“เร็ว! รีบล้อมพวกเขาไว้ อย่าให้พวกเขาหนีไปได้!”
“ไป ล้อมไว้!”
“บนรถมีสาวงาม อย่าให้นางหนีไปได้!”
“พวกเราบุก จับสาวงามไว้ให้ได้ พวกเราล้วนมีส่วนแบ่งกันทั้งสิ้น โอ้... ช่างดีจริงๆ”
บนเนินเขาในป่าต้นไม้รก เสียงมนุษย์ดังขึ้นกึกก้องไปชั่วขณะ ในมือโจรูเาต่างยกมีดดาบและไม้กระบองขึ้นเฮโลกันวิ่งออกไป
ในตาเฉินเผิงเฟยวาววาบความดุดันขึ้นเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว “เร็ว ชักอาวุธขึ้น ปกป้องรถม้า ฆ่าโจรูเาที่บุกเข้ามาโดยมิต้องละเว้น”
“ขอรับ!”
โหยวซานชักกระบี่ออกมาทันที ปกป้องคุณหนูกับสาวรับใช้สามคนภายในรถ “ชักอาวุธขึ้น หากใครกล้าเข้าใกล้รถม้าจัดการฆ่าให้หมดโดยไม่มีข้อยกเว้น!”
“รับทราบ!”
โจรูเามีมือธนูไม่น้อย ยืนอยู่บนเนินเขาที่ไกลออกไปและเริ่มยิงธนูขึ้น
“สวบๆ” ลูกธนูพุ่งผ่านกลางอากาศ ตรงเข้ามาทางรถม้า
องครักษ์รายล้อมอยู่รอบๆ กวัดแกว่งมีดดาบในมือปัดร่วงลงไปทีละดอกๆ แต่ลูกธนูดั่งห่าฝนต้องมีที่พลาดไปบ้าง ม้าหนึ่งตัวถูกยิงเข้ากลางลำตัว ในขณะนั้นจึงร้องโหยหวนและร่วงลงไปบนพื้นทันที
“คุณหนู!” จื่อยู่กอดโหยวอวี่เวยไว้ด้วยความสั่นเทา
เมอเมอหวังกั้นอยู่ด้านหน้าของพวกนาง พลางสั่นเทาไปทั้งตัวแต่กัดฟันอดกลั้นไว้แน่น
โหยวอวี่เวยกอดเล่อเล่อไว้พร้อมกับร้องไห้ด้วยความกังวลเล็กน้อย แต่นางยังลูบคลำคอยพูดปลอบมันอยู่เบาๆ “เล่อเล่อไม่ต้องกลัวนะ พวกองครักษ์โหยวร้ายกาจยิ่งนัก ต้องจัดการไล่คนชั่วไปได้แน่”
“ฉึก” ขณะที่กล่าว เสียงลูกธนูหนึ่งดอกก็ปักเข้าที่กลางเกวียนรถม้า
ทำเอาสามคนที่อยู่ภายในเกวียนรถใกลัวอย่างหนัก ในขณะนั้นน้ำตาของจื่อยู่ก็ร่วงหล่นลงมา
โหยวอวี่เวยขมวดคิ้วแน่น มองข้างหน้าด้วยความกังวลใจ พี่ห้าอยู่ภายในรถด้านหน้าคนเดียว เขาจะไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?
