“ซินอี๋ เ้าไปก่อนเถิด ข้าอยากคุยกับเย่เฟิง”
หลังจากทุกคนออกไปกันหมดแล้ว องค์าาจ้าวก็กล่าวกับจ้าวซินอี๋เช่นนั้น จ้าวซินอี๋มององค์าาด้วยสายตาลึกล้ำ รู้ว่าเสด็จพ่อของตนมีบางสิ่งที่้าจะพูดกับเย่เฟิงคนเดียว จากนั้นนางทำความเคารพองค์าา แล้วส่งเสียงผ่านจิตไปหาเย่เฟิง
“เย่เฟิง เ้าพยายามตอบคำถามของเสด็จพ่อให้ดีที่สุด อย่าแข็งกร้าวเหมือนก่อนหน้านี้เชียว”
“อืม” เย่เฟิงยิ้มพลางพยักหน้าให้จ้าวซินอี๋ เย่เฟิงรู้สึกว่าการใช้วาทศิลป์พลิกสถานการณ์ในวันนี้มันไม่ใช่เื่ง่ายเลย ซึ่งหลังจากจ้าวซินอี๋ออกไป ในตำหนักซวนยื่อก็เหลือเพียงองค์าาและเย่เฟิง แม้แต่องครักษ์และนางกำนัลก็ถูกไล่ออกไปหมด
“เ้าชอบซินอี๋หรือ?” หลังจากทุกคนออกไป องค์าาก็เอ่ยถามพร้อมหันหลังให้เย่เฟิง
“ในเมื่อองค์าาทราบเื่นี้แล้ว ไยต้องถามอีกเล่า” เย่เฟิงกล่าวเสียงนิ่งเรียบ
“เ้าเป็คนเสนอการประลองยุทธ์เลือกคู่ เช่นนั้นคงมั่นใจว่าจะคว้าอันดับหนึ่งมาครองได้ ใช่ไหม?” องค์าาได้ยินน้ำเสียงที่แข็งกร้าวของเย่เฟิง ก็เอ่ยถามต่อโดยไร้ซึ่งโทสะใด ๆ
“หากคนคนหนึ่งไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เช่นนั้นอนาคตของคนคนนี้อาจไม่ประสบความสำเร็จ” เย่เฟิงยืนหลังตรงดุจพู่กัน ดวงตาเผยประกายมุ่งมั่น แม้เขาไม่กล้าพูดว่าตัวเองมั่นใจ แต่ก็จำต้องทำเช่นนี้ ในฐานะลูกผู้ชายก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ หากไม่มีความกล้าแม้แต่จะเผชิญหน้า แล้วจะไต่เต้าสู่จุดสูงสุดของเส้นทางแห่งการบำเพ็ญได้อย่างไร?
“พูดได้ดี ข้าจะรอการแสดงของเ้าในการประลองยุทธ์เลือกคู่!” องค์าาหันมามองเย่เฟิง เขาสามารถเห็นความมุ่งมั่งในการต่อสู้จากชายหนุ่มผู้นี้ได้ ในขณะที่คนอื่นไม่มีสิ่งนี้
“เมื่อครู่ที่เ้าพูดเื่อาการของข้า สามารถลงรายละเอียดกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?” จู่ ๆ องค์าาเอ่ยถามเช่นนั้นกับเย่เฟิง
ที่แท้ตอนที่ทุกคนยังอยู่ เย่เฟิงใช้วิธีสื่อสารผ่านจิตอธิบายเกี่ยวกับอาการขององค์าา ซึ่งสิ่งที่เย่เฟิงพูดมามีอาการหลายอย่างที่สอดคล้องกับอาการของตัวองค์าา จึงทำให้องค์าาใไม่น้อย เขาป่วยมาหลายปี เชิญหมอที่มีชื่อเสียงและฝีมือมามากมายแต่ก็ไร้ผล ่สองปีมานี้อาการป่วยเริ่มหนักขึ้น ทำให้องค์าาไร้อำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้แต่หมอหลวงก็ยังวินิจฉัยว่าอายุขัยขององค์าาเหลืออีกสามเดือนเท่านั้น แต่วันนี้องค์าามาเยือนตำหนักซวนยื่อ โดยเขาใช้ยาที่สามารถเพิ่มพลังิญญาให้กับผู้ป่วย จึงทำให้เขาไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา แต่ในความเป็จริงชีวิตขององค์าาดุจไฟใกล้มอดดับ หากเขาไม่มีตบะอันแกร่งกล้า เกรงว่าชีวิตคงหาไม่ไปนานแล้ว
“อาการาเ็ขององค์าาเกิดจากฝ่ามือทมิฬใช่หรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถาม เขาไม่รู้เื่เหล่านี้ แต่เป็ราชันมารชื่อเทียนบอกเขาก่อนหน้านี้
“ใช่” องค์าาพยักหน้า เห็นทีเย่เฟิงผู้นี้จะรู้อาการาเ็ของเขาเป็อย่างดี แม้แต่เคล็ดวิชาที่ทำให้เขาาเ็ก็พูดออกมาได้ง่าย ๆ
