อวิ๋นซานเปิดประตูห้องออกก็เห็นสาวใช้สองคนกำลังยืนถือกะละมังน้อยที่ใส่น้ำไว้อยู่ตรงหน้าห้อง พวกนางที่กำลังคิดจะเปิดปากพูดกลับถูกอวิ๋นซานแย่งพูดไปก่อน “เบาเสียงหน่อย หากเสียงดังไป พวกเ้าจะทำฮูหยินตื่น”
สองสาวใช้มองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ยิ้มพยักหน้า “เ้าค่ะ”
อวิ๋นซานหันกลับไปมองภายในห้องพร้อมๆ กับนึกถึงคำที่จ้าวลี่เจียบอกว่า ตนจะอารมณ์ร้ายตอนถูกปลุกให้ตื่นนอน เขาจึงตัดสินใจยื่นมือออกไปรับกะละมังใส่น้ำมา “อันนี้ให้ข้าไว้ก็พอ พวกเ้าออกไปเถอะ” เมื่อพูดจบ เขาก็รับกะละมังน้ำที่สาวใช้นำมาให้ถึงหน้าประตู ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป...
และเื่ที่เกิดขึ้นที่นี่ในยามเช้านี้เองก็ได้เข้าหูของอวิ๋นซีและจวินเหยียนในเวลาต่อมา ขณะนั้นอวิ๋นซีกำลังป้อนนมฉางฮว๋ายอยู่ นางยิ้มพูดว่า “ข้าเชื่อว่า ท่านพ่อข้าและอาจารย์อาน้อยจักต้องได้ตกล่องปล่องชิ้นกันแน่”
ทว่า เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ อวิ๋นซีก็เริ่มสับสนขึ้นมา “แต่ว่า ข้ากังวลว่าหากหลิ่วเซิงรู้เข้า เขาจักต้องโกรธมากแน่ ด้วยเื่นี้จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านหรือไม่”
“ข้ากับเขาจะมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรได้ อีกอย่าง ตอนนี้เขาก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้วกระมัง” จวินเหยียนวางสารในมือลง จากนั้นก็มองไปยังภรรยาแล้วกล่าวขึ้น ทว่า ตอนที่สายตาเขาสบเข้ากับอาหารในปากของลูกชาย เขาก็ทำเพียงแค่นเสียงเ็าพูดว่า “ที่จวนเรามีเชิญแม่นมมาแล้วมิใช่หรือ? ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ให้เหงื่อตกทันที “ก็ข้าอยากจะป้อนนมให้เขาด้วยตนเอง ไม่ได้หรือ? ”
“ไม่ได้ นั่นเป็ของบิดาเขา ข้าคนเดียวเท่านั้น” จวินเหยียนพูดเสียงขรึมอย่างเผด็จการ “เ้าเด็กบ้านี่ เมื่อก่อนตอนอยู่ในท้องเ้า เขาก็ยึดครองเ้าไว้คนเดียวเสียนาน พอออกมาแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดอีก อาซี ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่า เื่ของท่านพ่อตาและอาจารย์อาน้อยจะอย่างไรก็ต้องสำเร็จแน่ มิเช่นนั้นเ้าจักต้องให้กำเนิดเด็กแซ่อวิ๋นอีกคนหนึ่ง”
ตอนนี้ลูกชายสองคนแย่งความรักจากนางไปมากแล้ว เพราะมีบางครั้งที่เขากลับมา ภรรยาก็ไม่แม้แต่จะแบ่งสายตาของนางมามองเขา อีกไม่นานเมื่อลูกสาวกลับมา เขาก็แน่ใจมากว่า ยามนั้นตนคงจะไม่มีที่ยืนแล้ว และหากยังมีเด็กเกิดขึ้นมาอีก เขาคิดว่าตัวเองคงถึงคราวจบสิ้น
อวิ๋นซีได้ยินประโยคนี้ของเขา จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “ข้าหวังให้มีวันนั้นจริงๆ แต่พวกเขาทั้งสองล้วนไม่ใช่คนธรรมดา หากท่านกล้าใช้ลูกไม้อันใด ก็จงระวังบิดาข้าจะสั่งสอนท่านสักกระบวน”
ตอนนี้สิ่งที่พวกนางทำได้คงเป็การปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติ
“จริงสิ เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่า หลิ่วเซิงกำลังปวดหัวอยู่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลิ่ว? ” อวิ๋นซีถาม
จวินเหยียนนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นในตระกูลหลิ่วก็อดไม่ได้ให้หัวเราะออกมา เขาพูด “จะเกิดเื่อันใดขึ้นได้ ถ้าไม่ใช่เื่หนี้ดอกท้อที่หลิ่วเซิงสร้างขึ้นตอนอยู่ด้านนอกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้อีกฝ่ายพาลูกชายอายุสิบกว่าขวบมาหาถึงบ้าน เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนหลิ่วเซิงอย่างกับแกะ ต่อให้เขาจะไม่อยากยอมรับก็ทำไม่ได้”
ข่าวนี้ถือเป็ข่าวดี เป็ข่าวที่สุดยอดมากสำหรับอวิ๋นซี “์ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าหลิ่วเซิงจะบ้าระห่ำเพียงนั้น แม้แต่ลูกก็ยังโตปานนี้แล้ว” นางจะไม่บอกผู้ใดทั้งนั้นว่า แท้จริงแล้วในใจนางดีใจเป็อย่างมาก เพราะเมื่อกลายเป็เช่นนี้ หลิ่วเซิงก็ไม่อาจจะบอกว่าชอบอาจารย์อาน้อยได้อีกแล้ว
“ต้นยามเซินไทเฮาก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปซื้อของเป็เพื่อนท่านพ่อและอาจารย์อาน้อยสักหน่อย” ถึงแม้ในจวนจะไม่ได้ขาดสิ่งใด แต่นางก็ยังอยากจะออกไปช่วยบิดาและอาจารย์อาน้อยเลือกอาภรณ์สำหรับฤดูหนาว
“ได้” จวินเหยียนพยักหน้า อืมเบาๆ ไปเสียงหนึ่ง “ข้าไปเป็เพื่อนเ้า”
เมื่อจ้าวลี่เจียได้ยินอวิ๋นซีบอกว่าจะออกไปเดินซื้อของ เดิมทีนางคิดจะปฏิเสธ แต่อวิ๋นซีกลับจับนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ช่วยแต่งหน้าให้ เพียงไม่นาน ใบหน้างามที่คล้ายอวิ๋นซีอยู่แปดส่วนก็ได้ปรากฏต่อสายตาของทุกคน
เป็ตอนนี้เองที่จ้าวลี่เจียเข้าใจแล้วว่าอวิ๋นซีคิดจะทำอันใด ในใจนางรู้สึกปลงเป็อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจทำใจปฏิเสธอวิ๋นซีได้ ท้ายที่สุดจึงถูกคนลากออกไปนอกประตูเช่นนี้ ส่วนสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ อวิ๋นซีลากแขนนางไปพลางกู่ะโเรียกให้อวิ๋นซานและจวินเหยียนรีบตามมาเร็วๆ
“อาซี...”
ไม่ได้รอให้นางพูดต่อ อวิ๋นซีก็พูดขึ้นขัด “เชื่อข้าเถอะ ไม่ผิดแน่”
อวิ๋นซีพาจ้าวลี่เจียออกมาด้านนอก และสั่งให้หยุดรถม้าตรงบริเวณกึ่งกลางของสี่แยกถนน ยามนี้หิมะหนาๆ ล้วนถูกกวาดออกจนดูสะอาดตาแล้ว จากนั้นก็เป็จวินเหยียนที่ลงจากรถม้าก่อน เขาเอื้อมมือไปจูงมืออวิ๋นซีลงมา ก่อนจะเป็อวิ๋นซานที่ลงมาในอันดับถัดไป รถม้าของพวกเขาดึงดูดสายตาของคนไม่น้อย อย่างไรเสีย เื่ที่หนิงอ๋องพาชายาหนิงอ๋องออกมาเลือกเดินซื้อของนั้นก็เป็เื่ที่หายากยิ่ง
บางคนที่รู้จักอวิ๋นซีและสามีนาง เมื่อได้เห็นอวิ๋นซานก็คิดออกในทันทีว่า นั่นคือบิดาของนาง ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซานทำเพียงกวาดตามองคนรอบด้านไปทีหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปจับจูงจ้าวลี่เจียลงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ยามที่ทุกคนเห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกันเป็อย่างยิ่งของอวิ๋นซีและจ้าวลี่เจีย คนไม่น้อยต่างก็สูดหายใจเข้าลึก ในใจพากันคิดว่า ชายาหนิงอ๋องและสตรีนางนั้นมีใบหน้าที่เหมือนกันมาก หรือว่านั่นจะเป็มารดาของชายาหนิงอ๋องที่คนต่างก็ร่ำลือกัน?