เสียงการเข่นฆ่านอกรถดังไปทั่วทุกสารทิศ เสียงมีดดาบปะทะกันดังเข้าหูไม่ขาด่
แววตากู้ฉีเยือกเย็นท่าทางเคร่งขรึม บนมือกุมคันธนูขนาดเล็ก เตรียมการป้องกันอย่างระมัดระวัง
นี่เป็สิ่งที่บิดาของเขาให้เขาเอาไว้ใช้ป้องกันตัว
มือซ้ายเฉินเผิงเฟยไม่คล่องนัก แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบสำหรับการสังหารพวกโจรูเา โจรูเาจำนวนมากเป็เพียงคนธรรมดาทั่วไปที่ร่างกายแข็งแรง ฝีมือห่างชั้นกับองครักษ์เหล่านี้เป็อย่างยิ่ง พวกเขาเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ในละแวกเมืองใกล้เคียง แต่ส่วนใหญ่เป็เพราะอาศัยสถานการณ์วุ่นวายที่มีคนมากทั้งสิ้น
โจรูเาเหล่านี้เป็สาเหตุของภัยพิบัติและจลาจล เมื่อพวกเขาลงมือขึ้นมา จึงไม่ใจอ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
ที่ไม่ไกลออกไปมีโจรูเาขี่ม้าอยู่สิบกว่าคน เห็นท่าทางเช่นนั้นน่าจะเป็หัวโจกไม่กี่คนของโจรูเา และบ่อยครั้งยังลอบยิงธนูมาทางพวกเขาด้วย ในหมู่องครักษ์มีอยู่สองคนที่ได้รับาเ็จากลูกธนู ม้าก็ถูกยิงตายไปสองสามตัวเช่นกัน
เฉินเผิงเฟยเกิดความโมโหขึ้นอย่างถึงที่สุด เขากวาดตามองสถานการณ์หนึ่งรอบ มีโจรูเาบุกเข้ามารับมีดดาบของเหล่าองครักษ์ไว้ได้เพียงไม่กี่ยก ส่วนรถม้าทางนี้ยังนับได้ว่าปลอดภัย
เขาขานชื่อองครักษ์ออกมาสามชื่อ แล้วพุ่งตรงไปทางหัวโจกโจรูเาสิบกว่าคนที่อยู่ไม่ไกล
กู้ฉีมองออกมาจากซอกม่านรถม้าได้อย่างชัดเจน โจรูเาที่โอบล้อมรถม้าได้ถูกองครักษ์โจมตีจนเหมือนดั่งบุปผาร่วงโรยสายธารน้ำหลั่ง [1] อย่างโเี้ ทำให้เริ่มมีท่าทีค่อยๆ ถอยร่นออกไป แต่ชั่วขณะก็เหมือนจะโอบล้อมไว้อย่างลังเลพร้อมด้วยความขลาดกลัว ไม่กล้าเข้ามาข้างหน้า
กู้ฉีคิดถึงตอนที่อยู่เมืองซีซานขึ้น กลุ่มพ่อค้าเดินทางร่ำไห้อย่างโศกเศร้า ทั่วทั้งูเามีแต่คราบเื จึงเกิดความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อโจรูเาที่เที่ยวเข่นฆ่าคนและปล้นสะดมก่อกวนจิตใจของประชาชนเหล่านี้จนถึงขีดสุด
“อี้เฟิง ทำลายล้างโจรูเาเหล่านี้ให้หมด เหลือพยานไว้สักสองสามคน และคุมตัวไปส่งจวนศาลาว่าการ” ในเมื่อบังเอิญเจอแล้ว เพื่อความปลอดภัยของประชาชนบริเวณใกล้เคียง เพื่อความสงบภายในชายแดนอาณาจักรต้าสยา จะปล่อยพวกเขาไปแล้วทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจไม่ได้อย่างเด็ดขาด กู้ฉีจึงออกคำสั่งไปอย่างเ็า
“ขอรับ คุณชาย!” อี้เฟิงขานรับเสียงหนักแน่น
สถานการณ์พลิกกลับมาอย่างกะทันหัน เดิมทีโจรูเามีท่าทีตั้งใจจะถอยร่นหนีไป แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าองครักษ์มือสังหารโหด จึงทอดทิ้งหมวกเหล็กถอดเสื้อเกราะ [2] วิ่งหนีแตกกระเจิงไปทันที องครักษ์ไล่ล่าโจมตีตลอดทาง ทั้งเสียงร้องโหยหวน เสียงอาวุธ เสียงก่นด่าด้วยความเดือดดาล เสียงร้องขอความเมตตาผสมเข้าอยู่รวมกัน
เฉินเผิงเฟยนำองครักษ์พุ่งเข้าไปกลางหัวโจกโจรูเาที่กำลังขี่ม้า หนึ่งดาบบั่นศีรษะของโจรูเาหนึ่งคน เืและเนื้อที่สาดกระเซ็นทำเอาโจรูเาบริเวณโดยรอบใกลัว พากันแตกกระเจิงดั่งฝูงนกทันที
หลายปีมานี้เฉินเผิงเฟยติดตามกู้ฉีวิ่งไปกลับเอ้อโจวกับเมืองหลวงอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด ที่เดิมทีพละกำลังและทักษะต่างๆ อยู่ในสถานการณ์คอขวดไม่สามารถปลดปล่อยทะลุทะลวงออกมาได้ แต่พลังในขณะนี้กลับสูงขึ้นมาก การรับมือกับโจรูเาเหล่านี้เลยเป็เื่ง่ายนิดเดียว
ดังนั้นจึงเห็นดาบของเขารวดเร็วดังฟ้าแลบ หมุนควงไม่กี่รอบ พวกโจรูเาบนหลังม้าก็ร่วงหล่นลงพื้นไปทั้งหมด ต่างร้องอย่างน่าเวทนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“อุดปากแล้วมัดไว้!”
