คนขับรถม้าประสานฝ่ามือกุมหมัดคารวะหลิ่วจิ้ง“ฮูหยินไม่ใใช่หรือไม่ขอรับ”
หลิ่วจิ้งสังเกตดูคนขับรถม้า “เ้าเป็คนของท่านแม่ทัพหรือ?”
“เรียนฮูหยิน ใช่ขอรับ” คนขับรถม้าก็ไม่คิดจะปิดบังหลิ่วจิ้ง การที่เขาแสดงฝีมือไปเมื่อครู่หากไม่อธิบายแล้วจะทำให้หลิ่วจิ้งวางใจได้อย่างไร
“ขอบใจเ้า วันนี้โชคดีจริงที่ได้พบเ้า หาไม่แล้วพวกเราก็มิอาจรู้เลยว่าจะได้เห็นดวงอาทิตย์วันพรุ่งหรือไม่”ที่สุดยามนี้หลิ่วจิ้งก็โล่งใจได้ นางได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกๆ ดังขึ้นมาเมื่อครู่ไม่ได้รู้สึกกลัว แต่เพิ่งจะมากลัวเอาตอนหลังนี้เอง
“พวกเ้าไม่ได้ใกันใช่หรือไม่”หลิ่วจิ้งมองไปยังสาวใช้ทั้งสองคนของนางที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดคงใกันไม่เบาทีเดียว
“พอไหวเ้าค่ะ ขอบคุณฮูหยิน” อวี้จิ่นตั้งสติได้ก่อนส่วนอิ๋งเหอยังคงใจนถึงตอนนี้ก็ยังพูดอะไรไม่ออก
“เอาล่ะ ไม่ต้องกลัวแล้ว ไม่เป็ไรแล้ว”หลิ่วจิ้งตบไหล่ปลอบอิ๋งเหอ
ส่วนเด็กหนุ่มยังคงนั่งเงียบอยู่ที่มุมหนึ่งภายในรถ ราวกับเป็รูปสลักเหมือนของประดับที่ไม่มีตัวตน
“เ้าเล่า เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่?” สีหน้าของหลิ่วจิ้งเต็มไปด้วยความเป็ห่วง
เด็กหนุ่มเอาแต่มองไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ไม่ยอมตอบคำ
ยามนี้อิ๋งเหอพอจะสงบใจลงได้บ้างแล้ว จึงหันไปถลึงตาอย่างดุดันใส่เด็กหนุ่ม“ไม่รู้ความจริงๆ เสียแรงที่ฮูหยินจ่ายเงินทองตั้งมากมายเพื่อช่วยเ้า”อวี้จิ่นรีบกระตุกแขนเสื้ออิ๋งเหอ “ไม่ต้องพูดแล้ว”
อวี้จิ่นพอจะมีประสบการณ์มากกว่าอิ๋งเหอ มองออกว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นคงเคยถูกทรมานมาก่อนจึงไม่ชอบสนทนากับผู้คน
หลิ่วจิ้งมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ เหมือนเป็น้ำที่ไหลนิ่งไม่ได้รู้สึกโกรธ เฮ้อ ไม่รู้ว่าที่นางช่วยคนผู้นี้กลับมาจะถูกหรือผิดกันแน่
“ฮูหยินขอรับ จะกลับจวนตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ”คำพูดของคนขับรถม้าเข้ามาขัดจังหวะความคิดของหลิ่วจิ้ง
ขณะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล ทุกคนพากันตื่นตระหนกคงมิใช่ว่าสามคนที่เพิ่งจากไปกำเริบถึงขั้นเรียกพวกพ้องแล้วรีบกลับมาอีกครั้งหรอกนะ
คนขับรถม้าลุกขึ้นยืนมองไปไกลๆ เมื่อเขาเริ่มมองเห็นหน้าตาของผู้ที่มาได้ชัดเจนจึงยิ้มพลางเอ่ยอย่างวางใจว่า “ฮูหยินไม่ต้องกลัวขอรับ เป็คนของเราเอง”
ได้ยินคำของคนขับรถม้า ทุกคนบนรถจึงค่อยวางใจลงได้
“หยุด…” เสียงคนที่มาร้องให้ม้าหยุดดังขึ้นหลายครา
“จงอู่”
“จ้าวเฉิง จ้าวฉวน”