“เ้าของฝ่ามือที่ทำให้ท่านาเ็คงจะฝึกถึงระดับสูงแล้ว ทำให้พลังทมิฬฝังลึกลงไปยังกระดูกของท่าน จึงมิอาจรักษาให้หายขาดได้ พลังทมิฬจะค่อย ๆ ไหลไปที่หัวใจ และอีกไม่นานชีวิตของท่านจะตกอยู่ในอันตราย” เย่เฟิงกล่าว เื่เหล่านี้ล้วนมาจากปากของราชันมารชื่อเทียน ชาติก่อนของอีกฝ่ายเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์ราชันมาร จึงมีความรู้กว้างไกล มองปราดเดียวก็รู้อาการาเ็ขององค์าาทันที
“เ้าพูดถูก ข้าจะไม่ปิดบังเ้า หมอหลวงวินิจฉัยว่าข้าจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” องค์าาได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็ถอนหายใจ พร้อมเผยสีหน้าหมดหวัง
“แต่ข้ามีวิธีขจัดพลังทมิฬที่อยู่ในกายท่าน” เย่เฟิงกล่าว
“วิธีอะไร? สามารถบอกข้าได้หรือไม่?” องค์าาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันใด พร้อมจับแขนเย่เฟิงด้วยสีหน้าดีใจ ทั้งยังแสดงท่าทีเปี่ยมด้วยความหวัง เห็นชัดว่าเขา้ามีชีวิตอยู่มากเพียงใด
“เหตุใดข้าต้องบอกท่าน?”
ใครเล่าจะรู้ เย่เฟิงแกะมือขององค์าาออกไป ก่อนสายตาจะเปลี่ยนไปฉายแววเฉียบคม “ท่านกล้าพูดหรือไม่ ว่าเื่ที่ตระกูลเย่ข้าล่มสลายในปีนั้นเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ท่าน!”
องค์าาได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แม้ข้าจะอยู่ในตำแหน่งนี้ แต่บางอย่างก็ไม่มีทางเลือก เย่เจินคือบุคคลสำคัญของอาณาจักรจ้าวข้า และข้าก็ยังเป็หนี้พวกเ้าตระกูลเย่”
ขณะมององค์าา เย่เฟิงก็เอ่ยถามต่อไปว่า “ข้าอยากทราบว่าท่านเกี่ยวข้องกับเื่ในปีนั้นหรือไม่?”
ขณะที่เย่เฟิงถามออกไปเช่นนั้น ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล ถึงอย่างไรองค์าาก็เป็บิดาของจ้าวซินอี๋ หากองค์าาเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของตระกูลเย่ เช่นนั้นเย่เฟิงก็ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับจ้าวซินอี๋อย่างไรดี
“ไม่ เซิ่งอ๋องเป็คนทำเื่ทุกอย่าง” องค์าาส่ายศีรษะพร้อมกล่าวต่อไปว่า “ข้ารู้ว่าเซิ่งอ๋องทำร้ายผู้จงรักภักดี แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้ นี่ถือว่าเป็หนี้ต่อตระกูลเย่เ้า”
ในน้ำเสียงขององค์าาดูเสียใจ ซึ่งความสัมพันธ์ภายในราชวงศ์มีความซับซ้อนมาก แม้เขาจะเป็ถึงองค์าา แต่บางอย่างก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าขอถามท่านอีกสักประโยค ในภายภาคหน้าหากข้าล้างแค้นเซิ่งอ๋องและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการล่มสลายของตระกูลเย่ ท่านจะยุ่งเกี่ยวหรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถามองค์าาพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย เกรงว่าทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวจะมีเย่เฟิงเพียงคนเดียวที่กล้าพูดเช่นนี้กับองค์าา
“หากเ้ามีวิธีขจัดพลังทมิฬ ข้ารับประกันว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ความแค้นระหว่างพวกเ้าก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเ้า” องค์าาตอบกลับอย่างไม่ลังเล
เย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ จำต้องยอมรับว่าองค์าาเป็คนที่ยืดหยุ่นมาก เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ก็เลือกที่จะประนีประนอมกับชายหนุ่มอย่างเย่เฟิง