เหตุการณ์ทางพวกเขาปรากฏสู่สายตาของโจรูเาบริเวณใกล้เคียง จึงพากันใจนขวัญหนีดีฝ่อ โจรูเาที่เหลือรอดไม่หลงเหลือความฮึกเหิมที่อยากจะต่อสู้อีก ล้วนละความคิดเดิมและคิดหลบหนีไปจากที่แห่งนี้
กู้ฉีมองสถานการณ์โดยรอบจากหน้าต่าง แล้วจึงเปิดเกวียนออกะโลงจากรถม้า รีบเดินไปทางรถม้าด้านหลังทันที
“อวี่เวย เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม?”
“พี่ห้า!” ประตูรถม้าถูกเปิดออก โหยวอวี่เวยส่งเล่อเล่อให้กับจื่อยู่ ส่วนตนเองพรวดออกจากเกวียนลงมาทันที
“พวกเ้าไม่ได้เป็อะไรใช่หรือไม่?” กู้ฉีหันไปสังเกตนางอย่างละเอียดอยู่สองสามรอบ พอแน่ใจแล้วว่านางไม่ได้เป็อะไรจึงผ่อนลมหายใจลง
“พวกข้าไม่ได้เป็อะไร พี่ห้า ท่านไม่ได้าเ็ใช่ไหม?” โหยวอวี่เวยลงจากรถม้า และมองพิจารณาเขาขึ้นลงซ้ายขวาหนึ่งรอบเช่นกัน
กู้ฉีขบขัน ดึงนางให้หยุดนิ่ง “ข้าไม่ได้รับาเ็อะไร โจรูเาเหล่านี้ล้วนเป็พวกเสเพลที่มารวมตัวกัน ไม่เป็โล้เป็พาย บังเอิญเจอกับพวกเราครั้งนี้ก็เก็บกวาดทั้งหมดเสียหน่อย จะได้ไม่สร้างความหายนะให้กับประชาชนอีก”
“อื้มๆ จัดการพวกเขาทั้งหมดแล้ว จะได้กวาดล้างถนนให้ประชาชนที่เดินทางผ่านไปมาด้วย” โหยวอวี่เวยฉีกยิ้มกว้างใส่เขา ทั่วทั้งดวงตาล้วนทะลุความเบิกบานใจมีความสุขออกมา
กู้ฉีตกตะลึงเล็กน้อย ความห่วงใยที่แสดงออกมาในคำพูดนั้น ทำให้ในใจเขารู้สึกคลุมเครือขึ้นทันที ราวกับมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกจุกอยู่ที่หน้าอก
โหยวอวี่เวยเห็นใบหน้าสง่างามและดูสดชื่นของเขามีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้านางจึงเผยออกมามากขึ้นตามไปด้วย
แสงสว่างที่ยังพอหลงเหลืออยู่ทำให้เหลือบไปเห็นเื้ัของกู้ฉีด้วยความไม่ตั้งใจ รูม่านตาของโหยวอวี่เวยหดเกร็งทันที
“ระวัง!” พร้อมกันกับเสียงใสที่ะโขึ้น โหยวอวี่เวยได้โผไปทางกู้ฉี
“ฉึก” ลูกธนูจมเข้าเนื้อ พาให้เืสีแดงสดไหลลงมาเป็สาย
“อวี่เวย!”