คนที่มาเอ่ยคำทักทายกับคนขับรถม้า
หลิ่วจิ้งนั่งมองพวกเขาคารวะกัน ที่แท้คนขับรถม้ามีนามว่าจงอู่
“เฉิง ฉวน เหตุใดพวกเ้าสองคนจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”พอจงอู่เอ่ยปาก หลิ่วจิ้งก็รู้สึกว่าน่าขำนัก เรียกผู้อื่นเช่นนี้ก็ได้ด้วยว่าไปก็ง่ายดี แม้แต่แซ่ก็ละเอาไว้
หลิ่วจิ้งหารู้ไม่ว่าจ้าวเฉิงและจ้าวฉวนเป็พี่น้องกันและเป็คนบ้านเดียวกันกับจงอู่ เพื่อให้เรียกขานได้สะดวกเมื่อพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันจงอู่ก็จะเรียกพวกเขาเช่นนี้
“พวกข้ารับคำสั่งจากท่านแม่ทัพให้ตามหาสตรีสามนางพี่น้องเราตามหาจนแทบทั่วเมืองแล้วยังไม่พบคน ข้าจึงออกมาตามหานอกเมือง”จ้าวเฉิงเอ่ยพลางเอาศอกกระทุ้งจ้าวฉวน
จ้าวฉวนมองตามสายตาของจ้าวเฉิงไปที่หลิ่วจิ้งเสื้อผ้าสีเหลืองแซมเขียว เทียบแล้วก็ค่อนข้างตรงกับรูปพรรณเพียงแต่สองมือของสตรีผู้นี้ถูกแขนเสื้อปิดเอาไว้จึงมองไม่เห็นว่านางสวมกำไลหรือไม่ ทางด้านจงอู่ถามกลับด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ท่านแม่ทัพให้พวกเ้าหาสตรีที่มีลักษณะเช่นใด?”
“เป็สตรีที่สวมชุดเหลืองแซมเขียวผู้หนึ่ง สวมกำไลสีแดง เขียว ขาวชมพูที่แขน”
จ้าวเฉิงพูดตามสิ่งที่หั่วอี้บอกมาทีละคำๆ
“ไม่ทราบว่าคนที่พวกท่านตามหาอยู่เป็ข้าหรือไม่” หลิ่วจิ้งยืนขึ้นพลางยื่นมือของนางออกจากแขนเสื้อให้กำไลต้องแดดจนสะท้อนออกมาเป็ลำแสงหลากหลายสี
จ้าวเฉิงกับจ้าวฉวนสองคนหันมามองหน้ากันคราหนึ่ง นิ่งคิดสักพักแล้วพยักหน้าเห็นทีว่าคงจะใช่แล้วกระมัง
“คงจะใช่กระมัง” รูปพรรณที่ท่านแม่ทัพบอกมาทั้งสองข้อล้วนตรงหมดอย่างไรก็รายงานท่านแม่ทัพให้ทราบก่อนจะดีกว่า หากว่ายังไม่ใช่ พวกเขาคงต้องออกไปตามหาต่อใน่ที่ยังมีแสงสว่างอยู่
จ้าวเฉิงเอาสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายขลุ่ยออกมาจากในอกเสื้อ เมื่อดึงจุกออกก็มีประกายไฟสีแดงพุ่งขึ้นไปกลางอากาศจากนั้นแตกกระจายออกดั่งพลุไฟ
สิ่งนี้คือไฟสัญญาณหรอกหรือ หลิ่วจิ้งมองไปบนท้องฟ้าด้วยความสงสัย
ไม่นานนักก็มีแสงสีเขียวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือฟากฟ้าภายในตัวเมืองเป็แสงวิบวับจากไกลๆ ที่เหมือนเป็การตอบกลับแสงสีแดงที่จ้าวเฉิงส่งออกไปเมื่อครู่
“ท่านแม่ทัพได้รับสัญญาณแล้ว เมื่อพวกเราเดินทางย้อนกลับไป ท่านแม่ทัพก็จะต้องเดินทางมาพบแน่”จ้าวเฉิงว่าพลางหันหัวม้าออกเปิดทางให้ รอจนจงอู่บังคับให้ม้าเดินไปข้างหน้าแล้วพวกเขาสองคนจึงขี่ม้าตามหลังไปติดๆ
