หานไท่ฟู่แค่นหัวเราะเสียงเย็นกวักมือให้กับชายหนุ่มในชุมนุมหมากล้อมคนหนึ่ง “โยนพวกเขาทั้งสองคนออกไปเดี๋ยวนี้! ชุมนุมหมากล้อมเป็สถานที่ให้คนมาแลกเปลี่ยนความรู้ในการการเดินหมาก ไม่อนุญาตให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา!”
“ทั้งสองท่าน เชิญเถิด!” ชายหนุ่มผายมือส่งแขก
มู่ชิงเซียวมองเฟิ่งเฉี่ยนและพูดอย่างจนใจ “เฉียนเฉี่ยน ไม่สู้พวกเราลองคิดหาวิธีอื่นดีหรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้า นางกระซิบกระซาบ “ท่านได้ยินคำพูดของหลิวต้าซือแล้ว ทั้งเมืองมู่หยาง มีเพียงแมวเทพสองหางของหานไท่ฟู่ที่มีความเป็ไปได้ว่าจะบำเพ็ญตนจนกลายเป็แมวเทพสามหาง หากพวกเราละทิ้งโอกาสนี้ย่อมเท่ากับละทิ้งโอกาสสุดท้าย!”
มู่ชิงเซียวเหลือบสายตามองไปทางหานไท่ฟู่ที่ยังคงยืนกรานเจตนาของตนปราดหนึ่ง เขาส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว คิดจะเกลี้ยกล่อมให้หานไท่ฟู่ยอมมอบแมวเทพสองหางให้กับเรา เป็เื่ยากยิ่งกว่าขึ้น์!”
หานไท่ฟู่เห็นคนทั้งสองกระซิบกระซาบเสียงเล็กเสียงน้อยโดยไม่มีท่าทีว่าจะจากไป จึงเอ่ยวาจาขับไล่อย่างสิ้นความอดทน “พวกเ้ามีอะไรจะพูดไปพูดกันข้างนอก อย่าได้รบกวนการเดินหมากของข้า!”
หานไท่ฟู่หันไปพูดเสียงดังกับคนอื่น “มาๆๆ วันนี้ข้าอารมณ์ดี ยังมีใครอยากได้รับคำชี้แนะในการเดินหมากจากข้าอีก มาเดินหมากกับข้าสักกระดานหนึ่ง!”
คนทั้งหมดเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อลงชื่อ
“ข้าๆๆ!”
“ยังมีข้า!”
“ท่านาุโหาน ข้าอยากได้รับคำชี้แนะสักกระดาน!”
“สามารถได้รับคำชี้แนะจากท่านาุโหาน ถือเป็วาสนาในสามภพสามชาติ!”
คนจากด้านนอกเบียดเสียดเข้ามาไม่หยุด เฟิ่งเฉี่ยนและมู่ชิงเซียวถูกเบียดอยู่ตรงกลางไม่ว่าจะออกไปหรือเข้ามาล้วนยากเย็น
หานไท่ฟู่กวาดตามองมาปราดหนึ่งแล้วยกมือขึ้นเลือกคนจากกลุ่มคน “เช่นนั้นข้าเลือก...”
ขณะที่เขากำลังจะเลือกคนได้ พลันมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะเขา “หานไท่ฟู่ ข้าเดินหมากกับท่านเอง!”
คนๆ หนึ่งพุ่งออกมา หานไท่ฟู่เอนกายไปด้านหลัง เมื่อมองชัดเจนว่าคนผู้นั้นคือ เฟิ่งเฉี่ยน เพลิงโทสะของเขาถึงกับลุกท่วมขึ้นเป็พันจั้ง “เ้าจะมาก่อความวุ่นวายอันใดกัน รีบไสหัวออกไปจากชุมนุมหมากล้อมเดี๋ยวนี้! ข้าเห็นเ้าแล้วก็คิดถึงกระดานหมากขาวหุนหยวนของข้า เมื่อคิดถึงกระดานหมากขาวหุนหยวน ข้าก็อยากจะฆ่าคน!”
ชายหนุ่มในชุมนุมหมากล้อมก้าวเข้ามาส่งแขกอีกครั้ง “แม่นาง ท่านรีบออกไปเถิด! หาไม่แล้วอย่าได้กล่าวโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เฟิ่งเฉี่ยนยกมือขึ้นขวางเขา แล้วหันไปพูดกับหานไท่ฟู่ “มิใช่้าเดินหมากหรอกหรือ ข้าเดินกับท่านเอง ข้า้าท้าประลองกับท่าน!”
หานไท่ฟู่ถลึงดวงตาของตนด้วยคิดว่าฟังผิดไป เขาะเิเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ เ้า้าท้าประลองกับข้าหรือ พูดจาอวดดีเหลือเกิน ช่างไม่กลัวฟ้าผ่า!”