“คุณหนู!”
“คุณหนูสกุลโหยว!”
ไหล่ข้างซ้ายของโหยวอวี่เวยเจ็บแปลบอย่างรุนแรงขึ้นพักหนึ่ง นางครางเสียงต่ำออกมาหนึ่งที ร่างกายเอียงไปด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว
กู้ฉีคว้านางเข้ามาไว้ในอ้อมอกทันที ดวงตาจ้องไปยังที่มาของลูกธนูด้วยความเดือดดาล โจรูเาหลบอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งอย่างลับๆ ล่อๆ ในมือถือธนูอยู่คันหนึ่ง
“เอาตัวมันมา!” กู้ฉีตวาดเสียงคับแค้นใจ
“ขอรับ!” องครักษ์สองคนรีบรับคำพร้อมออกไปทันที
โจรูเาเห็นดังนั้นจึงสาวเท้าวิ่งไปทางป่าเขา
“ว้าย คุณหนู! คุณหนู! ท่านเืไหลเยอะมากเลยเ้าค่ะ คุณชาย คุณหนูถูกธนูยิง ท่านรีบช่วยคุณหนูด้วยนะเ้าคะ!” จื่อยู่เห็นกับตาตัวเองว่าโหยวอวี่เวยโดนลูกธนูยิงเข้ามาอย่างจังจึงใจนใบหน้าขาวซีด นางวางเล่อเล่อลงหลังจากนั้นทั้งกลิ้งและปีนลงจากรถม้า
เมอเมอหวังใจนสองขาอ่อนยวบ ไม่สามารถยืนขึ้นได้ชั่วขณะ
“อวี่เวย… อวี่เวย… เ้าเป็อย่างไรบ้าง? เจ็บมากใช่ไหม? เ้าอดทนไว้หน่อย พวกเราจะไปหาท่านหมอกันเลยตอนนี้” กู้ฉีริมฝีปากสั่นเล็กน้อย กล่าวปลอบโยนเสียงเบา
“…พี่ …ห้า ข้าไม่เจ็บ ท่าน… ไม่ได้รับาเ็ใช่ไหม…” โหยวอวี่เวยหอบหายใจ พิงอยู่บนหน้าอกของกู้ฉี กลิ่นกายของเขาอบอวลอยู่ใกล้จมูกอย่างยิ่ง นางรู้สึกมีความสุขไปชั่วขณะ ความเ็ปบนไหล่ด้านหลังไม่ได้บรรเทาความสุขที่มีอยู่ในใจลงไปเลยสักนิด
เบ้าตากู้ฉีแดงก่ำขึ้นมาทันที เด็กสาวผู้นี้เอาตัวเองมาขวางธนูแทนเขา แล้วยังเป็ห่วงว่าเขาจะได้รับาเ็หรือไม่อีก
เขาอุ้มนางขึ้นอย่างระมัดระวัง เดินไปทางรถม้าของตนเอง
“เผิงเฟย เ้าคอยจัดการเื่ตรงนี้ ข้าจะพาโหยวอวี่เวยไปหาท่านหมอที่เมืองซงไถ”
“ขอรับ คุณชาย ท่านโปรดวางใจ” เฉินเผิงเฟยก็เห็นฉากที่โหยวอวี่เวยโดนลูกธนูยิงเช่นกัน เขาน้อมรับคำสั่งทันที “จับกุมโจรูเามาให้หมด หากผู้ใดต่อต้านฆ่าได้โดยไม่ต้องละเว้น!”
“รับทราบ!”