อวิ๋นซียิ้มขณะเดินขึ้นหน้าไปจับมือจ้าวลี่เจีย นางพูด “วันนี้เหตุที่พวกเราออกมาก็เพราะตั้งใจจะเลือกซื้ออาภรณ์สำหรับฤดูหนาวให้ท่านและท่านพ่อ ครั้งก่อนที่เตรียมให้ท่านดูเหมือนว่าท่านจะไม่ค่อยชอบนัก”
จ้าวลี่เจียตบหลังมืออวิ๋นซีเบาๆ พูดว่า “ไม่ได้ไม่ชอบ เพียงแต่ข้าคุ้นเคยกับการสวมใส่อาภรณ์ทั่วๆ ไปที่ตนเคยใส่เป็ปกติก็เท่านั้น อีกประการ เ้าให้คนเตรียมมาให้ข้ามากมายเพียงนั้นในคราวเดียว ต่อให้ข้าจะผลัดเปลี่ยนสวมใส่อยู่ทุกวัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลากว่าหลายวันจึงจะสวมใส่จนหมด”
อวิ๋นซีมองอีกฝ่ายไปทีหนึ่ง จ้าวลี่เจียก็แค่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบถ่อมตนและเรียบง่ายธรรมดา แต่หากพูดถึงทรัพย์สมบัติจริงๆ ละก็ นางนี่แหละกระมังที่เรียกได้ว่าเป็เศรษฐินี เพราะอวิ๋นซีเคยได้ยินมาว่า ยามที่นางรักษาอาการป่วยไข้ให้คนร่ำรวย ราคาค่ารักษานั้นก็แพงไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ถึงกระนั้นเงินทองที่ได้มาจากการรักษาให้คนรวยก็ถูกนำไปใช้ในการรักษาผู้อื่นอีกทีหนึ่ง รวมถึงนำไปใช้เพื่อซื้อหาหยูกยาให้บรรดาคนยากคนจนด้วย อย่างไรก็ตาม ต่อให้นางจะนำเงินไปใช้เพื่อผู้อื่น แต่ยี่สิบกว่าปีมานี้เงินเก็บของนางก็นับว่ามีอยู่เป็จำนวนมาก ยิ่งกว่านั้น ต่อไปหากนางตัดสินใจจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบิดาจริงๆ อวิ๋นซีก็เชื่อว่า ตามนิสัยของบิดาแล้ว คนจักต้องดีกับอีกฝ่ายมากแน่
มิหนำซ้ำคนทั้งสองยังจะสามารถร่วมออกเดินทางเพื่อรักษาชีวิตคนไปด้วยกันได้ หากเป็เช่นนั้นก็นับว่าดีมากจริงๆ
เมื่อคนทั้งสี่เดินเข้าไปในร้าน อวิ๋นซีก็เลือกอาภรณ์ฤดูหนาวให้อวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียด้วยตนเองหลายชุด รวมไปถึงเสื้อคลุมต่างๆ อีกด้วย ส่วนจวินเหยียนนั้นก็เลือกซื้ออาภรณ์ฤดูหนาวสีแดงสดตัวหนึ่งให้นางพร้อมกับเตาพกสีเดียวกัน ทั้งสองสิ่งนี้ยิ่งมองก็ยิ่งสวยมาก ซึ่งอวิ๋นซีเองที่เพียงมองปราดเดียวก็รู้สึกชอบใจมากเช่นกัน
อวิ๋นซานมองจ้าวลี่เจียและอวิ๋นซีที่กำลังเลือกอาภรณ์กันอยู่ นี่นับเป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นลูกสาวตนสนิทชิดเชื้อกับสตรีผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ หากเขาเป็คนที่ไม่รู้ความจริงๆ ก็คงจะนึกไปแล้วว่า พวกนางเป็แม่ลูกกัน
ในตอนนี้เองที่ด้านนอกประตูก็มีเสียงโอวหยางเทียนหัวดังขึ้น “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าการออกมาเดินเล่นครั้งนี้จะมีโอกาสได้เจอน้องรองและน้องสะใภ้รองด้วย”
อวิ๋นซีหันกายไปมองโอวหยางเทียนหัวและลู่หลิงฉิงที่ยืนอยู่ข้างกายเขา จวินเหยียนพูดเรียบๆ “เมืองหลวงนี้ไม่ได้กว้างขวางนัก หากรัชทายาทและชายารัชทายาทจักอยากเดินออกมาแล้วทำเป็ได้พบปะกับพวกเราโดยบังเอิญ คนก็แค่ทำเป็พูดออกมาเช่นนั้นก็ใช้ได้แล้ว”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นี่สามีนางกำลังจะพูดว่าโอวหยางเทียนหัวและลู่หลิงฉิงตั้งใจมาที่นี่ ใช่หรือไม่?
โอวหยางเทียนหัวทำเพียงยิ้มน้อยๆ เขามองไปยังอวิ๋นซาน ก่อนที่สายตาจะละลงบนร่างของจ้าวลี่เจียที่ยืนอยู่ข้างกายอวิ๋นซี คล้ายมาก คล้ายมากจริงๆ เขาพูด “สตรีผู้นี้มีหน้าตาคล้ายเสด็จอาสะใภ้มากจริงๆ ”
อวิ๋นซียิ้มบางๆ “องค์รัชทายาท ข้าเคยบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า บนโลกใบนี้ ใบหน้าคนที่คล้ายกันมีมากนักน่ะเพคะ เพียงแต่มีบางคนที่กลัวว่าโลกใบนี้จะไม่วุ่นวายพอ วันทั้งวันจึงเอาแต่คิดจะทำเื่ไม่ดี”