“เ้าหนู ตามข้ามา!” ผู้ทำพิธีคนนั้นกล่าวพลางยิ้มให้เย่เฟิง จากนั้นเดินออกไปยังที่บางแห่ง เย่เฟิงมองตากะพริบปริบ ๆ ก่อนจะตามไป
ครู่ต่อมาเย่เฟิงตามผู้ทำพิธีคนนั้นจนมาถึงริมหน้าผาแห่งหนึ่งของยอดเขาเทพโอสถ เห็นอีกฝ่ายโบกสะบัดมือ ทันใดนั้นมีพลังประหลาดพวยพุ่งออกจากฝ่ามือ แผ่ปกคลุมทั่วพื้นที่ ห้วงอากาศเหมือนเกิดการบิดเบี้ยว นาทีต่อมาประตูมิติปรากฏที่ด้านหน้าของทั้งสอง พร้อมกับมีพลังมิติแผ่ออกมา
เย่เฟิงมองด้วยความประหลาดใจ ฉากนี้ทำให้เขาคิดในใจว่ายอดเขาเทพโอสถแห่งนี้เก็บซ่อนความลับไว้มากแค่ไหนกันแน่ ก่อนหน้านี้แดนลับยอดเขาเทพโอสถก็ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาเป็อย่างมาก บัดนี้ยังมีมิติซ่อนเร้นอยู่ที่ริมหน้าผาอีก
“เข้าไปกันเถอะ!” ผู้ทำพิธีคนนั้นระบายยิ้ม จากนั้นเดินเข้าไปในประตูมิติก่อน เย่เฟิงมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามไปเช่นกัน พลันพลังมิติเข้าปกคลุมร่าง จากนั้นเย่เฟิงและผู้ทำพิธีมาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ทั้งยังมีชายชราสามคนปรากฏตัวในสายตาของเย่เฟิง แม้จะถึงวัยไม้ใกล้ฝั่ง แต่ทุกคนมีพละกำลังดุจพยัคฆ์ั
“เ้าหนู สามคนนี้คือผู้ทำพิธีเหมือนกับข้า” ผู้ทำพิธีคนนั้นกล่าวขณะมองเย่เฟิง แต่สายตาเหลือบไปมองผู้ทำพิธีอีกสามคนอย่างไม่ตั้งใจ ท่าทีของเขายังคงเฉยชาไร้ความรู้สึกใด ๆ
“ผู้เยาว์เย่เฟิงขอคารวะผู้าุโทั้งสาม!” เย่เฟิงโค้งคำนับเล็กน้อยให้ผู้ทำพิธีทั้งสาม เพื่อเป็การแสดงความเคารพต่อผู้าุโ
“เ้าหนูนี่ไม่เลว ชิงนวมรดกของวังเทพโอสถไปได้ เห็นทีตาแก่อย่างพวกเราสี่คนคงต้องช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่แล้ว!” ชายชราผมแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสพลางยิ้มกว้าง ผู้ทำพิธีอีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย ขณะสายตามองสำรวจเย่เฟิงไม่หยุด
“เฒ่าผมแดง ทำไมเ้าดีใจขนาดนี้ ผ่านมาสิบกว่าปีนิสัยบ้า ๆ บอ ๆ ก็ยังแก้ไม่ได้สักที อย่าทำให้เด็กมันกลัวสิ!” ผู้ทำพิธีที่พาเย่เฟิงมาเห็นชายชราผมแดงพูดจาเกินจริงก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก่นด่าอย่างไม่ไยดีเช่นนั้น
“เฒ่าอู๋เ้าก็พอ ๆ กันแหละ ทำหน้าบึ้งทั้งวัน เหมือนกับพวกข้าติดค้างเ้า เ้าหนูนี่ติดตามเ้าคงต้องรู้สึกกดดันมากแน่เลย ข้าก็แค่ทำให้บรรยากาศครึกครื้นเท่านั้นเอง แล้วเ้าจะทำไม?” ชายชราผมแดงได้ยินเช่นนั้นก็โต้กลับทันทีด้วยถ้อยคำรุนแรง ทำให้เย่เฟิงตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น นี่น่ะหรือผู้ทำพิธีวังเทพโอสถที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้?