คนทั้งหมดต่างกันหัวเราะไม่หยุด
“นางเสียสติไปแล้วกระมัง ท้าประลองท่านาุโหานหรือ”
“ช่างไม่รู้จักประมาณกำลังของตน!”
“หาเื่ใส่ตัวกระมัง!”
เฟิ่งเฉี่ยนไม่ได้ใส่ใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขา นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพูดจริงๆ ขอให้ท่านาุโให้โอกาสชี้แนะด้วย!”
หานไท่ฟู่พ่นลมออกทางจมูกเมื่อหัวเราะจนพอใจ เขาก็พูดจาถากถาง “ข้าไม่มีเวลามาสอนคนนอกที่ไม่แตกฉานเื่การเดินหมาก! เ้าไปเสียเถิด ข้าไม่อยากเห็นหน้าเ้าอีก!”
เฟิ่งเฉี่ยนขมวดคิ้ว พูดเสียงดังขึ้นอีก “หานไท่ฟู่ไม่กล้ารับคำท้าประลองของข้า เพราะกลัวว่าจะพ่ายแพ้ให้กับข้ากระมัง เป็ถึงรองหัวหน้าชุมุนุมหมากล้อม หากต้องมาพ่ายแพ้ให้กับคนนอกเช่นข้า เกรงว่าที่จะต้องเสื่อมเสียเกียรติไม่ได้มีเพียงหานไท่ฟู่ กระทั่งป้ายชุมนุมเดินหมากเทียนหยวนก็คงจะแขวนเอาไว้ไม่อยู่ไปด้วย!”
นางจงใจเว้นจังหวะแล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หานไท่ฟู่ ข้าเข้าใจสถานการณ์ของท่าน ไม่ยอมรับการท้าประลองของข้า ท่านเสียเกียรติเพียงคนเดียว หากรับคำท้าประลองของข้าแล้วเดินหมากพ่ายแพ้ ที่ต้องเสียเกียรติย่อมเป็ชุมนุมเดินหมาก ดังนั้น ท่านไม่อาจรับคำท้าประลอง ข้าไม่กล่าวโทษท่าน”
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่นราวกับมดที่เดินอยู่บนฝาหม้อร้อนลวก
“ให้ตายสิ ยโสโอหังเกินไปแล้วกระมัง!”
“หานไท่ฟู่เป็ถึงนักเดินหมากยอดฝีมือระดับเจ็ด เ้าเป็เพียงมือสมัครเล่นถึงกับกล้าท้าประลองยอดฝีมือ นี่เป็เื่เป็ไปไม่ได้อยู่แล้ว เ้ายังพูดจาอวดดีเช่นนี้ เหตุใดเ้าไม่ขึ้น์ไปเลยเล่า”
มู่ชิงเซียวถูกคำพูดของเฟิ่งเฉี่ยนทำให้ตกตะลึงเช่นกัน เขารู้ว่านางปรารถนาที่จะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อคิดหาวิธีเข้าใกล้หานไท่ฟู่ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังอ้อนวอนผู้อื่น นี่เป็ท่าทางของผู้ที่กำลังอ้อนวอนผู้อื่นอยู่หรือ
เดิมทีหานไท่ฟู่ก็รู้สึกไม่พอใจในตัวพวกเขาอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อถูกนางท้าทายเช่นนี้ มิเท่ากับเป็การฉีกหน้าหานไท่ฟู่ ต่อไปจะเจรจาพูดคุยกันอย่างไร
เขาอดที่จะส่ายหน้าหัวเราะฝาดเฝื่อนไม่ได้ ไม่รู้ว่านางจะมาไม้ไหน!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแคลงใจของคนทั้งหมด เฟิ่งเฉี่ยนโต้ตอบกลับด้วยท่าทีไม่อนาทรร้อนใจ “นักเดินหมากระดับเจ็ดหรือ นั่นล้วนเป็เื่ในอดีต! หานไท่ฟู่เขา...ชราเสียแล้ว!”
ชราเสียแล้ว!!!
ตัวอักษรสี่ตัวนี้ทิ่มแทงจิตใจของหานไท่ฟู่เข้าอย่างจัง!
หานไท่ฟู่มีโทสะเสียจนลูกั์ตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขาเคยพบคนยโสโอหัง แต่ไม่เคยพบเห็นคนอวดดีเช่นนาง ถึงกับกล้าพูดว่าเขาชราภาพเสียแล้ว
เหตุใดเขาจึงชราภาพแล้ว?
เหตุใดเขาจึงชราภาพแล้ว??
เหตุใดเขาจึงชราภาพแล้ว???
