีดังนั้น เขาจึงแค้น เขา้าแก้แค้นเฮ่อฉางเหอแต่ทว่าหากไม่กลั่นแกล้งหลินเยว่แล้วเขาจะแก้แค้นเฮ่อฉางเหอได้อย่างไร?แต่หากแก้แค้นเฮ่อฉางเหอโดยการกลั่นแกล้งหลินเยว่แล้วปรากฏว่าทำรุนแรงเกินไปจนเกิดเหตุการณ์เหมือนในตอนนี้ล่ะ?เขาควรจะทำอย่างไรกันแน่? สุดท้ายเขาก็ต้องยอมอ่อนข้อให้หรือเปล่า?
เขาควรจะทำอย่างไรดี???
ทันใดนั้น เว่ยจิ้นจงพลันดวงตาเป็ประกาย ทำไมเขาถึงลืมไปล่ะว่าตนเองเป็กรรมการการให้คะแนนเป็สิทธิ์โดยตรงของเขา เขาไม่จำเป็จะต้องปรึกษากับใครถึงเขาจะถามคำถามง่ายแสนง่ายขนาดไหน แต่เขาก็ยังสามารถหักคะแนนอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอีกหลายๆคะแนนได้ตามใจ หึหึ...... เฉินเฟยนี่โง่จริงๆ ไม่เห็นจะฉลาดเหมือนผมเลย! หากรู้อย่างนี้ั้แ่แรก ผมจะไม่ยอมตามเขาต้อยๆแบบนี้มาหลายปีหรอก นับั้แ่ที่ผมกลายเป็ปรมาจารย์แห่งการพิสูจน์เครื่องเคลือบ ผมก็ควรจะถีบอีกฝ่ายไปไกลๆั้แ่ตอนนั้น!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เว่ยจิ้นจงจึงมองเฉินเฟยอย่างคาดหวังในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเครียดอยู่บ้าง หากเฉินเฟยจู่ๆ เกิดอาการควบคุมตัวเองไม่ได้แผนการของเขาทั้งหมดก็ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง
หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมถอยสักก้าวเถอะ!
เฉินเฟยมองหลินเยว่ด้วยอารมณ์แปรปรวนเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลินเยว่จะเอ่ยปากถอนตัวออกจากการแข่งขันนี่มันเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
หรือว่าเขาจะต้องยอมก้มหัวให้เด็กหนุ่มคนนี้? แต่เขาไม่เต็มใจเลยสักนิด!
หากเขายอมก้มหัวมันก็เป็การเพิ่มคะแนนให้กับหลินเยว่ และการกระทำแบบนี้ก็ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายเดิมที่เขาได้วางแผนไว้
แต่หากไม่ยอมอ่อนข้อให้ แผนการของเขาทั้งหมดคงต้องเป็หมันอย่างแน่นอน!
ทำอย่างไรดี?
เฉินเฟยพยายามวัดผลดีผลเสีย แต่แล้ว...มุมปากของเขาพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้น
ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง คิดว่าผมทำอะไรคุณไม่ได้หรือไง?
เมื่อหลินเยว่เห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของเฉินเฟยหัวใจของเขาเกิดอาการเต้นแรงทันที เขารู้สึกว่ากำลังมีเหตุร้ายเกิดขึ้นยังไม่ทันให้เขาคิดอะไรได้ทัน เฉินเฟยก็เริ่มเอ่ยปาก
“หึ! คุณคิดว่าการแข่งขันครั้งนี้คุณคิดอยากถอนตัวก็ถอนตัวได้เลยหรือ?คุณคิดว่าคุณเป็เด็กกำลังเล่นขายของอย่างนั้นหรือ? คุณคิดหรือเปล่าว่าเพื่อจัดการแข่งขันในครั้งนี้ทางจิ่งเต๋อเจิ้นต้องเสียค่าใช้จ่ายไปตั้งเท่าไรรวมทั้งเ้าหน้าที่ต่างๆ อีก พวกเขาต้องลงแรงไปตั้งเท่าไร?สิ่งเหล่านี้คุณรับผิดชอบไหวหรือ?คุณทำเช่นนี้แสดงว่าคุณไม่เคยเห็นผู้าุโอย่างพวกเราอยู่ในสายตาเลยแสดงว่าอาจารย์ของคุณไม่เคยสอนคุณให้รู้จักเคารพผู้ใหญ่ล่ะสิ! ทำตัวยโสโอหังจริงๆ! หึ!”