โหยวอวี่เวยถูกลูกธนูยิง ในฐานะที่โหยวซานเป็องครักษ์ของสกุลโหยว รู้สึกว่าตนเองบกพร่องต่อหน้าที่อย่างถึงที่สุด จึงขมวดคิ้วเป็ปมและออกคำสั่งต่อองครักษ์ของสกุลโหยวให้ปกป้องรถม้าของกู้ฉีที่มุ่งหน้าไปเมืองซงไถ
...สายลมฤดูใบไม้ร่วงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แห้งแล้งและหยาบกระด้าง พาให้กลิ่นเน่าผุของใบไม้แห้งกับกลิ่นฝุ่นดินโชยคลุ้ง
แม้หลัวจิ่งจะอยู่ที่นี่มาสามปีกว่าแล้ว แต่ยังคงไม่ชอบกลิ่นอายของทิศตะวันตกเฉียงเหนืออยู่เหมือนเช่นเดิม
จากการโจมตีเมืองในาครั้งที่แล้ว กองกำลังพันธมิตรของชาวตาตาร์กับหว่าชื่อได้รับความสูญเสียไปไม่น้อย สองวันมานี้จึงได้ยุติการโจมตีลง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีก
ข่าวที่มาจากทางเมืองเฉียนตง สองฝ่ายต่างเผชิญหน้ากันอย่างทัดเทียมไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ ฝ่ายโจมตีและฝ่ายตั้งรับต่างฝ่ายต่างก็มีผู้าเ็และล้มตาย
แต่ด้วยฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา และเสบียงของตาตาร์กับหว่าชื่อมีจำกัด ทำให้าใหญ่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จากการจู่โจมยามราตรีในครั้งก่อนของหลัวจิ่ง ทำให้พวกเขาสูญเสียเสบียงไปมหาศาล หากภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ไม่สามารถโจมตีกำแพงเมืองลงได้ และกองหนุนกับเสบียงของพวกเขาจัดหาไม่เพียงพอได้ทัน คงต้องถอนทัพกลับไปด้วยความหดหู่สิ้นหวัง
หลัวจิ่งได้ส่งหลัวสือซานออกเดินทางจากประตูเมืองทางใต้ไปเอาน้ำมันดำกลับมาเพิ่ม เพื่อเตรียมความพร้อมให้เพียงพอก่อนจะเกิดาครั้งใหม่
หานสี่แสดงออกว่าพึงพอใจต่อหลัวจิ่งเป็อย่างมาก ตำแหน่งของเขาที่เป็ตำแหน่งกุยเต๋อหลางเจียงขั้นห้าได้ะโขึ้นมาเป็กุยเต๋อหลางเจียงขั้นที่สี่
อายุสิบหกปีก็เลื่อนขั้นมาเป็ขุนพลขั้นสี่ หลัวจิ่งเป็ตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จของวัยเยาว์นัก ในกองกำลังเหล่าทหารกล้าแต่ละนายล้วนพากันอิจฉาเขาไม่หยุด
ตัวหลัวจิ่งเองกลับไม่ได้สนใจ เขาในยามนี้กำลังบีบจดหมายในมือ จ้องแล้วจ้องอีก
กู้ฉีผู้นั้นวิ่งไปหมู่บ้านวั้งหลินอีกแล้ว!
เขาคิดจะทำอะไร? ไม่ใช่ว่าเขามีลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นแล้วหรือ? เหตุใดยังเอาแต่วนเวียนอยู่รอบตัวเจินจูไม่หยุดอีก?
หลัวจิ่งขบฟันดังกรอด เ้าหนุ่มป่วยอ่อนแอผู้นี้ ล้วนไปหมู่บ้านวั้งหลินทุกปี แม้เขาจะรู้อยู่เช่นกันว่าลำดับศักดิ์ในวงตระกูลดั่งเช่นจวนสกุลกู้นั้น จะไม่มีทางอนุญาตให้กู้ฉีแต่งกับเด็กสาวจากครอบครัวชาวนาได้เด็ดขาด ทว่าหากมันเกิดขึ้นได้ล่ะ
เขาอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมาเป็เวลาสามปีแล้ว เมื่อคำนวณขึ้นมา ปีหน้าเด็กสาวผู้นั้นก็น่าจะอายุสิบห้าปีแล้วกระมัง ถึงอายุที่ต้องพูดคุยเื่การแต่งงานพอดี
หลัวจิ่งใจหวิวเล็กน้อย เขาพอมีโอกาสที่จะจูงมือของนางได้ไหมนะ?