“เยี่ยม งั้นก็คำไหนคำนั้น พวกเราห้ามผิดสัญญา!” เย่เฟิงพยักหน้าก่อนจะพูดต่อไปว่า “แต่ท่านต้องหาวัตถุดิบดังต่อไปนี้เสียก่อน แล้วข้าจะเตรียมยาให้ท่าน หากท่านทำตามวิธีที่ข้าบอก ข้ารับประกันว่าจะสามารถขจัดพลังทมิฬในกายท่านได้แน่นอน”
เย่เฟิงพูดไปด้วยเขียนรายการวัตถุดิบยาไปด้วย จากนั้นส่งใบสั่งยาให้องค์าา เมื่อองค์าารับมาก็เห็นรายการวัตถุดิบหลายสิบอย่างบนใบสั่งยา นอกจากเห็ดหลินจือหิมะอายุพันปีแล้ว วัตถุดิบส่วนอื่น ๆ ก็สามารถหาได้ง่าย ๆ แม้แต่ในห้องยาของราชวงศ์ก็มี
องค์าามองลึกเข้าไปในดวงตาของเย่เฟิง แต่รู้สึกว่าตัวเองยิ่งมองเย่เฟิงไม่ออกขึ้นเรื่อย ๆ
“ข้าจะรวบรวมวัตถุดิบที่เ้า้ามาให้ได้ทั้งหมดภายในครึ่งเดือน ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนไปส่งที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน” องค์าากล่าวด้วยความดีใจ อาการาเ็ที่รบกวนเขามาหลายปี บัดนี้เขาเห็นความหวังแล้ว เขาก็ย่อมมีความสุขและดีใจเป็ธรรมดา
“ขอรับ!” เย่เฟิงกล่าว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็บิดาของจ้าวซินอี๋ หากอีกฝ่ายรับปากว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวการล้างแค้นของเขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว จากนั้นเขาพูดคุยกับองค์าาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกจากวังหลวง ซึ่งการสนทนาระหว่างพวกเขาสองคนเกิดขึ้นอย่างลับ ๆ ดังนั้นทุกคนจึงไม่รู้เื่ข้อตกลงลับ ๆ นี้
ในขณะเดียวกันมีแขกหลายคนปรากฏตัวในเมืองหลวงอย่างกะทันหัน คนเหล่านี้ไม่ใช่คนของแดนชิงอวิ๋น แต่พวกเขามาจากกองกำลังอื่นที่อยู่ในจักรวรรดิจิ่วโยว
นอกแดนชิงอวิ๋น เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่า ผู้แข็งแกร่งก็มีนับไม่ถ้วน และผู้ฝึกยุทธ์นอกแดนชิงอวิ๋นก็มักจะชอบเรียกแดนชิงอวิ๋นว่า ดินแดนไร้อารยธรรม ดังนั้นคนเหล่านี้จึงมาที่เมืองหลวงอาณาจักรจ้าว เมื่อเห็นผู้คนที่เดินตามท้องถนนมีตบะต่ำต้อย พวกเขาก็เกิดการดูถูกเหยียดหยามชาวอาณาจักรจ้าว กระทั่งบางครั้งก็รังแกคนอ่อนแอ
ขณะนั้นมีชายสามหญิงหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนสายหนึ่งที่ค่อนข้างคึกคักในเมืองหลวง ผู้ชายหล่อเหลา ผู้หญิงสวยงดงาม หากเย่เฟิงเห็นคนเหล่านี้ต้องจำได้อย่างแน่นอน ซึ่งก็คือหยวนป้าเทียนเซิ่งจื่อแห่งตำหนักเสวียนยื่อ ม่อหลี่ศิษย์วังเทียนสุ่ย และเมิ่งยวี่ฉิงธิดาเทพแห่งหมู่บ้านหานเสวี่ย ที่ก่อนหน้านี้เย่เฟิงพบพวกเขาในเทือกเขาเทียนซี ณ แดนจิ่วโยวแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว
แต่นอกจากสามคนนี้แล้ว ข้างกายเมิ่งยวี่ฉิงยังมีชายหนุ่มอีกคน ชายผู้นี้ร่างสูงใหญ่ ดูไปแล้วมีอายุ 20 ต้น ๆ สวมใส่อาภรณ์สีขาว
“สมกับเป็ดินแดนไร้อารยธรรม แม้แต่เมืองหลวงก็ไม่มีอะไร แทบไม่เห็นผู้แข็งแกร่งเลยสักคน ที่นี่น่าจะเรียกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ว่าาากระมัง!” หลี่ม่อเผยสีหน้าเหยียดหยามขณะกวาดตามองผู้คนที่เดินไปมาบนถนน
“แดนชิงอวิ๋นเป็แดนรกร้างอยู่แล้ว ทั้งยังเป็อาณาจักรเล็ก ๆ ที่ติดกับพรมแดน แต่เป็เช่นนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลว” หยวนป้าเทียนกล่าว บัดนี้ตบะของเขาและม่อหลี่บรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้ว พวกเขาจึงเย้ยหยันเมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้าวที่พบเห็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ได้น้อยคน