เฉินเฟยตะคอกใส่หน้าหลินเยว่ด้วยความโกรธ สิ่งที่เขาพูดดูเหมือนมีเหตุมีผล
“ผมก็แค่้าคำอธิบายเท่านั้นเอง แต่ท่านกลับไม่ยอมอธิบายให้ผมถ้าอย่างนั้นก็โทษผมไม่ได้หรอก อีกทั้งอาจารย์ของผมสอนให้ผมเคารพผู้ใหญ่ แต่ยังไม่เคยสอนว่าผู้ใหญ่รังแกเด็กเป็อย่างไรวันนี้ผมได้เรียนรู้คำนี้แล้วจริงๆ พอพูดถึงจุดนี้ผมก็คงต้องขอบคุณท่านด้วยซ้ำแต่ว่าตอนนี้ผม้าคำอธิบาย ทำไมท่านถึงตั้งคำถามนี้กับผมล่ะครับ?”
ถึงแม้ว่าหลินเยว่จะไม่รู้เลยว่าเฉินเฟยวางแผนร้ายไว้อย่างไรแต่ทว่าเขายังคงพูดตอบด้วยเหตุผล จากปฏิกิริยาเมื่อสักครู่ของเฉินเฟยเขาก็มั่นใจว่าเฉินเฟยไม่อยากให้เขาถอนตัวออกจากการแข่งขัน
“ไม่มีเหตุผลอะไรเยอะแยะหรอกนะในเมื่อคุณบอกว่าคุณตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะตั้งคำถามอีกข้อที่ง่ายกว่าผมจะดูว่าคุณจะตอบได้หรือเปล่า?คุณอธิบายลักษณะเด่นของเครื่องเคลือบในสามยุคทองแห่งราชวงศ์ชิงมาซิคำถามนี้คงไม่ยากใช่ไหมล่ะ หากคำถามนี้ยังตอบไม่ได้แสดงว่าคุณกำลังทำให้คนรุ่นเดียวกันกับคุณต้องอับอายขายหน้า เอาล่ะเริ่มจับเวลาได้แล้ว!”
เฉินเฟยไม่เปิดโอกาสให้หลินเยว่ตอบโต้ เพราะเขาพูดกับเ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องทันที
เ้าหน้าที่ผู้นั้นได้แต่มองเฉินเฟยอย่างเหนื่อยใจแล้วจึงเริ่มจับเวลาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
ละครกำลังสนุกเลย ทำไมจู่ๆ ถึงตัดจบล่ะน่าเสียดาย!
หลินเยว่ก็มองเฉินเฟยด้วยความงุนงง ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเหนือความคาดหมายจริงๆแต่ทว่าเขาก็เข้าใจได้ทันทีนี่เป็วิธีที่อีกฝ่ายพยายามลดความขัดแย้งกับเขาและพยายามเข้าประเด็นหลักให้เร็วที่สุดซึ่งก็แสดงว่าอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ก่อนถึงแม้ว่าเขาไม่รู้ว่าเฉินเฟยจะมีแผนร้ายอะไรอีกรอเขาอยู่ แต่ทว่าสามารถทำให้อีกฝ่ายยอมถอยหลังหนึ่งก้าวก็ทำให้เขารู้สึกถึงชัยชนะแล้ว!
ทำได้ถึงจุดนี้ หลินเยว่ก็รู้สึกพอใจจริงๆ
“เครื่องเคลือบบางส่วนในสมัยคังซีมีลักษณะเด่นเช่น แจกันปั้งฉุย แก้วจินจงลักษณะเด่น 1. แจกัน จาน ชามกระปุก เครื่องเคลือบเหล่านี้ตรงก้นของมันจะมีรอยเป็วงๆ และรอยซึมสีดำเป็จุดๆ 2.ตรงปากเครื่องเคลือบจะมีการเพิ่มตัวเคลือบสีขาวแป้งลงไปซึ่งจะเป็สิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไปทำให้ผู้ที่มองรู้สึกว่ามีความหนาหรือรู้สึกล้นเกินออกมา 3. ตรงบริเวณสีต่างๆ ของเครื่องเคลือบเขียนสีโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เป็สีน้ำเงิน เวลาที่มองจากด้านข้างจะเห็นเป็สีสันหลากสีราวกับประกายหอยกาบพวกเครื่องเคลือบที่เป็รูปทรงมีปริมาตร เช่น จาน ชาม แจกัน กระปุกเหล่านี้สีเคลือบด้านในและด้านนอกจะเหมือนกัน 4. ทรงกระบอกจะให้ความรู้ว่าเป็ทรงเอวคอดตรงส่วนก้นจะไม่ค่อยเป็ระเบียบ และจะเอียงออกด้านนอก 5. พวกแจกัน กระปุกที่เป็เครื่องเคลือบที่มีขากลมนอกจากเครื่องเคลือบที่มาจากเตาเผาหลวงใน่ปลายรัชสมัยที่มีความกลมมนจนได้ชื่อว่า“ผิวหนีชิว” แล้วเครื่องเคลือบจากเตาเผาหลวงตอนต้นรัชสมัยรวมทั้งเครื่องเคลือบจากเตาเผาชาวบ้านจำนวนมากจะมีส่วนขาด้านนอกและด้านในเอียงเข้าหากันจนเกิดเป็ปลายแหลมอีกทั้งตรงบริเวณขามักจะมีรอยตำหนิแตกหัก 6. ......”