“เ้าหนูอย่าไปสนใจเลย ตาเฒ่าสองคนนี้ก็ชอบทะเลาะกันแบบนี้อยู่ตลอด จนตอนนี้ก็ยังไม่จบสิ้นเสียที” ผู้ทำพิธีคิ้วขาวเดินมาหาเย่เฟิง ก่อนกล่าวเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว เ้าหนูอย่าไปสนใจเฒ่าอู๋กับเฒ่าผมแดงเลย พวกเขาเป็คนบ้า” ชายชราร่างกำยำอีกคนกล่าวพลางยิ้ม พร้อมกับตบบ่าเย่เฟิง ทว่ามีแรงมหาศาลส่งผ่านมา ราวกับว่ากระดูกจะแตกหักเสียให้ได้ ทำให้เย่เฟิงกัดฟันแน่นพลางคิดในใจว่า “ผู้เฒ่าสี่คนนี้เป็คนโผงผางมาก นี่ช่าง...”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เฟิงต้องแข็งทื่อ มองดูแล้วก็เหมือนตรงข้ามกับความเป็จริง
“ฮ่า ๆ ๆ เ้าหนูทำตัวให้สบายเถอะ ตาแก่อย่างพวกข้าชอบพูดคุยกันแบบนี้แหละ ให้ข้าแนะนำสักหน่อยแล้วกัน” ชายชราร่างกำยำกล่าวอย่างกระตือรือร้น คงเป็เพราะเขาอยู่ในถ้ำนี้มานานเกินไป
“คนที่มีผมแดงคนนั้นคือเฒ่าผมแดง เ้าจงเรียกเขาว่าเฒ่าแดง คนที่พาเ้ามาที่นี่คือเฒ่าอู๋ เห็นว่าเขาชอบทำหน้าบึ้งเช่นนี้ แต่จริง ๆ เขามีจิตใจดี คนที่อยู่ข้าง ๆ คือเฒ่าคิ้วขาว ส่วนข้า เ้าเรียกว่าเฒ่าจ้วงก็พอ” ชายชรากำยำคนนั้นกล่าว
“ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว!” เย่เฟิงพยักหน้า ผู้มากความสามารถที่โบกสะบัดมือก็สามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้อย่างฟู่หยางได้ กลับไม่ถือตัวแม้แต่นิด นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกเกินคาดมาก แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกประทับใจกับผู้ทำพิธีทั้งสี่คนนี้ ยามปกติ ผู้าุโเ่าั้ที่อยู่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ชอบทำตัวสูงส่ง หากเทียบกับสี่คนนี้แล้ว คนเ่าั้ไม่นับเป็สิ่งใดกัน เกรงว่าสี่คนนี้แค่โบกสะบัดมือก็ทำลายพวกเขาให้ย่อยยับได้แล้ว
“ที่นี่คือที่พักอาศัยของผู้าุโทั้งสี่หรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถาม ดูเหมือนจะสงสัยเกี่ยวกับมิติที่ถูกเปิดอยู่ในยอดเขาแห่งนี้
“ใช่แล้ว ที่นี่ไม่ใช่แค่ที่พักอาศัยของพวกข้าทั้งสี่ แต่ยังเป็สถานที่บำเพ็ญเพียรด้วย” ผู้ทำพิธีคิ้วขาวกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นผู้าุโทั้งสี่ก็อยู่ที่นี่มานานแล้วใช่หรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“น่าจะหลายสิบปีแล้ว หากจะนับเป็ตัวเลขพวกข้าก็จำไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ใช่ว่าวังเทพโอสถเจอวิกฤต พวกข้าทั้งสี่คนก็ไม่มีทางเผยตัวเด็ดขาด” เฒ่าจ้วงกล่าว เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย ฝึกฝนมาหลายสิบปีอย่างยากลำบาก ไม่ยุ่งเื่ทางโลก ยิ่งไม่ออกสู่โลกภายนอกเช่นนี้ นี่ต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกันเชียว
เส้นทางแห่งการบ่มเพาะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม เพื่อให้บรรลุความแข็งแกร่งสูงสุดก็ต้องอดทนต่อความยากลำบาก ผู้ทำพิธีทั้งสี่คนนี้อยู่ที่นี่มาหลายสิบปีโดยไม่ออกไปไหน มีใจหนึ่งเดียวคือปิดด่านบำเพ็ญเพียร นี่ถือเป็ความยึดมั่นอย่างหนึ่งในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ เื่นี้ทำให้เย่เฟิงรู้สึกชื่นชมมาก
“ความยึดมั่นของผู้าุโทั้งสี่ทำให้ผู้เยาว์เลื่อมใสยิ่งนัก” เย่เฟิงกล่าวพลางโค้งประสานมือก้มคำนับให้กับผู้ทำพิธีคิ้วขาว เพียงพริบตาความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป ความยึดมั่นที่มีต่อเส้นทางแห่งการบ่มเพาะก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