หลิ่วจิ้งทบทวนอยู่ในใจตลอดเวลาที่อยู่ภายในรถ หั่วอี้ส่งคนออกตามหานางไปทั่วนี่มันเป็ลูกไม้ใดกันอีกมิใช่เขาสนทนากับสตรีชุดแดงนั่นอย่างเบิกบานใจอยู่หรอกหรือ? เหตุใดเพียงพริบตาเดียวก็ส่งคนออกมาตามหานางอีกแล้วนางก็แค่เดินเล่นไปทั่ว เวลาแค่ครึ่งวันคงไม่ต้องถึงกับทำให้เป็เื่ใหญ่โตจนถึงขั้นส่งคนจากกองทหารออกมาตามหากระมัง
รถม้าเพิ่งจะเดินทางไปได้ครึ่งทางก็เห็นว่าข้างหน้ามีฝุ่นตลบคลุ้งไปหมดพร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าที่วิ่งเข้ามาหาแต่ไกลทั้งคนและม้ากองหนึ่งขยับเข้ามาหาด้วยความเร็ว
“หยุด…” จงอู่หยุดรถม้า ส่วนหลิ่วจิ้งชะโงกหัวออกไปมอง
คนที่มาข้างหน้ามีประมาณสิบกว่าคนและคนที่ขี่ม้าอยู่หน้าสุดก็คือหั่วอี้
สายตาของหลิ่วจิ้งและหั่วอี้ประสานกันมาแต่ไกลแสงตะวันสาดลงบนตัวเขา ลำแสงจ้าตาทำให้ใบหน้าของเขาถูกบดบังอยู่ใต้ลำแสงสีทองทอประกายประหนึ่งเทพลงมาสู่โลกมนุษย์ ทำเอาหลิ่วจิ้งมองจนเหม่อ
“ท่านแม่ทัพ!” จงอู่ลุกขึ้นคำนับจ้าวเฉิงกับจ้าวฉวนก็ขยับม้าเข้าไปหาพร้อมกับคำนับเขา
หั่วอี้ร้องขึ้นด้วยเสียงดังกังวานเปี่ยมพลังว่า “ไม่ต้องมากพิธี”เขาตอบรับ ทว่ากลับมิได้มองไปทางพวกของจ้าวฉวน หากแต่ยังคงไม่ละสายตาจากตัวของหลิ่วจิ้งแม้แต่น้อย
“คารวะท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพมาที่นี่ได้อย่างไรเ้าคะ”หลิ่วจิ้งถูกเขามองท่ามกลางสายตาของธารกำนัลเช่นนี้จนรู้สึกขัดเขินเต็มทน แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจว่ามีดวงตาตั้งหลายคู่กำลังจับจ้องอยู่
ทันใดนั้นหั่วอี้ก็ะโลงจากหลังม้าและมุ่งตรงมาที่รถม้า ก่อนจะอุ้มตัวหลิ่วจิ้งแล้วะโกลับไปบนหลังม้าอีกครั้ง
“ไป!” หั่วอี้อุ้มหลิ่วจิ้งพลางหวดม้าให้วิ่งไป ทิ้งให้ผู้คนที่เหลืออยู่ต่างหันมองหน้ากันไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดี
การกระทำของหั่วอี้ทำให้ทุกคนตะลึงงันองครักษ์ลับที่ผจญลมเผชิญเพลิงกับเขามานานปี จะมียามใดที่เคยพบเจอด้านอ่อนโยนเช่นนี้ของท่านแม่ทัพมีคราใดบ้างที่เห็นพวกเขาแล้วจะไม่ถามว่าการฝึกไปถึงขั้นใดแล้วทำดีกว่าผลการฝึกที่ผ่านมาบ้างหรือไม่
ท่านแม่ทัพในสายตาของพวกเขา นอกจากการประมือกัน ดื่มสุราคำโตๆระหว่างบุรุษกันแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอื่นอีกจ้าวเฉิงจ้าวฉวนเริ่มจะเข้าใจถึงสาเหตุที่ท่านแม่ทัพยอมให้พวกเขาเปิดเผยตัวและส่งพวกเขาออกมาแล้วนั่นก็เพราะพวกเขาแฝงตัวอยู่ในตลาดมานานปีการให้พวกเขาตามหาคนในย่านร้านรวงย่อมไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมไปกว่าพวกเขาอีก
ไม่รู้จริงๆ ว่าสตรีผู้นี้มีสิ่งใดเหนือผู้อื่น จนถึงขั้นทำให้ท่านแม่ทัพยอมแหกกฎเกณฑ์ต่างๆเพื่อนางได้
_____________________________