หลินเยว่พยายามพูดให้กระชับและได้ใจความที่สุดเพราะเวลาที่เฉินเฟยให้กับเขาไม่มากนัก การพูดคำตอบทั้งหมดภายใน 3 นาทีก็ถือว่าเป็ความท้าทายอย่างยิ่ง
“ลักษณะเด่นของเครื่องเคลือบในสมัยยงเจิ้ง 1. เครื่องเคลือบในสมัยยงเจิ้งนอกจากนิยมลอกเลียนแบบเครื่องเคลือบในสมัยหย่งเล่อ เซวียนเต๋อและเฉิงฮว่าแห่งราชวงศ์ิแล้ว เครื่องเคลือบที่มีรูปทรงโดดเด่นคือเครื่องเคลือบเศียรโค แจกันก้วนเอร่อ......”
“ในสมัยเฉียนหลง......”
“......5.เครื่องลายคราม สีครามสวยงาม มีพลัง ส่วนของใบจะใช้วิธีการแต้มสีด้วยเหตุนี้จึงทำเกิดการไล่สีเป็สีเข้มและสีอ่อน เครื่องเคลือบเขียนสีเฝินไฉ่ตรงขาด้านใต้จะมีสีอ่อนจางออกเหลืองและมีสีเคลือบสีถั่วเขียวส่วนสีทองจะเป็ประกายแวววาว”
“หมดเวลา”
และเวลานี้เองที่หลินเยว่พูดคำว่า “แวววาว”จบพอดี
ในที่สุดก็พูดจบแล้ว หลินเยว่ถอนหายใจออกมาหนักๆเมื่อสักครู่เขาพูดอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่เขาพูดข้อมูลเหล่านี้โดยไม่ได้ผ่านการคิดเลย ทั้งหมดล้วนเป็การหลุดพูดออกมาโดยตรง
เมื่อเห็นว่าหลินเยว่สามารถพูดลักษณะเด่นของเครื่องเคลือบในสามยุคทองแห่งราชวงศ์ชิงออกมาราวกับผู้เชี่ยวชาญพูดเองเพราะเขาพูดได้ละเอียดและถูกต้องมาก ดังนั้น ทุกคนจึงต่างแอบชื่นชมว่า “ดี!” อยู่ในใจ
เพราะบางคนในที่แห่งนี้อาจจะไม่สามารถพูดลักษณะเด่นเหล่านี้ออกมาได้ภายในระยะเวลา3 นาทีด้วยซ้ำเด็กหนุ่มคนนี้เป็คลื่นลูกใหม่ที่ซัดสาดใส่คลื่นลูกเก่าจริงๆ! ไม่ยอมรับก็คงไม่ได้หรอก!
เฉินเฟยพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไอ้หนุ่มหลินเยว่คนนี้มีความโดดเด่นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพียง 3 เดือนเท่านั้นเขาก็สามารถทำได้ถึงขนาดนี้แล้วทำไมเฮ่อฉางเหอถึงได้โชคดีอย่างนี้ล่ะ ตอนนั้นเสี่ยวเหอก็ถูกอีกฝ่ายแย่งไปตอนนี้ลูกศิษย์ที่ดีแบบนี้ก็ยังเป็ของอีกฝ่ายอีก ทำไม์ถึงได้เมตตาเขานัก!
ต่อมา เฉินเฟยก็ตั้งคำถามอีก 1 คำถามและยังคงเป็คำถามที่ต้องตอบอย่างรวดเร็วเหมือนเคย ส่วนหลินเยว่ก็ยังคงตอบออกมาภายในเวลาที่กำหนดอย่างพอดิบพอดี
เมื่อรอให้หลินเยว่ตอบเสร็จ เฉินเฟยก็พยักหน้ารับหลังจากนั้นจึงยกปากกาเขียนตัวเลขบนกระดาษ “3” เมื่อเขียนเสร็จเขาก็รีบพลิกกระดาษคว่ำไว้บนโต๊ะทันทีโดยไม่ยอมให้คนอื่นเห็น
เมื่อเห็นสีหน้าตอนที่เฉินเฟยให้คะแนน มันเป็ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างเ้าเล่ห์และแฝงไปด้วยความชั่วร้ายหลินเยว่ก็รู้ทันทีว่าต้องไม่ใช่เื่ดีอย่างแน่นอน อีกฝ่ายต้องให้คะแนนเขาต่ำเตี้ยเรี่ยดินแต่ทว่านี่ก็ไม่ได้เป็เื่น่าประหลาดใจเลย เพราะมันเป็สิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้