“ชิงนวมรดกของประมุขทั้งเก้าแห่งวังเทพโอสถมาได้ ความสำเร็จของเ้าจะต้องเหนือกว่าพวกข้า ถึงเวลานั้นที่เ้าไปถึงจุดสูงสุดได้ก็อย่าลืมพวกข้าแล้วกัน” ผู้ทำพิธีคิ้วขาวกล่าว
“ผู้าุโล้อเล่นแล้ว ข้าเย่เฟิงเป็คนไม่ลืมบุญคุณผู้ใดง่าย ๆ” เย่เฟิงกล่าว ด้วยบุญคุณที่ช่วยเขาให้รอดจากเงื้อมมือของฟู่หยาง เขาย่อมตอบแทนอย่างแน่นอน
“ตาเฒ่า หยุดเล่นกับเด็กได้แล้ว ยังไงซะพวกเราสี่คนก็เป็แค่ลูกน้องของเ้าเด็กคนนี้” เฒ่าจ้วงกล่าวกับผู้ทำพิธีคิ้วขาว จากนั้นหันไปมองเย่เฟิง ก่อนกล่าวถามว่า “เ้าหนู ต่อไปเ้าจะวางแผนทำสิ่งใด จะอยู่ที่วังเทพโอสถหรือไม่? ถึงเวลานั้นพวกข้าทั้งสี่คนจะชี้แนะเ้า เ้าต้องกลายเป็ปรมาจารย์วิถีโอสถที่เลื่องชื่ออย่างแน่นอน”
“ข้าคงไม่ไหว” เย่เฟิงยิ้มจาง ๆ และกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์ฝึกอยู่ที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน จึงไม่อยากเลิกกลางคัน เมื่อข้าบรรลุขั้นยุทธ์แท้ หากวังเทพโอสถยังยินดีรับข้า ข้าก็จะกลับมารับตำแหน่งประมุข”
แม้คำเรียกปรมาจารย์วิถีโอสถจะดูน่าเย้ายวนมาก แต่เย่เฟิงยังอยากแสวงหาจุดสูงสุดของเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ หากวันหน้ามีโอกาสเขาก็อยากเรียนรู้วิถีโอสถ ถึงอย่างไรในสมองของเขาก็มีความทรงจำของประมุขวังเทพโอสถทั้งเก้า หากไม่ใช้เลยก็จะเสียเปล่า
ผู้ทำพิธีคิ้วขาวและเฒ่าจ้วงได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็ประกาย ผู้ทำพิธีคิ้วขาวจึงกล่าวกับเย่เฟิงว่า “แบบนี้ก็ดี คนหนุ่มควรหาประสบการณ์ที่โลกภายนอกให้มาก ๆ หากอยู่แต่ในถ้ำนี้ก็คงเหมือนตาเฒ่าอย่างพวกข้าสี่คน”
ขณะเดียวกันเฒ่าแดงและเฒ่าอู๋เดินมาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เป็อย่างที่เฒ่าจ้วงกล่าวไว้เช่นนั้น ทั้งสองทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น ทะเลาะกันทุกวี่วันในระยะสิบกว่าปีมานี้ราวกับกลายเป็ส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาสองคน
“เ้าหนูรับนี่ไป นี่คือป้ายอาญาสิทธิ์ เ้าสามารถระดมกำลังของวังเทพโอสถได้ทุกเวลา แต่ห้ามนำไปใช้ซี้ซั้วเด็ดขาด” เฒ่าอู๋ยังคงหน้าเรียบตึง จากนั้นส่งป้ายอาญาสิทธิ์ที่ทำขึ้นจากหยกเขียวให้เย่เฟิง เย่เฟิงก็รับสิ่งนี้ไป ก่อนพบว่าป้ายอาญาสิทธิ์นี้สวยงดงามมาก ทั้งยังแกะสลักลวดลายเตาหม้อที่เป็สัญลักษณ์ของวังเทพโอสถ
“ผู้เยาว์ขอบคุณท่านผู้าุโ!” เย่เฟิงโค้งคำนับให้เฒ่าอู๋ จากนั้นเย่เฟิงคุยกับผู้ทำพิธีทั้งสี่คนสักพักหนึ่ง ก่อนจะออกจากวังเทพโอสถด้วยการคุ้มกันจากผู้แข็งแกร่ง เมื่อพ้นประตูวังก็พบเงาร่างหนึ่งยืนหลับตารออยู่ที่หน้าประตูเงียบ ๆ
“ไม่คิดว่าพี่แขนเดียวจะรออยู่ที่นี่” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม เขาไม่คิดว่านักดาบแขนเดียวจะรอเขาอยู่ที่หน้าประตู
“ข้าบอกแล้วไงว่าจะติดตามเ้า ก็ต้องรอเ้าสิ” นักดาบแขนเดียวกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งเช่นเดิม
“ข้าต้องกลับไปที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน งั้นเ้าก็ไปกับข้าแล้วกัน” เย่เฟิงกล่าว
“อืม” นักดาบแขนเดียวพยักหน้าและยังคงพูดน้อยคำ จากนั้นทั้งสองมุ่งหน้าไปยังสำนักยุทธ์เทียนเสวียน พวกเขาไม่พูดคุยกันเลยตลอดทาง ไม่นานนักก็ถึงสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แม้ทางสำนักจะเปิดรับสมัครลูกศิษย์จำนวนมากเป็จำนวนหนึ่งครั้งในสามวัน แต่ภายในสำนักก็ยังคงมีแผนกรับสมัคร เย่เฟิงจึงพานักดาบแขนเดียวไปเข้าร่วมการทดสอบเพื่อสมัครเข้าสำนัก ด้วยพร์และความแข็งแกร่งของนักดาบแขนเดียว ทำให้ผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดายและมีสิทธิ์ฝึกฝนอยู่ที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน
หลังจากจัดหาที่พักให้นักดาบแขนเดียว เย่เฟิงก็กลับที่พักของตัวเองและเข้าสู่ห้วงแห่งการบ่มเพาะพลัง บัดนี้เย่เฟิงอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 1 ขั้นพลังเสถียรภาพ แต่ในสายตาเย่เฟิงยังคงต่ำต้อย เขาไร้กำลังต่อต้านเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ ซ้ำยังเกือบถูกฟู่หยางฆ่าตาย อีกอย่างเย่เฟิงในเวลานี้มีศัตรูรอบด้านที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับนี่จ้านเทียน ตู๋กูหลง และอี้ชิง
ตอนอยู่ที่แดนลับยอดเขาเทพโอสถ เย่เฟิงอาจเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์อย่างนี่จ้านเทียนและอี้ชิง แต่นั่นเป็เพราะอีกฝ่ายถูกกดระดับการบ่มเพาะ หากในโลกจริง เย่เฟิงไม่คิดว่าเขาจะต่อต้านนี่จ้านเทียนและอี้ชิงได้ กล่าวได้ว่าเย่เฟิงในเวลานี้จำต้องยกระดับพลังและการป้องกันตนเอง
แสงพลันสว่างวาบ ก่อนในมือเย่เฟิงจะปรากฏของสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือกระดูกปีศาจัที่ได้มาจากเขตเวทีประลองทดสอบของตระกูลตู๋กู เขาได้ฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาถึงขั้นที่ 1 ดังนั้นถึงเวลาสร้างเกราะเทพาแล้ว
“แตกสลาย!” เย่เฟิงกล่าวพร้อมกับอัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือ จากนั้นบดขยี้กระดูกปีศาจัจนแหลกเป็ผง จากนั้นเพียงคิด ดวงตาของเย่เฟิงก็เป็ประกาย และพลังคัมภีร์หล่อกายาเทพาพลันโคจรในหัว
“ตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องทำในการสร้างเกราะเทพา คือดูดซับผงกระดูกปีศาจันี่เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นกลั่นเป็ชุดเกราะ แล้วซ่อนไว้ภายในร่างกาย” เย่เฟิงคิดในใจ เขาจะดูดซับผงกระดูกปีศาจัเข้าสู่ร่างกายตามวิธีที่บันทึกในคัมภีร์หล่อกายาเทพา ตอนนั้นเองพลังหยวนเข้าปกคลุมผงกระดูกปีศาจั ก่อนจะแทรกซึมผ่านรูขุมขนแล้วเข้าสู่ร่างกาย ไหลเวียนผ่านเส้นชีพจรแล้วเข้าสู่จุดตันเถียน ขั้นตอนนี้จะดำเนินไปอย่างเนิบช้า จนกระทั่งเข้าวันที่สองเย่เฟิงจึงจะดูดซับผงกระดูกปีศาจัเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งหมด
“การสร้างเกราะเทพาช่างผลาญพลังและเปลืองแรงยิ่งนัก” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเองพลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แต่เขาก็ไม่หยุดโคจรคัมภีร์หล่อกายาเทพา จากนั้นเริ่มหลอมผงกระดูกปีศาจัในร่างกาย ซึ่งการหลอมผงกระดูกปีศาจัเป็ขั้นตอนที่สำคัญอย่างมาก เพราะเกี่ยวพันถึงการหลอมเกราะเทพาว่าจะสมบูรณ์แบบหรือไม่ ดังนั้นเย่เฟิงจึงระวังตัวเป็พิเศษไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว เขาใช้พลังธาตุไฟค่อย ๆ หลอมผงกระดูกปีศาจัอย่างช้า ๆ ไม่นานตัวเย่เฟิงก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าดูซีดเซียว แต่เขายังคงกัดฟันอดทน
คัมภีร์หล่อกายาเทพาไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกสำเร็จได้ง่าย ๆ การสร้างเกราะเทพาก็แค่จุดเริ่มต้นของทักษะชุดนี้ หนทางของเย่เฟิงต่อจากนี้ยังอีกยาวไกล หากผ่านอุปสรรคนี้ไปไม่ได้ แล้วจะไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางแห่งการบ่มเพาะได้อย่างไร?