“แค่กๆ!” หานไท่ฟู่สะบัดแขนเสื้อด้วยโทสะ เขาไอโขลกไม่หยุด ทั้งชี้หน้านางด้วยนิ้วอันสั่นระริก “นางเด็กคนนี้ เป็เ้าเองนะที่รนหาที่ตาย! เป็ตัวเ้าเองที่หาเื่ใส่ตัว! ดี ดี ดีมาก เ้าทำให้ข้ามีน้ำโหเสียแล้ว! เช่นนั้นอย่าได้กล่าวโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เขาโบกฝ่ามือใหญ่โตพร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดังว่า “คนทั้งหมดถอยออกไป วันนี้ข้าจะเดินหมากกับนาง! ข้าจะสั่งสอนนางให้หลาบจำ อบรมนางสักยกว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเขียนอย่างไร!”
เฟิ่งเฉี่ยนแบมือออกพูดอย่างไม่ยี่หระ “ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำหรือ ข้าย่อมเขียนเป็! กลัวแต่ว่าหานไท่ฟู่ชราภาพแล้ว สายตาไม่ดี มือก็สั่น เขียนฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเป็ ผู้าุโไม่ให้เกียรติตนเอง!”
“เ้าๆๆ...ข้าโมโหแทบตายแล้ว!” หานไท่ฟู่เกือบจะหายใจไม่ทัน กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มในชุมนุมหมากล้อมก้าวเข้าไปประคองและลูบแผ่นหลังหานไท่ฟู่และพูดว่า “ท่านาุโหาน ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ คลายโทสะ! พวกเราอย่าไปถือสานาง!”
เมื่อคำพูดเช่นนี้เข้าหูหานไท่ฟู่ ความหมายกลับแปรเปลี่ยนไป เขาถลึงตาและะโออกมาว่า “เ้าหมายความว่าอย่างไร เ้ากำลังบอกว่าข้าเป็คนใจคอคับแคบเช่นนั้นหรือ”
“โอ๊ะ...” ชายหนุ่มสะอึก เขาคิดในใจว่า ข้าทำอะไรเล่า ท่านจะมาโมโหใส่ข้าเพื่อ
เขายังคงกล่าวขอขมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านาุโหาน ดูท่านพูดจาสิ! ข้าน้อยจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าน้อยเพียงแต่กลัวว่าท่านจะโมโหจนเสียสุขภาพ!”
หานไท่ฟู่ฟังแล้วยิ่งมีโทสะ “อ้อ เ้าก็คิดว่าข้าแก่แล้วใช่หรือไม่ ดังนั้นแต่ละคนจึงลุกขึ้นมาขี่คอข้าได้”
“หาใช่ไม่ ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริงๆ!” ชายหนุ่มอดทนอดกลั้นถึงขีดสุด พูดอะไรล้วนผิดทั้งสิ้น กระทั่งตัวเขาเองก็รู้ว่าตนเองพูดผิด
ชัดเจนเหลือเกินว่าท่าทางของหานไท่ฟู่นั้นราวกับกินดินปืนเข้าไป เขายังเอาตัวเองไปรออยู่หน้ากระบอกปืน ช่างหาเื่ใส่ตัวโดยแท้!
อบรมชายหนุ่มแล้วหานไท่ฟู่หันไปถลึงตาใส่เฟิ่งเฉี่ยน “นางเด็กคนนี้ ข้ามีชีวิตมาจนอายุปูนนี้ ยังไม่เคยพบเห็นคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นเ้า หากวันนี้ไม่อบรมสั่งสอนเ้าให้ดี ข้าจะออกจากวงการเดินหมากั้แ่นี้ไป!”
เฟิ่งเฉี่ยนฉีกยิ้ม “โอ๊ะ คำพูดนี้ของท่านอย่าได้พูดเร็วเกินไปนัก ประเดี๋ยวหากพ่ายแพ้การเดินหมากเข้าจริงๆ คำพูดนั้นไม่อาจเก็บกลับมา มีความเป็ไปได้ว่าท่านจะต้องออกจากวงการเดินหมากจริงๆ”
หานไท่ฟู่กำมือทุบลงบนโต๊ะด้วยดวงตาที่แทบจะแลบเปลวไฟออกมา คำพูดของเขาคล้ายัที่กำลังพ่นไฟ “ข้าจะพ่ายแพ้การเดินหมากหรือ ตอนที่ข้าเข้าสู่วงการเดินหมาก เ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”
เฟิ่งเฉี่ยนยกนิ้วขึ้นส่ายไปมา “หานไท่ฟู่ เหตุใดท่านจึงมักจะพูดถึงเมื่อครั้งท่านยังหนุ่มแน่นล่ะ เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นมีเื่ราวที่กำลังประสบความสำเร็จ มีอะไรน่ามหัศจรรย์กันเล่า แต่เื่เ่าั้ล้วนเป็เื่ในอดีต! ท่านจำต้องยอมรับว่าท่านน่ะแก่แล้ว นี่เป็เื่ที่ย้อนกลับไปไม่ได้ พูดไปแล้วการยอมรับว่าตนเองแก่แล้วก็ไม่ใช่เื่น่าอับอายอันใด เหตุใดท่านจึงติดอยู่กับเื่นี้ด้วยเล่า”