เวลาสามปี เื่ราวอาจเปลี่ยนไปมากมาย นางไม่เคยให้คำมั่นสัญญาด้วยวาจากับเขาเลย ไม่เคยแม้กระทั่งแสดงท่าทีว่าชอบพอต่อเขาเลยด้วย
แต่เขารู้ว่านางไม่ได้เกลียดชังเขา สายตาที่นางมองมาบางครั้งก็พรั่งพรูความชื่นชอบเล็กน้อย บ้างก็มีความไม่ชัดเจนนิดหน่อย บ้างก็มีความลังเลอยู่บ้าง เวลาส่วนใหญ่กลับเป็ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความบริสุทธิ์ใจทั้งสิ้น
นางมักมองบนใส่เขา แลบลิ้นใส่เขา ทำหน้าตาล้อเลียนใส่เขา พูดจาตามอำเภอใจสบายอารมณ์
ความเ็าและห่างเหินบนใบหน้าของเขา นางไม่เคยเก็บไปใส่ใจเลยสักครั้ง นางมักชอบเรียกเขาว่า “ยู่เซิงๆ” ทั้งที่เห็นกันอยู่ว่าเขาอายุมากกว่านางสองปีแท้ๆ
เขาคิดว่านางน่าจะชอบเขาอยู่บ้าง แต่นางชื่นชอบชีวิตอิสระเสรีมากยิ่งกว่า นางไม่ชอบชีวิตที่ผูกมัด ดังนั้นสายตาของนางจึงมีความไม่ชัดเจนและมีความลังเลอยู่ในนั้น
ทันใดนั้นในหัวใจของหลัวจิ่งราวกับถูกน้ำอุ่นโอบอุ้มเข้ามา ทั้งอบอุ่นทั้งอ่อนโยน
หากนางชอบเขา! ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาสุขใจได้มากไปกว่าผลสรุปนี้แล้ว
หลัวจิ่งวางจดหมายในมือลง หยิบขลุ่ยไม้ไผ่สีเหลืองอ่อนออกมาจากหัวเตียงนอน นำเข้ามาใกล้ริมฝีปาก
เสียงขลุ่ยบรรเลงสูงต่ำผ่อนคลายดังก้องอยู่ในลานบ้านส่วนตัวธรรมดาหลังหนึ่งของเมืองถงหลินฝั่งเหนือ
เสียงขลุ่ยเอื้อนยาว ทำนองเบาสบาย ััได้ถึงความรู้สึกของคนเป่า นั่นคือความคิดถึงที่ลอยละล่องบางเบาไปในสายลม
หนึ่งบทเพลงจบลง มุมปากหลัวจิ่งยกยิ้มขึ้น
ขอแค่นางชอบเขา อุปสรรคที่ขวางกั้นทั้งหมดนั้น เขาล้วนกวาดออกไปให้เรียบทั้งหมดเพื่อนางได้
ดวงตาสว่างไสวของหลัวจิ่งเปล่งประกายอยู่ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด แสดงความแข็งแกร่งและเฉียบคม
ตอนนี้... เื่ที่ควรจัดการมากที่สุด คือากับชาวตาตาร์และหว่าชื่อ
หากาหยุดลง เขาจึงจะสามารถลาพักกลับไปหมู่บ้านวั้งหลินได้
ใช่สิ... เขาควรกลับไปสักรอบ หากไม่กลับไปนางคงจะลืมเขาจนหมดสิ้น
เมื่อทำการตัดสินใจแน่นอนได้เช่นนี้ หลัวจิ่งที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสืออยู่นานก็ยกพู่กันขึ้นขีดเขียนไปบนกระดาษเซวียนจื่อ เริ่มขบคิดสารพัดวิธีที่จะสามารถตีทหารศัตรูให้ถอยร่นกลับไป
เชิงอรรถ
[1] บุปผาร่วงโรยสายธารน้ำหลั่ง หรือ 落花流水 หมายถึง การอุปมาว่าแพ้อย่างราบคาบ
[2] ทอดทิ้งหมวกเหล็กถอดเสื้อเกราะ หมายถึง การพ่ายแพ้และวิ่งหนีไปอย่างจนตรอก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้