“ครั้งนี้มีกองกำลังหลายฝ่ายมาที่นี่ เพื่อชิงผลึกเจตจำนง พวกเ้าสองคนห้ามลืมเด็ดขาดว่าจุดประสงค์ของพวกเราคืออะไร” ชายหนุ่มข้างกายเมิ่งยวี่ฉิงกล่าวกับพวกหยวนป้าเทียนด้วยน้ำเสียงสั่งสอน
“ศิษย์พี่มู่หรงกำลังจะบอกว่า หากพวกเราคนใดคนหนึ่งชิงผลึกเจตจำนงมาได้และมอบให้เ้าสำนักซวนหยวน ถึงเวลานั้นก็จะได้รับรางวัลใหญ่” เมื่อหยวนป้าเทียนและม่อหลี่ถูกชายหนุ่มแซ่มู่หรงคนนั้นสั่งสอน พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่โมโห แต่ยังเผยสีหน้าเคารพนับถือ
“ศิษย์พี่บรรลุขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 แล้ว ส่วนพลังแห่งอำนาจก็เรียนรู้ถึงขั้นผันแปร่กลาง ท่านชิงผลึกเจตจำนงมาได้อย่างแน่นอน” เมิ่งยวี่ฉิงกล่าวขณะมองศิษย์พี่มู่หรงเฟิงด้วยสายตาเลื่อมใส
มู่หรงเฟิงนั้นคืออัจฉริยะชั้นยอดแห่งหมู่บ้านหานเสวี่ย อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ปลุกิญญาาน้ำแข็งขั้นคราม และมีอำนาจน้ำแข็งขั้นผันแปร่กลาง ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่หมู่บ้านหานเสวี่ย แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือมู่หรงเฟิงมีหน้าตาหล่อเหลา เพราะเหตุนี้จึงมีหญิงสาวมากมายไล่ตามและเลื่อมใสศรัทธาเขา
เมิ่งยวี่ฉิงนับถือในพร์และศักยภาพของมู่หรงเฟิงเป็อย่างมาก แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นรักใคร่ แต่นางก็มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับมู่หรงเฟิง
อย่างไรก็ตามมีผู้แข็งแกร่งค้นพบมิติที่อยู่ก้นบึ้งทะเลสาบมรกตที่อยู่ใกล้กับตัวเมืองหลวงอาณาจักรจ้าว แต่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ขึ้นไปมิอาจเข้ามิตินี้ได้ ดังนั้นทุกกองกำลังของจักรวรรดิจิ่วโยวจึงส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ถึง 6 มาที่อาณาจักรจ้าวอย่างลับ ๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตามหาผลึกเจตจำนง
ด้านสำนักซวนหยวนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิจิ่วโยว เ้าสำนักก็ได้เริ่มค้นหาผลึกเจตจำนงเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ดังนั้นหยวนป้าเทียนและม่อหลี่จึง้าผลึกเจตจำนงเพื่อไปแลกเป็ของรางวัลชิ้นใหญ่กับสำนักซวนหยวน เพราะว่าสำหรับขั้นพลังอย่างพวกเขา ผลึกเจตจำนงไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก
“พวกเ้าดูสิ คนนั้นดูคุ้น ๆ จังเลย” จู่ ๆ ม่อหลี่ก็มองไปที่แผ่นหลังของใครบางคนที่เดินอยู่บนถนนไม่ไกลออกไป ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นพร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เป็เขา!” หยวนป้าเทียนหันไปมองทางด้านนั้น ก่อนจะเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย ทันใดนั้นภาพฉากที่เย่เฟิงแย่งชิงผลึกิญญาที่เทือกเขาเทียนซีในตอนนั้นก็ปรากฏขึ้นในหัว
วันนั้นเย่เฟิงทิ้งความประทับใจให้หยวนป้าเทียนอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเขาจึงจำเย่เฟิงได้ั้แ่แวบแรกที่เห็น