เวลาผ่านไปทีละนิด ๆ เมื่อเย่เฟิงจับจังหวะการหลอมผงกระดูกปีศาจัได้ก็ไม่เปลืองแรงมากขนาดนั้น ซึ่งเป็เช่นนี้นานถึงสามวัน จนในที่สุดเย่เฟิงก็หลอมผงกระดูกปีศาจัได้สำเร็จ
“สำเร็จแล้ว!” เย่เฟิงยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาใช้พลังเพ่งมองเข้าไปในร่างกาย ก่อนจะพบว่าผงกระดูกปีศาจัในจุดตันเถียนปรากฏเป็สีแดงเพลิง แฝงด้วยกลิ่นอายของธาตุไฟ หลังจากฟื้นฟูพลังหยวน เย่เฟิงก็เริ่มบ่มเพาะพลังอีกรอบ โดยสร้างเกราะเทพาจากผงกระดูกปีศาจัหลังผ่านการหล่อหลอม
สองมือเย่เฟิงกดที่จุดตันเถียน พลันแสงส่องระยิบระยับรอบกาย จากนั้นพลังหยวนเข้าห่อหุ้มผงกระดูกปีศาจัที่ผ่านการหลอมแล้ว ก่อนจะควบแน่นทีละนิด
ขณะเดียวกัน ณ ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง ข่าวการจากไปของเฒ่าประมุขวังเทพโอสถก่อให้เกิดความวุ่นวาย มีหลายคนรู้สึกเสียใจกับข่าวนี้ มีบางคนก็แอบรู้สึกดีใจเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนแปลกใจคือไม่มีใครรับตำแหน่งประมุขต่อ ทั้งยังมีข่าวลือว่าเซี่ยชิงซานที่รับตำแหน่งผู้าุโใหญ่แทนฟู่หยางจะดูแลวังเทพโอสถเป็การชั่วคราว ไม่หมดเพียงเท่านั้นยังมีข่าวลือว่าชายหนุ่มนามว่าเย่เฟิง เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดในแดนลับยอดเขาเทพโอสถ รวมทั้งนี่จ้านเทียนและอี้ชิง จนกระทั่งได้รับนวมรดกแห่งวังเทพโอสถ
ต่อมาศึการะหว่างสองกองกำลังปะทุที่ยอดเขาเทพโอสถเพราะเย่เฟิงผู้นี้ ฝ่ายเซี่ยชิงซานพ่ายแพ้ แต่การปรากฏตัวของผู้ทำพิธีทำให้สถานการณ์พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นผู้ทำพิธีไล่ทุกคนออกจากยอดเขาเทพโอสถ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าตอบจบเป็อย่างไร เื่นี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง กลายเป็หัวข้อคุยยามว่างที่ดีที่สุด ส่วนนามเย่เฟิงของชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็ครั้งแรกที่ชาวเมืองหลวงได้ยิน
สามวันต่อมามีข่าวลือแพร่ออกมาอีกว่า ฟู่หยางอดีตผู้าุโใหญ่ออกจากวังเทพโอสถ พาครอบครัวของเขาหนีไปในชั่วข้ามคืน แต่เขาไปไหนนั้น ก็ไม่มีผู้ใดทราบได้